บทที่ 7 หลอมกลั่นไฟนรก

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ฝึกเคล็ดวิชาแต่ละอันห้าสิบกว่าครั้ง สุดท้ายก็ใช้ได้คล่อง จินเฟยเหยานำไฟนรกออกมา ปากท่องคาถา ใช้เคล็ดวิชาอย่างระมัดระวัง

ไฟนรกขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองเผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง อุณหภูมิในกระท่อมลดลงอย่างรวดเร็ว ถึงกับมีน้ำค้างแข็งสีขาวบนต้นอ้อแห้ง จินเฟยเหยาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดสิ่งของที่เย็นเยือกขนาดนี้จึงสามารถเผาให้คนบาดเจ็บได้ น่าประหลาดใจเกินไป

นางใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มมือทั้งสองข้างไว้ก่อน จากนั้นก็ใช้เคล็ดวิชากับไฟนรกที่เผยออกมาให้เห็น ไฟนรกลอยออกมาอย่างช้าๆ

ต่อจากนั้นจินเฟยเหยาก็โยนเคล็ดวิชาห้าแถวลงในไฟนรก จากนั้นนางก็ยื่นมือสองข้างเข้าหาไฟนรก พยายามเข้าใกล้ไฟนรกในระยะที่ถูกเผาบาดเจ็บเมื่อครั้งที่แล้วอย่างระมัดระวังยิ่งยวด ครั้งนี้เพราะมีพลังวิญญาณในร่างกายเพียงพอจึงไม่ถูกไฟนรกเผาจนได้รับบาดเจ็บอีก

ดียิ่งนัก  นางใช้สองมือขึ้นไปรับไฟนรกตรงๆ อย่างใจกล้า พลังวิญญาณทะลักออกมาจากในมือห่อหุ้มไฟนรกเอาไว้ จากนั้นนางก็ดึงไฟนรกที่ละเอียดเท่าเส้นผมออกมาจากไฟนรกที่ใหญ่เท่าเม็ดถั่วเหลือง ใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มไว้และเริ่มหลอมกลั่น

“พี่หลี่ ทิวทัศน์ของทะเลสาบหมิงแห่งนี้ไม่เลวเลย โดยเฉพาะต้นอ้อผืนนี้ยิ่งเป็นทิวทัศน์ที่งดงามมาก”

“มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ เป็นดังที่พี่หม่าพูด ทิวทัศน์สวยงาม สาวงามมากมาย”

“พี่หลี่ พี่หม่า คืนนี้มีชุมนุมกวี มีธิดาของครอบครัวมั่งมีมามากมาย ทุกท่านจะได้ชมเป็นขวัญตาแล้ว”

“ฮ่าๆ พี่จาง สตรีเหล่านี้ผู้ใดจะเทียบน้องสาวของท่านได้”

“ทำให้ทุกท่านหัวเราะเยาะแล้ว ตอนนี้ข้าเพียงคิดถึงลาภยศ ไม่คิดจะให้ความรักชายหญิงมาผูกมัดตัว น้องสาวไม่พูดก็ช่างเถอะ พักตร์ชาดดุจน้ำ[1]บุรุษมีปณิธานสูงส่ง จะปรารถนาสตรีที่อ่อนโยนได้อย่างไร”

“พี่จาง รีบดูเร็ว บนเรือท่องเที่ยวลำนั้นมีหญิงงามเลื่องชื่อ”

“อยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน?”

