“เจ้าอยากอ่านหนังสือหรือ” ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ของเขาทำให้คนในห้องครัวต่างพากันมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างแปลกประหลาด
อันที่จริงแล้วจะติที่พวกเขาตอบสนองอย่างใหญ่โตเช่นนี้ก็มิได้ ซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไร้ค่า อีกทั้งยังเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลย นอกจากจะเขี่ยตัวอักษรไม่กี่ตัวแล้ว แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยอ่านหนังสือเลยสักเล่ม อีกทั้งยังไม่เคยไปวิทยาลัยเลยด้วย อยู่ดีๆ คนเช่นนี้มาพูดว่าอยากอ่านหนังสือ ทุกคนไม่ประหลาดใจต่างหากจึงจะแปลก!
“แค่กๆ” ซือหม่าเลี่ยกระแอมสองครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอยากอ่าน เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูพร้อมกันเถิด”
ซือหม่าเลี่ยพูดจบแล้วก็เดินเอามือไพล่หลังจากไป ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รีบตามไปติดๆ คนทั้งสองมาหยุดตรงหน้าหอสูงสามชั้นที่อยู่กลางลานบ้านแห่งหนึ่ง
อาคารและลานบ้านเรียบง่าย อาคารเช่นนี้ในจวนแม่ทัพช่างไม่สะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ย่อมไม่มีใครคาดเดาได้อยู่แล้วว่านี่คือห้องหนังสือสะสม
“นี่ก็คือห้องหนังสือสะสม” ซือหม่าเลี่ยเปิดประตูด้วยกุญแจพลางพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ด้านหลัง
นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาที่นี่ ถึงแม้ว่าอาคารแห่งนี้จะอยู่ตรงกลางระหว่างเรือนของเธอกับประตูใหญ่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยมาดูที่นี่เลย
“นี่คือกุญแจสำหรับเจ้า” ซือหม่าเลี่ยหยิบกุญแจดอกหนึ่งจากแหวนเก็บวัตถุออกมามอบให้เธอ
พี่ชายทั้งสี่คนของซือหม่าโยวเย่ว์ต่างก็มีกุญแจกันทั้งสิ้น มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นตลอดมาจึงไม่เคยมอบให้กับเธอเลย เพราะกลัวว่าเธอจะโยนกุญแจทิ้งไปเสียเปล่าๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์รับกุญแจมาแล้วเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อของตน ตอนนี้เธอไม่มีพลังวิญญาณ ย่อมใช้งานแหวนเก็บวัตถุไม่ได้อยู่แล้ว
“เอาละ เจ้าอยากจะอ่านหนังสือเล่มใดก็ไปเลือกเอาเองเถิด ปู่ยังมีเรื่องต้องไปจัดการ ขอกลับไปที่ห้องหนังสือก่อนนะ หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ไปหาข้าที่ห้องหนังสือก็แล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยเปิดประตูให้เธอพลางพูดขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าให้ซือหม่าเลี่ย เมื่อเห็นเขาเดินไปแล้วจึงค่อยหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องหนังสือสะสม
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ปัญหาของร่างกายตัวเองแล้ว แต่เครื่องยาต่างๆ ในชาติก่อนและชาตินี้ต่างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อย่างน้อยก็มีบางชื่อที่ไม่เหมือนกัน เธอต้องค้นคว้าดูให้รู้แน่ชัด จากนั้นจึงจะจัดยาถอนพิษให้ตนเองได้อย่างถูกต้อง
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปในห้องหนังสือสะสม คิดไม่ถึงว่าด้านในของอาคารที่ภายนอกดูไม่สะดุดตาเลยนั้นจะใหญ่โตโอ่อ่าเช่นนี้ เธอมองดูรอบหนึ่ง ตรงกลางมีบันไดวน หมุนวนขึ้นไปเชื่อมต่อทั้งสี่ชั้นเข้าด้วยกัน ซึ่งทุกชั้นล้วนมีหนังสืออยู่มากมาย
