บทที่ 8 สาวงามเผชิญเคราะห์

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ขี่ม้าวิ่งห้อมาหนึ่งชั่วยามกว่าม้าก็เหนื่อย  จินเฟยเหยดึงบังเหียนที่ถูกตัดให้ม้าเดินช้าลงและพักผ่อน

ภายใต้แสงจันทร์จินเฟยเหยาพบว่าข้างทางใกล้ๆ ดูเหมือนจะมีลำธารสายเล็กก็ขี่ม้ามาถึงข้างลำธาร นางจูงม้ามาดื่มน้ำและพักผ่อนข้างลำธาร แล้วก็ได้ล้างหน้าพอดี

ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำบนใบหน้า จินเฟยเหยาล้วงถุงน้ำออกมา คิดจะเติมน้ำไว้ดื่มระหว่างทาง ทันใดนั้น นางก็พบว่าในป่าเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามลำธาร บางครั้งบางคราวมีแสงสว่างปรากฏขึ้น อีกทั้งยังมีเสียงดังมารางๆ ราวกับมีคนกำลังต่อสู้กัน

“เอ๋? ที่รกร้างชานเมือง หรือว่ามีคนกำลังปล้นฆ่า?” จินเฟยเหยารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ผูกม้าไว้ตรงต้นไม้เล็กๆ ข้างลำธาร แล้วแอบข้ามลำธารไปซ่อนในป่าอย่างเงียบๆ

นางซ่อนอยู่ข้างป่าพยายามซ่อนร่างเท่าที่จะทำได้ และเข้าไปใกล้ยังสถานที่ที่มีแสงสว่างอย่างเงียบๆ เมื่อเข้าใกล้แล้วจึงได้พบว่า มีผู้บำเพ็ญเซียนสามคนกำลังต่อสู้กันโดยใช้เวทมนตร์

สถานที่ที่ทั้งสามคนยืนอยู่มีต้นไม้หักโค่นลงบนพื้น กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนสองคนที่สวมชุดยาวแบบจีนสีดำกำลังล้อมโจมตีสาวน้อยคนหนึ่งแบบคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง

สาวน้อยผู้นั้นเกล้ามวยผมแบบบุรุษเสียบปิ่นหยกอันหนึ่ง สวมชุดบุรุษปักลายดอกไม้สีเงินบนพื้นสีขาว ถึงแม้จะสวมชุดบุรุษก็ปิดบังดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำ ผิวขาวประดุจหยก และเรือนร่างอ่อนช้อยของนางไม่ได้

มือของสาวน้อยถือกระบี่สีขาวอันงดงาม ข้างกายมีผ้าไหมสีสันสดใสสวยงามล่องลอยอยู่ นางหอบหายใจ เหงื่อกาฬหลั่งไหล เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างดุร้ายของคนทั้งสองแบบหน้าหลังก็โยนกระดาษยันต์ชั้นหนึ่งในมือไม่หยุด

ทั้งสองคนที่ล้อมโจมตีนาง ขนาดจินเฟยเหยายังมองออกว่าอาวุธเวทในมือด้อยกว่า คนหนึ่งถือดาบใหญ่เล่มหนึ่ง รัศมีของตัวดาบขุ่นมัวมองดูก็รู้ว่าเป็นอาวุธเวทชั้นล่าง ถึงจะฟาดฟันคมแสงใส่สาวน้อยไม่หยุด ดูแล้วเหมือนมีอานุภาพมากทว่าผ้าไหมสกัดได้ง่าย

กลับเป็นเชือกสีดำในมือของอีกคนที่ถึงแม้จะเป็นอาวุธเวทชั้นล่าง ทว่าเพราะสามารถควบคุมได้ดี สะบัดเป็นฝูงอสรพิษร่ายรำทำให้คนตาลาย บีบบังคับจนสาวน้อยมือเท้าปั่นป่วน แต่กระบี่สีขาวในมือของสาวน้อยอย่างน้อยเป็นอาวุธเวทชั้นกลาง ส่วนผ้าไหมยิ่งเป็นอาวุธเวทชั้นสูง ไม่ต้องเอ่ยว่านางยังโยนกระดาษยันต์ชั้นยอดเหมือนให้เปล่า สุดท้ายกลับยังถูกทั้งสองคนโจมตีจนรับมือไม่ไหว