“ฮ่าๆๆ พี่จางท่าน…”

คนที่ท่าทางเหมือนบัณฑิตกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงต้นอ้อ และมีเรือท่องเที่ยวลำหนึ่งจอดอยู่ไกลๆ พวกเขาทางหนึ่งร่ายกลอนทางหนึ่งชื่นชมทิวทัศน์รอบด้าน เดินเข้ามาใกล้กระท่อมต้นกกของจินเฟยเหยาอย่างช้าๆ

“เอ๋? เหตุใดที่นี่จึงมีกระท่อมหยาบๆ เช่นนี้ได้? ทำลายบรรยากาศจริงๆ” บัณฑิตผู้หนึ่งที่เดินอยู่ด้านหน้าพบกระท่อมหลังนี้ จึงใช้พัดจีบปิดจมูก มองกระท่อมอย่างรังเกียจ

กลิ่นเหม็นพุ่งเข้ามาปะทะหน้า พัดจีบใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิด เกือบจะทำให้เขาเป็นลมตาย เขากลับมีความกล้า ฝืนทนกลิ่นเหม็นก้มตัวลงกวาดตามองดูในกระท่อม ในใจทั้งหวาดกลัวทั้งสงสัย

เห็นภายในกระท่อมมีคนผู้หนึ่งนอนไม่ขยับเขยื้อน มือข้างหนึ่งยื่นมาทางประตูกระท่อมอย่างไร้เรี่ยวแรง ผอมหนังหุ้มกระดูก ผิวพรรณมีสีขาวซีดออกเขียวอย่างผิดปกติ อีกทั้งยังมีคราบสกปรกปกคลุมเต็มไปหมด

เขาตะลึงงัน ทันใดนั้นก็ได้สติคืนมา โยนพัดในมือ หวาดกลัวจนร้องเสียงดังอย่างตื่นตระหนก

“อ๊า! ที่นี่มีคนตาย”

“มีอะไรหรือ?” บัณฑิตทั้งหมดล้อมวงเข้ามาตามเสียงร้องของเขา แต่ละคนล้วนถูกกลิ่นเหม็นที่ลอยอบอวลในกระท่อมพุ่งเข้าใส่จมูกจนรู้สึกไม่สบายอยากจะอาเจียน

พอทุกคนล้อมวงเข้ามาดู ในกระท่อมมีศพคนจริงๆ เสียด้วย เห็นเสื้อผ้าและรูปร่าง ดูเหมือนจะเป็นสตรีอายุเยาว์คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะพบศพคนกลางวันแสกๆ บัณฑิตกลุ่มนี้ทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นเต้น วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอย่างวุ่นวาย

เพียงแต่กลิ่นเหลือทนเกินไปจริงๆ ทั้งหวาดกลัวว่าจะติดกลิ่นอายศพ ทุกคนล้วนถอยหลังออกไปห่างๆ หารือกันไกลๆ พวกเขาส่งเด็กรับใช้คนหนึ่งไปแจ้งทางการก่อน จากนั้นก็ให้บ่าวรับใช้ที่มีความกล้าคนหนึ่งก้าวเข้าไปดูตรงประตู พวกคุณชายที่ใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินกองทองกลุ่มนี้ อยากรู้อยากเห็นเกินไปจริงๆ คิดจะฉวยโอกาสตอนที่ทางการยังไม่มาให้บ่าวรับใช้เข้าไปดูแล้วค่อยกลับมาบอกพวกเขา นี่เป็นหัวข้อสนทนาที่ดี เห็นคดีฆาตกรรมกับตา ต่อไปจะสามารถส่งเสริมหน้าตาต่อหน้าผู้อื่นได้

บ่าวรับใช้คนนี้เดิมทีหิ้วกล่องอาหาร จึงมอบกล่องอาหารให้กับมือของบ่าวอีกคน จากนั้นหากิ่งไม้กิ่งหนึ่งแล้วเดินไปตรงประตูกระท่อมอย่างช้าๆ เขาปิดจมูกใช้กิ่งไม้สัมผัสมือของศพด้านใน จากนั้นก็นั่งยองๆ คิดจะมองดูให้ละเอียดหน่อย อีกสักครู่ค่อยพูดคำพูดดีๆ ให้นายน้อยฟัง

ในขณะที่เขาจ้องมองศพ คิดจะชมดูใบหน้าที่นอนอยู่ด้านล่างให้ชัดเจนว่ามีลักษณะอย่างไร ศพนั้นพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาสองข้างที่ดุร้ายและเต็มไปด้วยเส้นโลหิตจับจ้องมองเขาแน่วนิ่ง

