ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพี่ชายทั้งสองพลางพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าล้างแค้นของข้าเองได้ พวกพี่ๆ ไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้า โยวเย่ว์เติบใหญ่แล้ว ต่อจากนี้จะไม่ทำตัวแบบนั้นอีกแล้ว”
“ดี ดี เย่ว์เอ๋อร์เติบใหญ่แล้ว!” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ท่านปู่ขอรับ ก่อนหน้านี้โยวเย่ว์ไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำให้ท่านปู่และพวกพี่ๆ เศร้าเสียใจ ล้วนเป็นความผิดของโยวเย่ว์ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมว่าก่อนหน้านี้นางได้ทำเรื่องผิดพลาดลงไปไม่น้อยเลยจริงๆ เพื่อหนุ่มหล่อเหล่านั้นนางได้ทำร้ายคนในครอบครัวไปไม่น้อย แต่ในส่วนลึกของจิตใจนางก็ยังรักทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ให้ตนใช้ชีวิตแทนนางต่อไปหรอก เหตุผลก็คือเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเศร้าเสียใจเพราะรู้ว่านางจากไปแล้ว
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถิด น้องห้ารู้ข้อผิดพลาดของตนเองก็ใช้ได้แล้ว นอกจากนี้พวกเราก็ไม่เคยคิดตำหนิเจ้าในเรื่องที่ผ่านมาเลย” พี่สามซือหม่าโยวหรานพูด
คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
“อืม ต่อจากนี้ไปข้าจะต้องปรับปรุงนิสัยในอดีตและใช้ชีวิตให้ดีๆ อย่างแน่นอน”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าจะแก้แค้นของเจ้าเอง เช่นนั้นพวกพี่ๆ ก็จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย ทว่าหากเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกพวกเรามาได้ตลอด พวกพี่รอช่วยอยู่เสมอ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าตนเองน้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอรู้สึกซาบซึ้ง หรือว่าเป็นความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย ด้วยความที่พวกเขาปกป้องดูแลตน เธอจึงจดจำพวกเขาเอาไว้ในหัวใจเรียบร้อยแล้ว
“เอาละ พวกเราให้น้องห้าพักผ่อนเถิด ต่อให้ยาวิเศษมีผลลัพธ์ดีเลิศ แต่นางก็อาจจะรู้สึกเหนื่อยได้อยู่ดี” พี่ใหญ่ผู้มีอำนาจตัดสินใจพูดขึ้น
“ก็ได้ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับก่อนนะ น้องห้า ถ้าหากเจ้ามีความต้องการอันใดก็ต้องบอกพวกเราด้วย อย่าได้ออกไปคนเดียวอีกเป็นอันขาด”
“ใช่แล้ว ถ้าหากเจ้าออกไปคนเดียวแล้วถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บอีกจะทำอย่างไร ดังนั้นห้ามออกไปคนเดียวเป็นอันขาด”
“…”
หลังจากเอ่ยกำชับและตักเตือนเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วสี่พี่น้องและซือหม่าเลี่ยจึงออกไปจากเรือนของซือหม่าโยวเย่ว์
“เฮ้อ…”
รอให้ภายในเรือนเหลือแค่ตนเพียงลำพังแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “เจ้าช่างมีญาติพี่น้องทั้งบ้านที่รักใครเจ้าดีจริงๆ ช่างโชคดีเหลือเกิน แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีช่วงเวลาที่ข้าได้รับความรักใคร่เอาใจใส่จากญาติพี่น้องด้วย ดังนั้นต้องขอบคุณเจ้ามาก ข้าจะใช้ชีวิตแทนเจ้าเป็นอย่างดีเลย ซือหม่าโยวเย่ว์”
หลังจากที่จัดการกับอารมณ์ตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตะโกนเรียกคนด้านนอกประตู “เข้ามาหน่อย!”