ไม่เพียงเท่านี้ พื้นที่ที่มองจากด้านนอกแล้วดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่เมื่อเข้ามางด้านในแล้วชั้นล่างสุดกลับมีขนาดใหญ่พอๆ กับสนามฟุตบอลในชาติก่อนเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเมื่อขึ้นไปข้างบนแล้วจะเล็กลงเรื่อยๆ แต่ชั้นบนสุดก็ยังใหญ่กว่าสนามบาสเกตบอลเสียอีก
“โอ้แม่เจ้า นี่คืออะไรกัน นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้วนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึงเพราะภาพอันอลังการที่เห็นตรงหน้าเสียแล้ว โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างแต่ละชั้น พอเธอได้สติกลับคืนมาก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมา “หนังสือเยอะแยะขนาดนี้ แล้วจะเริ่มหาจากตรงไหนล่ะ ถ้ารู้ก่อนก็คงถามท่านปู่ไปแล้วล่ะ”
เธอหาที่ชั้นหนึ่งก่อน หลังจากที่ค้นหาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พบว่าที่นี่จัดวางหนังสือประเภทเดียวกันเอาไว้ด้วยกัน ถ้าหากเป็นชั้นวางเดียวกันก็จะเป็นหนังสือประเภทเดียวกัน เช่นนั้นด้านหลังอีกสิบแถวก็เป็นหนังสือประเภทเดียวกันทั้งสิ้น
“ฮ่า หาเจอแล้ว” หลังจากหาอยู่นานสองชั่วโมง ในที่สุดเธอก็หาตำราที่เกี่ยวข้องกับทักษะการแพทย์เจอท่ามกลางชั้นที่หนึ่งของห้องหนังสือสะสม
เธอหาท่ามกลางแถวหนังสืออยู่ชั่วครู่ก็หาหนังสือที่เกี่ยวกับเครื่องยาพบ และปรากฏว่าทั้งชั้นนี้ล้วนใช่ทั้งสิ้น เธอลูบท้องที่หิวโหยอยู่บ้างก่อนจะหยิบหนังสือออกมาหลายเล่มแล้วหอบเอาไว้ในอ้อมแขนเดินออกมาจากห้องหนังสือสะสม ตอนที่เธอเดินออกมาจากห้องหนังสือสะสม ประตูด้านหลังก็ลงกลอนเองเสียงดังคลิก
เวลานี้ฟ้ามืดลงแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังเรือนของตน อวิ๋นเย่ว์และชุนเจี้ยนเห็นหนังสือหอบใหญ่ที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอแล้วก็รีบเข้ามารับอย่างรวดเร็วพลางถามว่า ”คุณชาย อยากรับประทานอาหารค่ำตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม ข้าหิวแล้ว ยกข้าวปลาอาหารเข้ามาในห้องข้าเลยก็แล้วกัน อ้อ ยังมีอีก อวิ๋นเย่ว์ เจ้าไปบอกท่านปู่ข้าให้หน่อยสิว่าอีกสองวันต่อจากนี้ข้าจะอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ไม่ออกไปกินข้าวละนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบท้องพลางกลับเข้าไปในห้องของตน
ชุนเจี้ยนเข้าไปเตรียมอาหารค่ำให้ซือหม่าโยวเย่ว์ในห้องครัว ส่วนอวิ๋นเย่ว์นั้นหลังจากที่หอบหนังสือเข้าไปไว้ในห้องให้เธอแล้วก็ไปพบซือหม่าเลี่ย
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วเริ่มต้นอ่าน หนังสือที่เธอหามาล้วนเกี่ยวกับวิชาแพทย์อย่างผิวเผินสำหรับให้คนที่เพิ่งเริ่มต้นอ่าน เครื่องยาด้านในก็ล้วนพบเห็นได้บ่อยและจำแนกได้ง่ายทั้งสิ้น สติปัญญาของเธอในชาติก่อนสูงกว่าคนทั่วไปเกือบเท่าตัว ดังนั้นจึงเรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็วยิ่ง บวกกับเดิมทีเธอก็คุ้นเคยกับยาแผนจีนโบราณเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ที่อ่านตำราแพทย์เหล่านี้อยู่ในตอนนี้ก็เพื่อเปรียบเทียบกับชาติก่อนเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงอ่านหนังสือได้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พอชุนเจี้ยนยกอาหารค่ำเข้ามาให้เธอ เธอก็อ่านหนังสือเล่มแรกไปเกินครึ่งเล่มแล้ว
ชุนเจี้ยนมองเห็นเธออ่านหนังสืออย่างไม่ผ่านการคิดวิเคราะห์แล้วก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ ดูท่าทางคุณชายผู้นี้อ่านหนังสือก็คงจะมิได้อ่านให้ดีๆ กระมัง!