“ศพลุกแล้ว!” บ่าวรับใช้หนังศีรษะชาทันที หัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง ลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปพลางตะโกนไปพลาง น้ำเสียงแหลมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เหล่าบัณฑิตไม่ทราบเรื่องราวก็ถูกเขาขู่ขวัญ โดยเฉพาะนายน้อยของเขา ตบอกเอ่ยด่าทอ “ตะโกนทำไม ทำให้ข้าตกใจแทบตาย ศพอะไรจะลุกขึ้นมากลางวันแสกๆ”

ยังพูดไม่จบ ก็เห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากในกระท่อมเตะบ่าวรับใช้ที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่เบื้องหน้าไปไกลหลายจั้ง ส่วนเงาร่างนั้นก็คือศพที่นอนอยู่ในกระท่อมเมื่อครู่

นายน้อยเบิกตาโตคิดจะร้องอุทาน เบื้องหน้าก็มีหมัดปรากฏขึ้นต่อยเขาลอยขึ้นฟ้าหมุนไปสามตลบครึ่ง ร่วงลงกลางพงต้นอ้ออย่างหนักหน่วง

ได้ยินเพียงเสียงร้องคร่ำครวญเสียงดังเหมือนผีสาง เหล่าบัณฑิตแตกฮือไปรอบด้านดุจแมลงวันไร้หัว พัดจีบ หยกประดับ และรองเท้าหลุดร่วงลงพื้น หลังจากมีเสียงถูกโจมตี ก็มีคนนอนระเกะระกะบนพื้นสิบกว่าคน เหล่าบัณฑิตบวกกับบ่าวรับใช้ ใบหน้าของแต่ละคนล้วนบวมเหมือนหัวสุกร ฟันกระเด็น คนมากกว่าครึ่งสลบไป มีไม่กี่คนที่ยังมีสติแจ่มใส นอนกุมตำแหน่งที่ถูกต่อยอยู่บนพื้น ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดไม่หยุด

จินเฟยเหยานั่งยองๆ บนพื้น ถือกล่องอาหารที่แย่งชิงมา ยัดอาหารใส่ปากอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สนใจความเป็นความตายของคนโดยรอบเลยสักนิด

กล่องอาหารที่เหล่าบัณฑิตนำมาห้ากล่องล้วนถูกนางกวาดจนเกลี้ยง แม้แต่ใบชานางก็กิน มีเพียงสุราไม่กี่ขวดที่ถูกนางดมๆ แล้วโยนทิ้งไปหมด

หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็กรอกน้ำที่อยู่ข้างทะเลสาบจนเต็มท้อง ชำระล้างอาหารที่ติดในคอลงท้อง นางจึงได้ลูบพุงเอ่ยด่าทอพลางสะอึกว่า “ข้าเกือบจะหิวตายแล้ว ฝึกวิชามั่วซั่วทำร้ายคนแทบตาย” จินเฟยเหยาคิดว่าชาติก่อนตนเองและไฟนรกต้องผูกความแค้นต่อกันเป็นแน่

หลอมกลั่นครั้งแรกก็เกือบจะถูกเผาจนพิการ หลอมกลั่นครั้งที่สอง เดิมทีทุกอย่างราบรื่น นึกว่าเป็นเรื่องแค่ไม่กี่ชั่วยาม คิดไม่ถึงว่าจะสิ้นเปลืองเวลาไปสิบกว่าวัน เดิมทีคิดจะหยุด คิดไม่ถึงว่าจะหยุดไม่ได้ ขอเพียงคิดจะหยุดหลอมกลั่น ไฟนรกที่หลอมกลั่นแล้วก็มีภาวะจะทำลายตนเอง