“เจ้าค่ะ คุณชาย” สาวใช้สองคนก่อนหน้านี้ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับคารวะทำความเคารพ
“ข้าอยากอาบน้ำ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสาวใช้รูปงามทั้งสองพลางเอ่ยขึ้น
“คุณชายรอสักครู่นะเจ้าคะ พวกบ่าวจะไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
พอสาวใช้ทั้งสองพูดจบก็เดินออกไป เพียงครู่เดียวก็กลับมา ทั้งคู่ยกถังไม้ใบหนึ่งเข้ามา หลังจากนั้นก็ออกไปข้างนอกแล้วยกน้ำร้อนเข้ามาเทใส่ถังไม้หลายถัง
“คุณชาย เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม ออกไปก่อนเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือ สองสาวใช้ก็ออกไป ยามที่ออกไปยังไม่ลืมปิดประตูให้อีกด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวลงจากเตียง เดินไปพลางถอดเสื้อผ้าของตนเองทิ้งลงพื้นไปพลาง เมื่อไปถึงตรงหน้าถังอาบน้ำ เธอก็ตัวเปล่าเปลือยแล้ว เธอก้มลงมองทรวงอกที่แบนราบเหมือนลานบิน ก่อนจะมองอวัยวะส่วนล่างของตนแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ดูไปแล้วก็เหมือนผู้ชายจริงๆ นั่นแหละ!”
เธอก้าวเท้าลงไปในถังอาบน้ำแล้วนั่งลงแช่น้ำอุ่น ตนเองในชาติก่อนก็ชื่นชอบการอาบน้ำ เธอรู้สึกว่าการหุ้มห่ออันอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนั้นช่วยขจัดความเจ็บปวดทั้งหมดที่มีอยู่บนร่างกายตนได้ ทำให้เธอแข็งแกร่งต่อไปได้ในยามที่เหนื่อยล้า
ซือหม่าโยวเย่ว์แช่อยู่ในน้ำจนกระทั่งอุณหภูมิน้ำเย็นลงอย่างช้าๆ เธอจึงค่อยยื่นมือของตนมาสำรวจบนนิ้วมือข้างซ้ายที่สวมแหวนวงหนึ่ง ในความทรงจำแหวนวงนี้อยู่บนมือของเจ้าของร่างเดิมมาโดยตลอดนับตั้งแต่จำความได้
ซือหม่าเลี่ยบอกกับนางว่าแหวนวงนี้คือแหวนมนตร์ ช่วยทำให้นางดูเหมือนบุรุษได้ นอกจากนี้ยังกำชับไม่ให้นางถอดแหวนวงนี้ออกมาเป็นอันขาด โดยเฉพาะตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตอนที่เจ้าของร่างเดิมอยู่ในห้องคนเดียว ก็มีบางทีที่ถอดแหวนออกมาเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของตนถูกสาวใช้ค้นพบ นางจึงสั่งสาวใช้เอาไว้ว่าถ้าไม่มีคำสั่งจากตน ผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้อง
ตอนนี้เธอต้องการสำรวจร่างกายของตนเอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องโยนประโยชน์ของแหวนมนตร์นี้ทิ้งไป เธอยื่นมือไปยังปุ่มกลมปุ่มหนึ่งตรงขอบแหวนแล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางหมุนเบาๆ ก็มีเสียงคลิกเบาๆ เสียงหนึ่ง ร่างกายของตนก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
เธอวางนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางขวาลงบนข้อมือข้างซ้าย แล้วสัมผัสชีพจรของตนเองอย่างละเอียด
ถึงแม้ว่าชาติก่อนเธอจะเป็นมือสังหาร แต่ตัวตนฉากหน้ากลับเป็นรองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์แผนจีน ที่มหาวิทยาลัยแพทย์ นอกจากนี้ยังเป็นรองศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยอีกด้วย เวลาปกติพวกเธอทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตน มีเฉพาะเวลาที่ได้รับภารกิจเท่านั้นจึงค่อยออกไป
