บทที่ 4 เป็นเวลาแสดงฝีมือที่แท้จริงแล้ว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ทันทีที่ก้าวเข้ามายังโถงด้านใน เขารู้สึกได้ถึงสายตาอันเฉียบคมสามสายกำลังจับจ้องมาที่ตน

ผู้ที่สวมชุดข้าราชการสีแดงสดถักด้วยลวดลายรูปห่านคงจะเป็นข้าหลวง อืม ข้าราชการระดับสี่… ลุงที่มีฆ้องสีเงินปักไว้บนหน้าอกคือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล… เชี่ย สตรีผู้นี้งดงามยิ่งนัก…มีคู่ครองแล้วหรือไม่

สวี่ชีอันกวาดตาไปยังหน้าอก จากนั้นเขาก็สงบนิ่งลงมาก

เขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว แสดงออกถึงการถ่อมตัวอย่างยิ่ง

ข้าหลวงเฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่มีสีหน้าเรียบเฉย ทว่ากลับมีน้ำเสียงเคร่งครัดอย่างยิ่งเหมือนใช้ไต่สวนนักโทษ

“สวี่ชีอัน เมื่อสามวันก่อนขณะที่อยู่ในเรือนจำ เจ้าไม่ได้บอกว่าตัวเองมีเบาะแสสำคัญ เจ้าควรรู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการปิดบังความจริง”

ข้าราชการที่มากด้วยประสบการณ์ ต่อให้ในใจจะรีบร้อนแทบแย่แล้ว ยามเอ่ยปากก็จะไม่ถามหาเบาะแสเด็ดขาด ทว่าเพิ่มแรงกดดันจิตใจเข้าไปแทน

มาถึงที่นี่ได้ถือว่าแผนการสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง สวี่ชีอันยังคงสงบนิ่ง

“ใต้เท้า เมื่อครู่นี้บุตรชายคนรองสกุลสวี่เพิ่งมาพบข้า ข้าจึงถามเขาถึงสำนวนคดี” อันดับแรกต้องซื่อสัตย์

ทั้งสามคนรู้จักสวี่ซินเหนียน ไม่ใช่เพราะเขามีชื่อเสียง ทว่าเป็นในฐานะลูกชายของสวี่ผิงจื้อ ทั้งสามย่อมต้องมีการตรวจสอบ

“นี่เกี่ยวข้องกับเบาะแสที่เจ้าพูดอย่างไร” ข้าหลวงเฉินไต่ถาม

“ข้าน้อยอนุมานความจริงของคดีได้จากสำนวนคดี…”

“ช้าก่อน” ข้าหลวงเฉินแทรกขึ้น เขาเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “จากสำนวนคดีงั้นหรือ” นี่ต่างจากที่เขาคิดไว้

“ข้าน้อยคลี่คลายคดีนี้ได้แล้ว” สวี่ชีอันพยักหน้าแสดงออกว่าเป็นเช่นนั้น

ข้าหลวงเฉินระงับความคิดที่จะส่งเจ้าเด็กนี่กลับไปยังเรือนจำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นเจ้าก็ว่ามา แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากพูดจาเลื่อนเปื้อน โบยสองร้อยไม้สามารถทำให้เจ้าตัวแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้”

“เงินภาษีที่ถูกขโมยไป อันที่จริงไม่ได้เกิดจากปีศาจตนใด ทว่าเป็นฝีมือของมนุษย์” เพียงแค่ประโยคเดียวทำให้ทั้งสามอึ้งไป

ข้าหลวงเฉินตบโต๊ะด้วยความโกรธพร้อมกับตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ไร้สาระสิ้นดี ใครก็ได้ลากเจ้านี่ออกไปโบยสองร้อยไม้”

ปีศาจปล้นเงินภาษีไปแทบจะเป็นบทสรุปของคดีความ เป็นสิ่งที่เจ้าของเรื่องทั้งสามเห็นพ้องต้องกัน

หากก่อนหน้านี้หวังไว้ว่าสวี่ชีอันจะให้เบาะแสที่มีประโยชน์ ตอนนี้กลับต้องสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ก็แค่คำพูดบ้าระห่ำของหมาจนตรอกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น

ดวงตาของชายวัยกลางคนวาบประกายขึ้นเล็กน้อย โบกมือไล่เจ้าหน้าที่ที่กรูกันเข้ามา “ใต้เท้าเฉิน โปรดรอสักครู่”

เขาจ้องไปที่สวี่ชีอันอย่างพินิจและรอคอยด้วยดวงตาที่สว่างไสว “เจ้าลองว่ามา”