ถ้าหากไฟนรกภายในร่างกายทำลายตนเอง นางก็จะถูกเผาตายทั้งเป็น ทำให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าหยุด โชคยังดีที่บนร่างยังมีศิลาวิญญาณชั้นล่างสามก้อน นางจึงนำเอาศิลาวิญญาณทั้งหมดออกมาเสริมพลังวิญญาณ ทุกครั้งที่หลอมกลั่นไฟนรกเส้นหนึ่งเสร็จยังมีเวลาพักหยุดชั่วคราว สามารถควบคุมไฟนรกได้หนึ่งชั่วยาม นางก็รีบนำมาโคจรเคล็ดวิชาฟื้นฟูพลังวิญญาณของตนเอง

ส่วนกินข้าวดื่มน้ำนั้นไม่มีทาง โชคดีที่ก่อนหน้านี้ฝึกบำเพ็ญร่างกาย ภายในร่างกายแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเซียนมากนัก นางฝืนอาศัยเศษอาหารภายในกระท่อมและกายเนื้อที่ใช้พลังจนหมดยืนหยัด หากฉากนี้ดำเนินต่อไปน้ำหนักนางจะลดลงอย่างน้อยที่สุดหนึ่งในสามส่วน จนดูแล้วอ่อนแอไม่อาจต้านทานแรงลม

นางเดินกลับมาจากทะเลสาบ เห็นคนนอนระเกะระกะบนพื้น จินเฟยเหยาตะลึงงัน ยืนเหม่ออยู่หนึ่งเค่อ[2] นางประสานมือคารวะบัณฑิตหลายคนที่ยังมีสติอยู่ จากนั้นเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “ขอบคุณทุกท่านที่มอบของกินให้ข้า บุญคุณยิ่งใหญ่ของพวกท่าน ข้าจะจดจำไว้ในใจตลอดไป ข้ายังมีธุระ ขอลาก่อน ทุกท่านไม่ต้องส่ง เชิญอยู่ที่นี่เถอะ”

เอ่ยจบ นางก็ไม่เอาสิ่งของในกระท่อมไปด้วย สะบัดมือวิ่งหนีหายไปในพริบตา เหลือไว้เพียงบัณฑิตหลายคนที่มองเงาหลังของนางจากไปอย่างตกตะลึงพรึงเพริด

วิ่งหนีอย่างเร่งร้อนไปถึงอีกด้านหนึ่งของทะเลสาบหมิง รู้สึกว่าบัณฑิตกลุ่มนั้นไม่ได้ไล่ตามมาแน่นอนแล้ว จินเฟยเหยาเห็นรอบด้านปราศจากผู้คนจึงถอดเสื้อผ้าดำลงอาบน้ำในทะเลสาบ

หลอมกลั่นไฟนรกสิบกว่าวันทำให้นางเหม็นเหงื่อไปทั้งตัว บวกกับหลังจากหลอมกลั่นไฟนรกสำเร็จ ถึงกับขับสิ่งปนเปื้อนออกจากร่างของนางไม่น้อย ดังนั้นทั่วร่างจึงเหม็นจนน่าตกใจ เสื้อผ้าทั้งสกปรกทั้งเหม็น เพียงแต่เสื้อผ้าของนางซื้อมาถูกๆ จากในเมือง ได้แต่นำไปซักในน้ำตอนอาบน้ำ

ไม่ใช่ว่านางไม่มีเวลาเก็บสิ่งของในกระท่อม ผ้าห่มนวมที่ใช้มาสามเดือนและขวดเครื่องปรุงที่เก่าโทรมเหล่านั้นทั้งเก่าทั้งโทรม คนอื่นๆ เห็นแล้วต่างนึกว่าที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งขอทานเคยอาศัยอยู่  ไม่มีสิ่งของอะไรที่สามารถนำไปได้เลยสักนิด

จินเฟยเหยาเห็นไกลๆ ว่าพื้นที่ต้นอ้อฝั่งตรงข้ามมีคนมาไม่น้อย หลังจากยืนอยู่ที่เดิมไม่นานก็มีคนกระจายออกมาราวกับกำลังค้นหาอะไร ดูแล้วกำลังหาตัวการที่ทำร้ายคน นางรีบสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้น อย่างไรเสียฤดูนี้แสงอาทิตย์ก็แผดเผา อีกอย่างหนึ่งอาศัยฝีมือของนาง หาเรือท่องเที่ยวของตระกูลร่ำรวยมีอิทธิพลที่ไม่มีคนอยู่หลบซ่อนสักครู่ ตากเสื้อผ้าให้แห้งก็ไม่มีปัญหา