“โง่แทบตายแล้ว สิ้นเปลืองสิ่งของดีๆ มากมายขนาดนั้นไปเปล่าๆ” จินเฟยเหยามองอาวุธเวทบนร่างสาวน้อยอย่างอิจฉายิ่ง นางมองคนทั้งสาม เริ่มครุ่นคิดขึ้นมาว่าจะลงมือช่วยหรือจะฉวยโอกาสดี

นางไม่เคยเรียนเวทมองทะลุจึงมองไม่ออกว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของสามคนนี้สูงส่งเพียงใดกันแน่ ดังนั้นจะบุ่มบ่ามไม่ได้

จินเฟยเหยาครุ่นคิดในใจเงียบๆ ถ้าช่วยสาวน้อยผู้นั้น ฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคนดูเหมือนจะรับมือด้วยไม่ได้ง่ายๆ ถ้าปล่อยให้สาวน้อยผู้นั้นถูกฆ่าตาย ตนเองยิ่งเอาชนะสองคนนั้นไม่ได้ ในใจของจินเฟยเหยาเอนเอียงไปทางสาวน้อย เพราะว่านางมองออกว่าสาวน้อยต้องเป็นศิษย์ของสำนักหรือตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลแน่นอน อีกทั้งท่าทางลุกลี้ลุกลนนั่นย่อมต้องเป็นเพราะต่อสู้กับศัตรูเป็นครั้งแรก คนเช่นนี้หลอกง่ายที่สุด

บนตัวนางไม่มีเงินสักเหวินนานแล้ว ได้ยินว่ายังต้องจ่ายค่าเข้าเมืองลั่วเซียน หากช่วยสาวน้อยคนนี้ เห็นแก่ที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ สามารถช่วยพาตนเองให้ไปถึงเมืองลั่วเซียนได้จะดีที่สุด ต่อให้ย่ำแย่ ได้ศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อนก็ยังดี

ทางนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ ทางนั้นก็ได้ยินเสียงร้องอุทานของสาวน้อย จินเฟยเหยามองเห็น สาวน้อยไม่ทันระวัง ถูกเชือกสีดำจับได้ แขนมีเลือดหยดในพริบตา กระบี่สีขาวในมือร่วงลงพื้น เห็นสีหน้าของสาวน้อยซีดขาว ส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด

ส่วนบุรุษที่ถือเชือกสีดำในมือแย้มรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วเดินเข้ามาหาสาวน้อย สาวน้อยมองเขาอย่างหวาดกลัว พลังวิญญาณไม่เสถียร ผ้าไหมก็แข็งค้างอยู่กลางอากาศ ไม่บินอย่างว่องไวอีก

“แย่แล้ว ถ้าตายแล้วก็ไม่มีประโยชน์”

ไม่มีเวลาคิดมากแล้ว มือขวาของจินเฟยเหยาพลิกวูบ เปลวไฟสีฟ้าดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ ฝ่ามือทั้งหมดถูกห่อหุ้มไว้ในเปลวไฟ นางกระโดดเหินร่างออกจากที่ซ่อนตัว ซัดฝ่ามือใส่บุรุษเชือกสีดำหนึ่งฝ่ามือ

บุรุษเชือกสีดำคิดไม่ถึงว่าด้านหลังจะมีคนกระโดดออกมา จึงรีบกระโดดหลบ เชือกสีดำในมือหวดเข้าใส่จินเฟยเหยา เชือกสีดำพกพาแสงมืดดุจอสรพิษสีดำพุ่งเข้าใส่จินเฟยเหยา มือซ้ายของนางพลิกวูบ กลายเป็นเปลวไฟสีฟ้าในพริบตา

