อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนเพิ่งจะเคยเห็นคุณชายของตนพูดจาน่าฟังเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกว่าสนิทสนมกันไม่น้อย ต่างก็ค้อมกายเอ่ยว่า “ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะไปยกมาเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์รอคอยอาหารเลิศรสในจินตนาการของตนอยู่ภายในห้อง แต่เมื่อเห็นอาหารที่พวกอวิ๋นเย่ว์ยกเข้ามาแล้วก็ตะลึงงันไปทั้งร่าง
“นี่… นี่คืออาหารที่พวกเจ้าเตรียมเอาไว้ให้ข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้อาหารที่เพียงแค่ใช้น้ำลวกต้มอย่างง่ายๆ บนโต๊ะเหล่านั้นพลางถามขึ้น
เมื่อวานเธอได้กินแต่โจ๊กเนื้อ ดังนั้นย่อมไม่รู้ว่าอาหารของที่นี่เป็นเช่นไร แวบแรกที่เห็นว่าเพียงแค่ใช้น้ำลวกต้มเท่านั้น เธอก็ตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ!” อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนคุกเข่าลงบนพื้นในทันทีพลางโขกศีรษะขอขมาไม่หยุด
“เฮ้ๆๆ นี่พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ ข้ามิได้ตำหนิพวกเจ้าเสียหน่อย! ลุกขึ้นมาเร็วเข้า!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนทั้งสองตอบสนองอย่างใหญ่โตเช่นนี้ก็ส่งเสียงร้อง
ทันใดนั้นเธอก็ได้รู้จากในความทรงจำว่าเจ้าของร่างเดิมของตนนั้นเข้มงวดกับสาวใช้สองคนนี้เป็นอย่างยิ่ง หากไม่ได้ดั่งใจเพียงนิดเดียวก็ทั้งด่าทั้งตบตี ทำให้สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นตนโมโห
“ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองลุกขึ้นจากพื้น แต่ในใจก็ยังคงมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่สนใจคนทั้งสองอีก เธอใช้มือซ้ายกุมท้อง มือขวาหยิบตะเกียบแล้วใช้ตะเกียบควานไปมาในกับข้าว พยายามจะหากับข้าวที่ทำให้ตนปักตะเกียบลงไปได้ แต่หลังจากพยายามอยู่สิบนาทีก็ยอมแพ้เสียแล้ว เธอวางตะเกียบลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เอาผลไม้มาให้ข้าสักสองลูกเถิด”
หลังจากกินผลไม้ไปสองลูกใหญ่แล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ก้าวขึ้นเตียงอย่างเศร้าสร้อยพลางลูบท้องที่ยังคงว่างเปล่าก่อนจะเอ่ยพึมพำว่า “ต้องกินข้าวกินปลาสิถึงจะใช้ได้!”
“เจ้านี่ ตะกละตะกลามเช่นนี้อยู่ตลอดเลยนะ ไปถึงระดับเทพแล้ว แต่ก็ยังตัดใจจากกับข้าวกับปลาไม่ได้อยู่ดี” น้ำเสียงที่ทั้งอบอุ่นนุ่มนวลทั้งรักใคร่ทะนุถนอมเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในห้วงสมองของเธอในทันใด คล้ายกับผ่านสิ่งกีดขวางของห้วงเวลา เล็ดลอดออกมาจากความทรงจำอันไกลแสนไกล
“นี่มันเสียงของใครกัน ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับตัวเอง ทว่าความรู้สึกกลับไม่เหมือนกัน เธอเป็นคนไร้ค่าทางด้านการบำเพ็ญ แล้วจะบำเพ็ญไปถึงระดับเทพได้อย่างไรกัน
“ถ้าอย่างนั้นที่แท้แล้วใครเป็นคนพูดประโยคนี้กัน แล้วพูดให้ใครฟังกันล่ะ”
ตอนที่ยากจะกลืนกินอาหารค่ำลงไปนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งไปยังห้องครัว หลังจากที่วุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ผัดกับข้าวง่ายๆ มาให้ตนเองได้สองจานเล็ก
มาที่โลกแห่งนี้ได้สองวันแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้กินอิ่มท้องเช่นนั้น
ตอนที่นอนหลับยามราตรี เธอฝันเช่นเดียวกันกับคราวก่อน น้ำเสียงหวีดแหลมเช่นเดิม พูดคำพูดเดิม
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ไปตายเสียเถิด…”
เธอแยกแยะออกมาได้ว่านี่คือเสียงของมืออันดับสองในชาติก่อน
