บทที่ 8 งูทมิฬปีกกระดูก

ไหปีศาจ

บทที่ 8 งูทมิฬปีกกระดูก

หากสัตว์วิญญาณสามารถฝ่าฝืนข้อจำกัดทางสายพันธุ์ ก้าวไปสู่ระดับที่สูงกว่าจนสามารถหลุดออกจากเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมได้

ผู้คนเรียกจะสิ่งนี้ว่า การวิวัฒนาการ ไม่ใช่การพัฒนาร่าง

การพัฒนาร่างนั้นสามารถคาดเดาได้เพราะมันยังอยู่ในขอบเขตของสายพันธุ์ ทว่าการวิวัฒนาการนั้นไม่สามารถคาดเดาได้

ทิศทางของการวิวัฒนาการนั้นแปลกและแตกต่างออกไป

งูทองคำที่ทำลายขีดจำกัดทางสายพันธุ์ นั้นมีมากกว่าหนึ่งตัวอย่าง และเมื่อมีประวัติของสัตว์วิญญาณมานานหลายพันปี มนุษย์ก็เริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์วิญญาณมากขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง เคยมีงูทองคำที่สามารถทะลุขีดจำกัดได้และพัฒนาจนเป็นงูทองคำสองหัว มันมีความสามารถในการปล่อยลมหายใจพิษได้จากทั้งสองปาก ทำให้พลังในการปล่อยลมหายใจพิษเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

บางครั้งมันก็ถูกบันทึกไว้ด้วยว่า ในช่วงวิวัฒนาการของงูทองคำ มันได้ดูดกลืนเปลวไฟรอบ ๆ โดยบังเอิญและก็กลายร่างวิวัฒนาการเป็นงูเพลิงโลกันตร์ ทำให้ร่างกายของมันสามารถจุดประกายไฟที่ไม่มีวันดับได้

นอกจากนี้มันยังถูกบันทึกไว้ด้วยเมื่อ 350 ปีก่อนว่า งูทองคำที่ทะลุขีดจำกัดของสายพันธุ์บางตัว จะมีเขางอกขึ้นมา มีกรงเล็บตรงหน้าท้อง มีหนวดที่คางและมีพลังมังกรสถิตในร่างของมัน และพัฒนาระดับของตัวเองจากระดับเงินข้ามไปถึงระดับทองคำขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในวิวัฒนาการที่น่าทึ่งที่สุด

ลั่วอู๋มองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งสงบ

นี่คือวิวัฒนาการไม่ผิดแน่

หลายคนอาจไม่ได้มีโอกาสเห็นวิวัฒนาการของสัตว์วิญญาณตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา

นี่เป็นก้าวกระโดดของประสบการณ์ชีวิต ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต มันช่างน่ายินดีที่ได้เห็นฉากนี้กับตาและลั่วอู๋ก็พอใจมาก

จังหวะนี้เองลั่วอู๋ก็ฉุกคิดถึงการวิวัฒนาการของต้าหวงโดยบังเอิญ

ในทางทฤษฎีแล้วการวิวัฒนาการของต้าหวงนั้นคือการเปลี่ยนจากสัตว์ปกติไปเป็นสัตว์วิญญาณระดับทองแดง แต่มันกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

พลังงานของงูทองคำนั้นเพิ่มพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของมันก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง สายตาของมันไม่ดูเย็นชาอีกต่อไป มันดูยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้

ขณะเดียวกันคอของมันก็เริ่มใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

“แกร่ก”

มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับเกล็ดและเนื้อที่แยกออกเป็นชิ้น ๆ มีเลือดรินไหลออกมาจากบาดแผลอย่างต่อเนื่องไม่หยุด รอยแผลนั้นดูน่ากลัวและเหมือนจะมีกระดูกงอกออกมาจากส่วนที่ปริแยก

ปีกกระดูกที่เปื้อนเลือดหนึ่งคู่ค่อย ๆ ขยายออกไปอย่างช้า ๆ กระดูกปลายแหลมเจ็ดอันงอกออกมาปิดบนโครงกระดูกปีก มันดูแปลกประหลาดมาก

เส้นสีทองบนเกล็ดเริ่มจางหายไปและเกล็ดทั้งหมดเริ่มมีสีคล้ำลงและรวมเข้าด้วยกัน

งูทองคำ ดูทุกข์ทรมาน มันกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น ลมหายใจนั้นเหนื่อยอ่อนและเปลี่ยนไปจากอาการที่เคยเป็น