สองมือคว้าจับเชือกสีดำที่ดุดันไว้อย่างแน่นหนา จินเฟยเหยาคำรามใส่สาวน้อยที่ตกตะลึงว่า “มัวเหม่ออะไรอยู่ รีบจัดการหยิบดาบขึ้นมา”

สาวน้อยถูกนางคำรามใส่ก็สงบจิตใจลง รีบล้วงยันต์อัคคีกำมือหนึ่งออกจากในกระเป๋าเก็บของบนเอวสาดใส่บุรุษที่ถือดาบใหญ่พุ่งเข้ามาพอดี

ยันต์หนึ่งกำมือที่อย่างน้อยมีสิบกว่าใบกลายเป็นบอลไฟขนาดใหญ่กว้างสองจั้งกว่าโจมตีเข้าใส่ร่างของบุรุษดาบใหญ่ บุรุษผู้นั้นร้องโหยหวนไม่หยุด ยกดาบใหญ่ขึ้นฟันเปะปะไปทั่ว สาวน้อยหยิบกระบี่สีขาวขึ้นมาโอบล้อมเขาที่หมุนตัวอย่างต่อเนื่องแบบไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี จินเฟยเหยาและบุรุษที่มีแส้สีดำต่างฝ่ายต่างไม่อ่อนข้อให้แก่กัน ต่างฝ่ายต่างฉุดดึงปลายเชือกสีดำแต่ละด้านอย่างเต็มกำลัง จินเฟยเหยาเห็นสาวน้อยถือกระบี่ ท่าทางไม่รู้จะลงมืออย่างไร ก็รู้สึกว่าเกือบจะถูกนางทำให้มีโทสะจนกระอักโลหิตออกมา ได้แต่คำรามอีกครั้งว่า “ใช้กระบี่แทงเขาสิ เจ้าโง่”

สาวน้อยกัดฟันหลับตาแทงบุรุษที่อยู่ในเปลวเพลิงไปหนึ่งกระบี่ กระบี่สีขาวแทงเข้าร่างของบุรุษผู้นั้นอย่างแหลมคม นางตกใจจนปล่อยให้กระบี่สีขาวในมือร่วงหล่น เห็นบุรุษพากระบี่ขาวล้มลงบนพื้น ร่างกระตุกแล้วก็ไม่ขยับอีก

เห็นสหายของตนเองถูกสังหาร บุรุษเชือกสีดำก็แค้นจนกัดฟันกรอดๆ “เจ้าถึงกับกล้ายุ่งเรื่องของพวกเรา รำคาญในการมีชีวิตแล้วหรือ ไม่ดูพลังการบำเพ็ญเพียรของพวกเราเสียบ้าง อาศัยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณที่เพิ่งเข้าสู่สำนักของเจ้าก็กล้ามาช่วยคน”

จินเฟยเหยามองเขาอย่างเหยียดหยาม “ขอโทษด้วยจริงๆ ไม่เคยเรียนเวทมองทะลุ มองไม่ออกว่าท่านลุงมีการบำเพ็ญเพียรขั้นใด อีกอย่างหนึ่งพวกท่านตายไปคนหนึ่งแล้ว ยังคุยโวอีก จะเสแสร้งเป็นเก่งกาจไปทำไม”

จากนั้นนางก็ออกแรงในมือ ใช้พลังวิญญาณบังคับให้ไฟนรกวิ่งตามเชือกสีดำไปยังบุรุษผู้นั้น

เห็นเปลวไฟสีฟ้าที่ประหลาดเหมือนภูตผีเผาไหม้มาตามเชือก บุรุษผู้นั้นก็ไม่กล้าสัมผัส ได้แต่โยนเชือกสีดำในมือทิ้ง

ผู้ใดไม่เป็นเวทมนตร์พื้นฐานบ้าง พอบุรุษปราศจากเชือกสีดำก็ใช้พลังวิญญาณโยนเวทอัคคีเข้าใส่จินเฟยเหยาอย่างบ้าคลั่ง กระบวนท่านี้เขาฝึกมาอย่างไม่ใช่คุ้นเคยธรรมดา ผนึกบอลไฟขนาดเท่าผักกาดขาวแต่ละอันออกมาจากในมืออย่างรวดเร็ว