ข้าหลวงเฉินคนนี้อารมณ์รุนแรงนิดหน่อย…สวี่ชีอันตระหนักดีว่าถึงเวลาแสดงฝีมือของตนแล้ว

“จากคำให้การของยามเฝ้าประตูเมือง อารองของข้าเข้าเมืองในเวลายามเหม่าสองเค่อ[1] และในยามเฉินหนึ่งเค่อ[2]หน่วยคุ้มกันเงินภาษีเดินทางมาถึงถนนกว่างหนาน ยามนั้นจู่ๆ ก็มีลมประหลาดพัดมาจนม้าตกใจวิ่งถลันลงไปในแม่น้ำ”

เขาพยายามอย่างเต็มที่ให้น้ำเสียงไม่ถ่อมตนหรือยกตน เผยความเยือกเย็นของตนเองยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มแรงโน้มน้าวใจ

ข้าหลวงเฉินพยักหน้า “นั่นคือสาเหตุที่พวกเราตัดสินว่าปีศาจตนนี้ซ่อนอยู่ในแม่น้ำ รอโอกาสชิงเงินภาษีไป”

“ไม่!” สวี่ชีอันสวนกลับลั่น “ลมปีศาจเป็นเพียงแค่วิธีบังตา การระเบิดในแม่น้ำก็เป็นวิธีบังตาเช่นกัน อันที่จริงก็เพื่อให้พวกท่านมองข้ามช่องโหว่จุดหนึ่ง ช่องโหว่ที่สำคัญที่สุด”

ข้าหลวงเฉินรีบซักไซ้ทันใด “ช่องโหว่อะไร”

ชายวัยกลางคนก็มีท่าทีตั้งใจฟัง

หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองเคี้ยวผลไม้แช่อิ่มไม่ได้กลืน ดวงตาที่ไอวิญญาณแผ่ซ่านจับจ้องที่ตัวสวี่ชีอันด้วยความสนใจ

พวกเขาดูสำนวนคดีซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแล้ว รู้ถึงเหตุที่เกิดดุจดั่งนิ้วมือตนเอง แต่กลับไม่เคยสังเกตเห็นช่องโหว่ใดๆ

“อารองของข้าทำหน้าที่คุ้มกันเงินภาษีหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง เช่นนั้นข้าขอถามใต้เท้าทั้งหลาย หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงินหนักกี่ชั่ง”

ชายวัยกลางคนสีหน้าที่แข็งทื่อ ในขณะที่หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองเอียงศีรษะน้อยๆ อยู่นานโดยไม่กลับมาตั้งตรง

ข้าหลวงเฉินพูดอย่างไม่พอใจ “มีอันใดก็รีบพูดมา อย่ามัวเล่นลิ้น”

เดิมทีสวี่ชีอันคิดจะให้คำชี้แนะเพื่อให้เหล่าใต้เท้ามองทะลุช่องโหว่ใหญ่นี้ด้วยตนเอง แต่ดูเหมือนเป็นการทำร้ายตัวเขาเองเสียมากกว่า

ความสามารถในการคิดเลขเร็วต่ำกันไปหน่อยแล้ว คนโบราณอย่างพวกเจ้านี่นะ…

สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นทันใด “เป็นเก้าพันสามร้อยเจ็ดสิบห้าชั่ง” ตามสูตรการแปลงปริมาณของโลก หนึ่งชั่งเท่ากับสิบหกตำลึง ฉะนั้นหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงจะเท่ากับเก้าพันสามร้อยเจ็ดสิบห้าชั่ง

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว เขาคล้ายจับอะไรได้รางๆ

หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองมุ่นคิ้ว “นี่หมายความว่าอย่างไร” เสียงของนางกระจ่างใสดุจกระดิ่งเงิน

หมายความว่าเจ้าไม่ฉลาดสักเท่าไร!

สวี่ชีอันกล่าว “จากประตูเมืองไปยังถนนกว่างหนานระยะทางไกลแค่ไหน”

ชายวัยกลางคนตอบกลับ “สามสิบลี้”

“ระหว่างทางผ่านตลาดกี่แห่ง”

“…สี่แห่ง”

“หากเดินทางด้วยม้าจะใช้เวลาเท่าไหร่”

“หากใช้ม้า…” ชายวัยกลางคนเบิกตากว้างและลุกขึ้นยืนทันใด

เขาเบิกสองตากว้าง เผยสีหน้า ‘เป็นเช่นนี้เอง เป็นอย่างนี้สินะ’ ออกมาในทันใด

การไล่ล่าตามหาเบาะแสปีศาจในสามวันนี้กลับไม่มีอะไรคืบหน้า

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้มากประสบการณ์ผู้นี้ตระหนักได้แล้วว่าเขาอาจจะกำลังไปผิดทาง