ยิ่งเวลาที่คลำชีพจรนานขึ้น สีหน้าของเธอก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้นไปด้วย จากนั้นเธอก็ปล่อยมือของตัวเองแล้วยกมือขึ้น เธอพบจุดสองจุด จุดหนึ่งแดง จุดหนึ่งดำใต้วงแขนทั้งสองข้าง
ก่อนหน้านี้เธอก็รู้สึกว่าร่างกายมีความผิดปกติบางอย่างอยู่ ดังนั้นจึงสงสัยว่าการที่ตนไม่อาจบำเพ็ญได้นั้นมีสาเหตุอยู่ เธอใช้นิ้วชี้ขวาลูบไฝที่ใต้วงแขนซ้ายแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ร่างกายนี้มีปัญหาจริงๆ เสียด้วยสิ…”
หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์อาบน้ำเสร็จและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็หมุนแหวนมนตร์กลับที่เดิม เธอมาถึงตรงหน้ากระจกแล้วก็พบว่าตอนนี้รูปลักษณ์ของตนเองดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ยอดชายงามที่เล่าลือกัน แต่ก็นับได้ว่าเป็นคุณชายรูปงามคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าพฤติกรรมยามปกติของเธอทำให้คนพากันคิดว่าเธอเบี่ยงเบนแล้วละเลยรูปลักษณ์ของเธอไปโดยไม่รู้ตัว
เธอเรียกสาวใช้เข้ามายกถังน้ำออกไปแล้วถามชื่อของคนทั้งสองรอบหนึ่ง คนหนึ่งชื่ออวิ๋นเย่ว์ ส่วนอีกคนชื่อชุนเจี้ยน ต่างก็เป็นชื่อที่ราวกับอยู่ในบทกวี ทั้งสองคนเป็นคนที่ดูแลซือหม่าโยวเย่ว์มาตั้งแต่เล็ก จำได้แม่นมั่นอยู่ตลอดว่าหากไม่มีคำสั่งก็ห้ามเข้าไปในห้อง ดังนั้นสาวใช้คนอื่นๆ มาแล้วก็จากไป ส่วนพวกนางสองคนยังคงอยู่มาโดยตลอด นับได้ว่าจงรักภักดีต่อซือหม่าโยวเย่ว์ แต่เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์คนก่อนลงโทษสาวใช้ที่เข้ามาในห้องตามอำเภอใจเหล่านั้นแล้ว พวกนางจึงหวาดกลัวอยู่บ้าง
“อวิ๋นเยว่ ชุนเจี้ยน ข้าหิวแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางมองคนทั้งสอง
ผู้ที่บำเพ็ญหาพลังงานที่จะมาส่งเสริมร่างกายตนจากปราณวิญญาณในอากาศได้ ดังนั้นคนที่ยิ่งมีพลังยุทธ์สูงส่งก็จะยิ่งมีความต้องการในสิ่งต่างๆ น้อยลง เมื่อไปถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณ โดยพื้นฐานก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังกินบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อระงับความต้องการ
แต่คนไร้ค่าที่ไม่อาจบำเพ็ญได้โดยสิ้นเชิงอย่างซือหม่าโยวเย่ว์นั้นมิอาจขาดอาหารได้เลยแม้แต่มื้อเดียว
“บ่าวเตรียมอาหารเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ จะให้ยกมาให้คุณชายเลยดีไหมเจ้าคะ” อวิ๋นเย่ว์พูด
“ดีสิ! เร็วๆ เลยอวิ๋นเย่ว์ พวกเจ้าช่างแสนดีเหลือเกิน!” เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินว่ามีของกินก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที
ถึงแม้ว่าศูนย์กลางการใช้ชีวิตของเธอในชาติก่อนจะอยู่กับการฆ่าคนและการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์ แต่อาหารเลิศรสก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของเธอเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งใจหาเวลาไปเรียนทำอาหารหลายหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสฉวน อาหารกวางตุ้ง อาหารหูหนานอะไร ก็นับได้ว่าเธอจัดการได้อยู่หมัดทั้งสิ้น
……………