เวทอัคคีเป็นเพียงเวทพื้นฐาน ตอนใช้พลังวิญญาณเปลี่ยนเป็นบอลไฟ ระหว่างนั้นจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่หยุดพักประมาณสิบอึดใจ ถ้าฝึกฝนจนชำนาญแล้วจะมีช่วงเวลาพักสั้นลง ทว่านี่เป็นเพียงเวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน เกือบทุกคนต่างก็ใช้เป็น ผู้ใดจะยอมเสียเวลามากมายไปทำเรื่องเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะฝึกเวทอัคคีจนมีช่วงเวลาหยุดพักแค่สามถึงสี่อึดใจเท่านั้น บอลไฟดวงแล้วดวงเล่าโจมตีใส่จินเฟยเหยา

จินเฟยเหยาเองก็ถือว่ามาจากตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน รู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ดี นางอดเอ่ยชื่นชมไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าท่านลุงจะเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจฝึกฝนเวทอัคคีจนถึงขั้นนี้”

“เจ้า…” บุรุษเชือกดำมีโทสะจนควันออกเจ็ดทวาร ถ้าเขาร่ำรวยจะใช้เวลาหลายปีฝึกฝนเวทอัคคีได้อย่างไร วันนี้ได้พบแพะอ้วนอย่างยากเย็น ยังถูกเจ้าคนไม่มีหัวคิดที่โผล่มากลางคันคนนี้ทำเสียเรื่องอีก

คำพูดชื่นชมนี้ เขาได้ฟังแล้วก็คือการเย้ยหยันเขาว่าซื้อเคล็ดวิชาดีๆ ไม่ได้ ได้แต่ฝึกเวทระดับล่างสุด เขาย่อมต้องมีโทสะไม่เบา พยายามใช้บอลไฟในมือโจมตีใส่จินเฟยเหยาอย่างสุดชีวิต เห็นเขามีโทสะจนหน้าแดงก่ำ จินเฟยเหยาก็รู้สึกงุนงง ตนเองกำลังชมเขาชัดๆ เหตุใดคนผู้นี้จึงมีโทสะจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

เห็นบอลไฟโจมตีเข้าใส่ตนเองดุจฝนตก จินเฟยเหยาก็สั่นเชือกสีดำที่กำไว้ในมือ ไฟนรกเผาไหม้บนเชือกสีดำจนเชือกสีดำส่งเสียงดังเพี๊ยะพะ ทว่ายังสามารถทนได้อีกครู่หนึ่ง จินเฟยเหยาส่งเสียงดังฮึเบาๆ พลังวิญญาณในมือก็ปะทุ ไฟนรกวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เชือกสีดำทั้งเส้นกลายเป็นเชือกไฟนรก

เห็นนางสะบัดเชือกอย่างรวดเร็ว พอบอลไฟสัมผัสเชือกไฟนรกก็ถูกไฟนรกที่เย็นสุดขีดดับทิ้ง ขอเพียงไม่ใช่เพลิงแท้หลังจากขั้นสร้างฐาน ไฟธรรมดาพอเผชิญกับไฟนรกศพมารจะมีพลังรับมือได้ที่ไหน

บุรุษผู้นั้นรู้สึกว่าไฟสีฟ้านี้ไม่ธรรมดา ผู้ใดจะรู้ว่าเผด็จการขนาดนี้ เห็นจินเฟยเหยาสะบัดเชือกเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว เขาก็อดถอยไปข้างหลังไม่ได้

เขากัดฟันหยุดมือ ล้วงกล่องหยกออกมาจากในกระเป๋าเก็บของ ใช้มือดึงฝากล่องหยกออก หยิบยันต์สีทองอร่ามชิ้นหนึ่งออกมาจากในนั้น