ทว่าแนวคิดในหัวเขายังไม่ชัดเจน ดังนั้นหลังจากถูกปัดตกไปก่อนหน้าจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

ข้าหลวงเฉินรู้สึกชาหน่อยๆ ตรงหนังศีรษะ เนื่องจากเขายังฟังไม่ออกว่ามีปัญหาใด เห็นชัดว่าข้าหลวงอย่างเขาคนนี้ก็ไม่ได้ฉลาดเฉลียวนัก

ข้าหลวงเฉินมองไปที่หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลือง นั่นทำให้ใจของเขาสงบนิ่งลงไม่น้อย

หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองกล่าวอย่างอัดอั้น “ตรงไหนที่มีปัญหา”

ชายวัยกลางคนฮึกเหิมขึ้นมาอยู่บ้าง “เวลา เวลามันผิดปกติ”

“ถนนกว่างหนานอยู่ห่างจากประตูหนานเฉิงสามสิบลี้ หากเดินทางด้วยม้าต้องผ่านตลาดสี่แห่ง ยามเหม่าสองเค่อเข้าเมือง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถึงถนนกว่างหนานยามเฉินหนึ่งเค่อ”

เขาได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาก่อนหน้า ทำให้นึกไปว่าเงินภาษีที่หายไปเกิดจากปีศาจก่อปัญหา ทว่าหลังผ่านการสางปมของสวี่ชีอัน เขาก็คิดถึงสิ่งที่ผิดแปลกไปออกมาได้

“ถึงเงินภาษีไปถึงถนนกว่างหนานยามเฉินจริงๆ เวลานั้นมีผู้คนจำนวนมากเห็นเหตุการณ์ที่ม้าวิ่งลงไปในแม่น้ำ เป็นสิ่งที่ตบตาไม่ได้”

หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองกล่าวด้วยเสียงคมชัด

ข้าหลวงเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ พูดคล้อยตามว่า “นี่จะอธิบายอย่างไร”

“นี่…” ชายวัยกลางคนอึ้งงันแล้วหันไปมองทางสวี่ชีอันตามจิตใต้สำนึก

“เป็นเพราะสิ่งที่คุ้มกันเดิมทีก็ไม่ใช่เงิน” สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทรงพลัง

“เหลวไหล!” ข้าหลวงเฉินโต้กลับ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอารองของเจ้ากับทหารคุ้มกันมีตาหรือไม่ ในสำนวนคดีได้บันทึกคำให้การของประชาชนที่เหตุการณ์ในยามนั้น ว่าตอนม้าวิ่งลงไปในแม่น้ำมีก้อนเงินขาวกลิ้งตกลงไปในน้ำ”

เขามองไปยังสำนวนคดีที่ถืออยู่ในมือ “นี่ก็เป็นเรื่องเท็จหรือ”

“สิ่งที่มองเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นความจริงเสมอ…ข้าน้อยยินดีไขข้อข้องใจของใต้เท้าด้วยตัวเอง” สายตาเขาจ้องไปที่โต๊ะ “ข้าขอยืมกระดาษกับพู่กันสักหน่อยขอรับ”

ข้าหลวงเฉินโบกมือลวกๆ แสดงออกว่าตามสะดวก

สวี่ชีอันลากโซ่ตรวนไปถึงโต๊ะ เทน้ำหมึกลงจานฝนหมึก จากนั้นกางกระดาษเซวียนจื่อ[3]ออกแล้วเขียนอักษรบิดเบี้ยวลงไป

“ใต้เท้า ขอท่านจัดเตรียมสิ่งของบนกระดาษตามที่ข้าน้อยขอด้วยเถิด” เมื่อเขียนเสร็จเขาจึงยื่นกระดาษให้กับข้าหลวงเฉิน

ข้าหลวงเฉินหยิบกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมากวาดตามองรอบหนึ่ง ในหัวมึนงงสับสน

“ให้ข้าดูที” หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองเข้ามาร่วมความครึกครื้น ยื่นมือขาวเนียนไปหยิบกระดาษมา จากนั้นก็มึนงงไปทั้งหัว

“…” หลี่อวี้ชุนชายวัยกลางคนเหลือบมองไปที่กระดาษด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เขาคลี่มุมกระดาษที่พับเป็นรอยออกโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ จากนั้นจึงยื่นให้ข้าหลวงเฉิน

………………………………………………

[1] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 น.ถึง 07.00 น. หนึ่งเค่อ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที

[2] ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 น.ถึง 09.00 น. หนึ่งเค่อ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที

[3] กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูง เนื้อกระดาษนิ่มเหนียวไม่ขาดง่ายดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