“คุณชาย กับข้าวเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนวางกับข้าวลงบนโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์วางหนังสือลงแล้วมายังโต๊ะอาหาร พอเห็นอาหารที่แตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิงแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจพลางเอ่ยว่า “นี่สิถึงจะเรียกว่ากับข้าว”
ซือหม่าโยวเย่ว์กินอาหารค่ำหมดอย่างรวดเร็วแล้วเร่งให้สาวใช้ทั้งสองออกไปนอกห้อง หลังจากนั้นก็ไปยังโต๊ะอ่านหนังสือเพื่ออ่านหนังสือต่อไป
เธออ่านหนังสือเล่มแรกจบแล้วก็พบว่าเครื่องยาธรรมดาทั่วไปของที่นี่กับในโลกของเธอใกล้เคียงกันมาก แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างเช่นชื่อเรียกไม่เหมือนกัน หรือว่าเครื่องยาที่มีสรรพคุณทางยาเหมือนกันมีหลากหลายชนิดมากกว่า เป็นต้น ทั้งยังมีบางอย่างที่เป็นเครื่องยาที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน
แต่เธอก็ค้นพบว่าสิ่งที่ตนหยิบกลับมานั้นเป็นตำราชุดเดียวกัน ด้านในเป็นการสรุปเครื่องยาที่มีสรรพคุณเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน หากรู้เช่นนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คงจะหาเครื่องยาที่ตนเองต้องการโดยอ้างอิงจากสรรพคุณได้อย่างรวดเร็วแล้ว
“ที่แท้แล้วชื่อเรียกส่วนใหญ่ไม่เหมือนกันเลย ยังดีที่ตนหาตำราแพทย์เพื่อเปรียบเทียบเอาไว้ก่อนแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูตำรับยาที่จดเอาไว้แล้วก็บิดขี้เกียจคราหนึ่งจึงค่อยค้นพบว่าตอนนี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว
เพราะว่าเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนหลับเพียงพอ คืนนี้ก็ยังอยู่จนดึกดื่นอีก หลังจากที่เธอผ่อนคลายลงแล้วก็รู้สึกว่าดวงตาเกือบจะปิดอยู่แล้ว จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเตียงนอนของตน เพียงไม่นานก็หลับสนิท
คืนนี้เธอไม่ได้ฝัน หากแต่หลับสนิทรวดเดียวยาวจนเกือบเที่ยง เธอลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือมองดูมุ้งที่มีลวดลายโบราณแล้วก็ยังคิดว่าตนกำลังฝันไปอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
“จ๊อกๆ…”
ท้องไส้อันหิวโหยเริ่มส่งเสียงร้องขึ้นมาทำให้สติรับรู้ของเธอกลับคืนมาอย่างช้าๆ ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากพลางเอ่ยพึมพำว่า “ที่แท้แล้วนี่มันไม่ใช่ความฝันนี่นา”
เธอลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อวิ๋นเย่ว์เข้ามาปรนนิบัติให้ล้างหน้าล้างตา ส่วนชุนเจี้ยนก็ยกอาหารเที่ยงที่ตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วเข้ามาให้ หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็หยิบเทียบยาสองแผ่นที่เขียนเอาไว้เมื่อคืนไปหาซือหม่าเลี่ย
ตอนที่ซือหม่าเลี่ยมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังประหลาดใจอยู่บ้าง พูดในใจว่าเมื่อวานเพิ่งจะบอกว่าสองวันนี้จะอ่านหนังสืออยู่แต่ในเรือนของตนเองอยู่เลย เหตุใดวันที่สองก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางกันเล่า
“ท่านปู่ ข้ามีเรื่องอยากถามท่านน่ะขอรับ” ไม่รอให้ซือหม่าเลี่ยถามไถ่ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ว่าอย่างไรหรือ” ซือหม่าเลี่ยเห็นท่าทีและสีหน้าเคร่งขรึมของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็โบกไม้โบกมือให้ทหารยามถอยออกไปก่อน
ซือหม่าโยวเย่ว์ยกเก้าอี้ย้ายมาตรงหน้าโต๊ะหนังสือของซือหม่าเลี่ยแล้วนั่งลง ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านรู้หรือไม่ขอรับว่าเหตุใดข้าจึงไม่อาจบำเพ็ญได้”
…………………