เห็นสองมือของเขาหยิบยันต์ ถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าสู่ด้านในอย่างเอาเป็นเอาตาย แสงสีทองของยันต์เสียดแทงนัยน์ตาราวกับกำลังจะทำงาน

“อย่าให้เขาใช้มัน นั่นเป็นยันต์ยา” สาวน้อยที่นั่งขยับไม่ได้อยู่บนพื้นตะโกนบอกจินเฟยเหยาอย่างตื่นตระหนก

จินเฟยเหยาไม่เอ่ยอะไร นางรู้ว่าหากเจ้าสิ่งนี้ทำงานขึ้นมาคงมีอานุภาพไม่เบา ทว่าบุรุษผู้นั้นเหงื่อกาฬแตกพลั่ก สีหน้าซีดขาว ท่าทางใกล้จะใช้พลังวิญญาณหมดสิ้น ส่วนยันต์ยาใบนั้นถึงแม้จะสาดแสงสีทองไปรอบทิศ ทว่ากลับไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ท่าทางจะถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปไม่พอ

ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่โยนเวทอัคคีออกมามากมายปานนั้น ตอนนี้พลังวิญญาณต้องไม่พอแน่ ส่วนพลังวิญญาณของตนเองก็มีไม่มาก ลงมือต่อไปต้องถูกฆ่าตายภายในการโจมตีครั้งเดียวแน่

บุรุษผู้นั้นรู้ว่าตนเองมีพลังวิญญาณไม่มากพอจะขับเคลื่อนให้ยันต์ทำงาน จึงใช้มือหยิบยาสีขาวเม็ดหนึ่งออกมาคิดจะโยนใส่ปาก

“คิดจะกินยาเสริมพลัง ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” เชือกไฟนรกในมือจินเฟยเหยาสั่นคราหนึ่งก็ฟาดไปทางบุรุษผู้นั้น

เชือกสีดำทนการเผาไหม้ของไฟนรกไม่ไหว กลายเป็นเถ้าถ่านกลางอากาศ ส่วนไฟนรกที่สูญเสียพลังสนับสนุนของเชือกสีดำกลับไม่ได้ดับลง จินเฟยเหยาใช้พลังวิญญาณทั่วร่างจนหมดสิ้น หวดไฟนรกในมือใส่บุรุษผู้นั้นต่อราวกับแส้ ยาเสริมพลังถูกบุรุษผู้นั้นโยนใส่ปากแล้ว เขายังไม่ทันกลืนลงไป ก็เห็นไฟนรกกระเด็นออกมาจากแส้เพลิงโปรยปรายใส่เขาถี่ยิบราวกับหยาดน้ำฝน เ­ขาไม่มีโอกาสหลบเลยสักนิด พอไฟนรกโปรยปรายใส่ร่างของบุรุษผู้นั้น ครู่เดียวเขาก็เป็นเนื้อเสียบไม้ย่าง ถูกไฟนรกกลืนกินจนหมดสิ้นในพริบตา

ไฟนรกนี้แตกต่างจากเปลวเพลิงธรรมดา ถึงแม้จะเย็นเยียบกลับสามารถเผาคนตายได้ ไฟนรกแสดงอำนาจบาตรใหญ่จริงๆ บุรุษผู้นั้นไม่เหมือนสหายที่ยังมีโอกาสดิ้นรน ยืนสองมือชูยันต์ยาก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน นอกจากยันต์ยาชิ้นนั้นที่ร่วงหล่นลงบนพื้น สิ่งของบนร่างของเขาทั้งหมดล้วนถูกเผาจนเกลี้ยง หลงเหลือเพียงเศษซากสีดำ

สาวน้อยเบิกตาโตมองดูจินเฟยเหยาที่ใช้พลังวิญญาณจนหมดสิ้นร่างกายปรับตัวไม่ได้จนต้องนั่งลงกับพื้น เอ่ยพึมพำประโยคหนึ่ง “ไฟอันร้ายกาจยิ่ง”