“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าไปตายเสียเถิด พอเจ้าตายแล้วข้าก็จะได้เป็นผู้มีพรสวรรค์ของดินแดนแห่งนี้เสียที… ฮ่าๆๆๆ…”
นี่คือใครกัน ทำไมเธอถึงไม่มีภาพในหัวเลยสักนิดเดียว
“ไปตายเสียเถิด…”
เสียงทั้งสองสอดประสานกัน ทำให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที เสื้อผ้าบนร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในดวงตามีความเศร้าโศก
“เพราะอะไรกัน ทำไมมีสองชื่ออีกแล้วล่ะ…”
คืนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้เข้านอนอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่เธอหลับตาลง ในสมองก็เต็มไปด้วยชื่อสองชื่อนั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ ซีเหมินโยวเย่ว์
แต่ว่าเธอค้นหาดูในความทรงจำทั้งหมดที่มีแล้วก็มีเพียงแค่ร่องรอยที่เป็นของซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น ส่วนซีเหมินโยวเย่ว์นั้น ไม่ว่าจะเป็นในความทรงจำของชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงา
ผลของการที่ไม่ได้นอนมาคืนหนึ่งก็คือเมื่อส่องกระจกในตอนเช้าวันที่สอง เธอก็พบว่าดวงตาทั้งสองกลายเป็นตาแพนด้าไปเสียแล้ว ตอนที่กินข้าวเช้า เธอจึงกลายเป็นความบันเทิงของท่านปู่และบรรดาพี่ชายทั้งหลายของตน
“ท่านพี่สาม ท่านพี่สี่ เหตุใดจึงยังไม่ไปที่วิทยาลัยอีกเล่า แล้ววันนี้ท่านพี่ใหญ่กับท่านพี่รองไม่ออกไปข้างนอกกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วเริ่มกินข้าวเช้า เมื่อมองเห็นอาหารที่ไม่ต่างไปจากเมื่อวานแล้วเธอก็ขมวดคิ้วก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา
“พวกเรากำลังรอเจ้าอยู่อย่างไรเล่า พอแน่ใจว่าเจ้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ พวกเราค่อยออกจากบ้านก็ยังไม่สายหรอก” ซือหม่าโยวฉีพูด
“แล้วดวงตาเจ้าเป็นอะไรไป” ซือหม่าโยวหมิงมองดูขอบตาดำคล้ำลึกโหลของเธอแล้วเอ่ยถาม
“เมื่อคืนมียุงยักษ์สองตัวอยู่ในห้อง ส่งเสียงจนข้าหลับไม่ลงทั้งคืนเลยขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดไร้สาระไปเรื่อย
ตอนนี้เป็นต้นฤดูร้อน อันที่จริงก็เริ่มจะไม่มียุงแล้ว ทว่าแม้เธอพูดเช่นนี้ออกไปแต่ทุกคนก็ไม่ได้สงสัย
ซือหม่าโยวเย่ว์กินอาหารเช้าไปครึ่งหนึ่งแล้วก็วางตะเกียบลง
“เหตุใดเจ้าจึงไม่กินต่อ” ซือหม่าเลี่ยถาม
“ไม่อร่อยเลยกินไม่ลงขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดตอบ
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้กินเช่นนี้อยู่แล้วหรือ” ซือหม่าโยวหรานมองดูอาหารเช้า ซึ่งมิได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เลยมิใช่หรือ
“ในเมื่อโยวเยว่ไม่อยากกิน เช่นนั้นก็มายกออกไปเสียเถิด” ซือหม่าเลี่ยพูด
สาวใช้ที่คอยอยู่ด้านข้างรีบก้าวเข้ามายกอาหารออกไปจนหมด พวกซือหม่าโยวฉีแต่ละคนก็ไม่ได้แสดงความเห็นอันใด ตอนนี้พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องกินอาหาร ที่กินอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพื่อกินเป็นเพื่อนซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น
“เช่นนั้นพวกเราไปที่วิทยาลัยก่อนนะ” พวกซือหม่าโยวหรานพากันลุกขึ้นพูด
“พวกเราไปก่อนนะ” ซือหม่าโยวฉีพูด
“ไปเถิดๆ” ซือหม่าเลี่ยพูดพลางโบกไม้โบกมือ รอหลังจากที่พวกเขาไปกันหมดแล้วจึงค่อยเอ่ยถามซือหม่าโยวเย่ว์ “โยวเยว่ วันนี้เจ้าวางแผนจะทำสิ่งใดหรือ”
เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะไปวนเวียนแถวห้องหนังสือสะสม แต่เมื่อนึกถึงว่าอาหารที่ได้กินล้วนเป็นอาหารที่ปรุงอย่างง่ายๆ ทุกครั้งแล้วก็หลุดปากพูดไปว่า “ข้าจะไปดูในห้องครัวสักหน่อย สอนคนครัวผัดกับข้าวน่ะขอรับ!”