นางว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบหมิงครู่หนึ่งก็พบเรือท่องเที่ยวอันงดงามที่ท่าเรือใกล้ๆ ยามนี้กำลังหยุดอยู่ริมทะเลสาบ มีบ่าวไม่กี่คนกำลังทำความสะอาดอยู่ จินเฟยเหยามองแล้วท่าทางน่าจะเพิ่งกลับมาจากเที่ยวทะเลสาบ ยังมีผลไม้ ถ้วยชา และขนมวางอยู่บนโต๊ะในเรือ พวกบ่าวรับใช้ปัดกวาดไปพลางใช้ผ้าเช็ดหน้ากระดาษน้ำมันนานาชนิดห่อของกินที่เหลือซ่อนไว้ในอกเตรียมนำกลับไปกิน

ชั้นสองของเรือท่องเที่ยวทำความสะอาดเสร็จแล้ว จินเฟยเหยาแอบเข้าไปยังชั้นสองอย่างเงียบๆ หาสถานที่ที่แสงแดดส่องถึงและไม่ถูกคนพบเห็นนอนราบลง ให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของตนเอง

คนที่ค้นหานางริมทะเลสาบรู้เพียงว่าผู้ที่ทำร้ายคนเป็นสตรีผู้หนึ่ง และเพราะทั่วร่างเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจนสกปรกแทบตาย แต่ไม่มีผู้ใดในเหล่าบัณฑิตบอกได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร บวกกับฟ้ามืดค่ำแล้วจึงได้แต่เลิกรา

ส่วนจินเฟยเหยาตากเสื้อผ้าบนเรือท่องเที่ยวจนแห้งนานแล้ว จึงแอบไปดื่มชาที่โรงน้ำชาในเมือง

ตอนนี้นางหลอมไฟนรกสำเร็จแล้ว ถือว่ามีเวทมนตร์คุ้มครองกาย นางไม่คิดจะอาศัยอยู่ที่ทะเลสาบหมิงอีกต่อไป ที่นี่ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนและสัตว์ปิศาจ ไม่สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญได้ หาศิลาวิญญาณไม่ได้ อยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

ขณะนี้นางหมายตาม้าสีดำตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่งที่ผูกเอาไว้ตรงประตูโรงเตี๊ยมเยวี่ยไหลฝั่งตรงข้าม แบบเห็นแล้วรู้เลยว่ามีกำลังขาดี เพียงรอขโมยม้าตัวนั้นตอนฟ้ามืดมีคนน้อยก็ไปเมืองลั่วเซียนได้

หลังใช้เงินหลายเฉียนสุดท้ายในตัวจนหมด จินเฟยเหยาก็เดินวางมาดออกจากโรงน้ำชา จากนั้นฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นไม่ทันระวัง แอบขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ข้างโรงเตี๋ยมเยวี่ยไหล

รอจนฟ้ามืดค่ำ ผู้คนที่เดินบนถนนบางตา หลังจากร้านน้ำชาปิดประตู นางก็กระโดดลงจากต้นไม้ระยะสามจั้ง มาถึงบนหลังม้าพอดี กริชในมือตัดสายบังเหียนที่พันอยู่บนเสาอย่างรวดเร็ว สองขาออกแรงหนีบท้องม้า

ม้าก็วิ่งควบพาจินเฟยเหยาไปอย่างรวดเร็ว


[1] พักตร์ชาดดุจน้ำ เหมือนคำว่า พักตร์ชาดน้ำเคราะห์ มีความหมายว่า หญิงงามชีวิตมักอาภัพ

[2] เค่อ คือ หน่วยเวลา มีค่าประมาณ 15 นาที