“สอน…สอนคนครัวผัดกับข้าวอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยถูกคำตอบของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ตกใจจนตัวแข็งไปเสียแล้ว
“ถูกต้องแล้วขอรับ วันนี้จักรพรรดิตงเฉินมิได้ทรงเรียกท่านปู่ไปปรึกษาเรื่องราชการหรอกหรือ ข้าจะอยู่ที่บ้านนี่แหละ ไม่ไปไหนทั้งนั้นขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เธอรู้ว่าที่ซือหม่าเลี่ยถามเธอเช่นนี้ก็เพราะไม่วางใจตน กลัวว่าตนจะออกไปแล้วถูกคนรังแกอีก ตอนนี้มีคำรับรองแล้วเขาก็ควรจะออกไปอย่างสบายใจได้
ถึงแม้ว่าซือหม่าเลี่ยจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์สักเท่าใดนัก เพราะก่อนหน้านี้นางก็เคยพูดเช่นนี้มาก่อนแล้ว แต่พอตนก้าวออกไปจากบ้าน เธอก็ก้าวตามออกไปติดๆ ทันที แต่เมื่อเห็นนางเดินมุ่งตรงไปยังห้องครัว เขาก็ทำได้เพียงแค่เลือกที่จะเชื่อนางอีกครั้ง
คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้ผิดคำพูด วันนี้เธออยู่ในครัวตลอดทั้งวันจริงๆ เมื่อเห็นซือหม่าเลี่ยที่กลับออกมาจากวังแล้วก็เอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านมาลองชิมกับข้าวที่พ่อครัวเพิ่งผัดใหม่ๆ นี่ดูสิขอรับ!” พูดแล้วเธอก็ยังใช้ตะเกียบคีบอาหารส่งไปถึงปากซือหม่าเลี่ย
ซือหม่าเลี่ยกินผักที่เธอส่งมาให้ลงไป พลางเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “นี่มันอาหารอันใดกัน เหตุใดจึงอร่อยเช่นนี้เล่า”
“นี่คือผักที่ข้าสอนพวกเขาผัด เป็นอย่างไรบ้างขอรับ รสชาติไม่เลวเลยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ฮ่าๆ อร่อยกว่าก่อนหน้านี้จริงๆ เสียด้วย” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ วันนี้พวกเขาฝึกฝนอยู่ทั้งวันจึงจะผัดออกมาเช่นนี้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเขาผัดออกมาจะเทียบกับความต้องการของเธอไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าที่กินมาสองมื้อก่อนมากมายนัก
ต่อมาเธอก็เห็นว่าอวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนค่อนข้างจะมีพรสวรรค์ในเรื่องเหล่านี้ จึงลากพวกนางมาฝึกฝนด้วยกัน จานที่อยู่ในมือของเธอตอนนี้เป็นฝีมือการผัดของอวิ๋นเย่ว์นั่นเอง
“อืม ต่อจากนี้ก็ให้พวกนางทำของอร่อยๆ ให้เจ้ากินก็แล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด “ถ้าหากเจ้าไม่เป็นไรแล้วก็มาทุ่มเทจิตใจให้กับสิ่งนี้ได้นะ”
“ข้าทราบแล้วขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงวางตะเกียบลงแล้วพูดว่า “ท่านปู่ ข้าอยากจะไปหาหนังสือที่ห้องหนังสือสะสมของพวกเรามาอ่านสักหน่อยน่ะขอรับ”
……………………