ดวงตาของลั่วอู๋เบิกกว้าง มันเป็นเรื่องหาได้ยากมากที่จะมีปีกงอกออกมา

เขาไม่แน่ใจว่าเคยมีงูทองคำตัวไหนที่เคยพัฒนาเป็นรูปร่างแบบนี้ไหม แต่เขานั้นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับงูทองคำที่วิวัฒนาการมีปีกงอกออกมา

มันไม่ใช่ปีกทั่วไป แต่เป็นปีกกระดูก ในแต่ละด้านมีกระดูกเจ็ดซี่ ซึ่งจะเรียงกันสั้นลงไปเรื่อย ๆ และในเงี่ยงกระดูกก็จะมีหนามกระดูกละเอียดลง เห็นได้ชัดว่ามันสามารถเป็นอาวุธโจมตีอันยอดเยี่ยมได้

เมื่อเวลาผ่านไปในที่สุดลมหายใจของ งูทองคำเริ่มนิ่ง พลังวิญญาณโดยรอบถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของมัน วิญญาณของมันจึงเริ่มฟื้นตัว

ในที่สุดการวิวัฒนาการก็เสร็จสิ้น

ลั่วอู๋ตกใจในทันทีที่เห็น จากนั้นเขาก็รีบตรวจสอบข้อมูลของงูทองคำตัวนี้

เผ่าพันธุ์: งูทมิฬปีกกระดูก

มิติ: ระดับทอง 1

คุณสมบัติ: ระดับทอง

ทักษะ: หมอกพิษ (ระดับ D), รัดมรณะ (ระดับ D), พิษร้ายแรง (ระดับ B), ธรณีสูบ (ระดับ C), บินเหินหาว (ระดับ a), ลมหายใจมรณะ (ระดับ B)

พื้นหลัง: วิวัฒนาการมาจากงูทองคำ

งูทองคำได้เรียนรู้สองทักษะใหม่

การหายใจโดยเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่งแล้วพ่นออกไปเป็นทักษะของสัตว์วิญญาณที่ทรงพลัง

ส่วนการบินเองเป็นทักษะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างหนึ่งของสัตว์วิญญาณ ต่อหน้าสัตว์วิญญาณที่ไม่สามารถบินได้แล้วนั้น หากสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นอมตะ

เพราะถ้าศัตรูแตะต้องมันไม่ได้แล้วจะเอาชนะมันได้ยังไงกัน

ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ใช่ทักษะการต่อสู้ แต่มันได้รับการจัดให้อยู่ในระดับ A

ราคาของ สัตว์วิญญาณ ที่มีความสามารถในการบินนั้นสูงกว่าราคาของสัตว์วิญญาณในระดับเดียวกันที่ไม่มีทักษะนั้นหลายเท่า

ใครกันเล่าที่จะไม่ชอบความสามารถในการบิน การที่สัตว์วิญญาณสามารถบินไปบนท้องฟ้าได้ หมายความว่าผู้ใช้สัตว์วิญญาณเองก็สามารถเพลิดเพลินไปกับการบินได้เช่นกัน

บินไปพร้อมกับสัตว์วิญญาณ อยู่เหนือเมฆ จ้องมองเห็นดูพื้นโลกและความสวยงามของธรรมชาติอย่างสบายใจ

เมื่อคิดได้ลั่วอู๋ก็พูดออกมา “โชคดีจังเลยนะ หลิวหู”

……

……

“ทำไมเขายังไม่ออกมากันนะ” หลิวหูเริ่มจะทนรอต่อไปไม่ไหว

เนื่องจากงูทองคำถูกลั่วอู๋พาเข้าไปในไหปีศาจ พันธสัญญาระหว่างเขากับงูทองคำจึงถูกปิดกั้น ทำให้เขาไม่สามารถรับรู้สถานการณ์ปัจจุบันของงูทองคำได้

ผู้คนที่อยู่รอบๆ ศาลาไป่หยู่เองก็รอไม่ไหวเช่นกัน บางคนจึงเดินเข้ามาซื้อของ บางคนก็ดื่มชาสักแก้วและสั่งซื้อขนมกินเล่น ส่วนอีกหลายคนก็เดินหายไปเพราะไม่อยากรอนานไปกว่านี้

คนงานในร้านทั้งสามคนพยายามให้เชิญชวนแขกเข้ามาซื้อสุดฤทธิ์ ดังนั้นการขายสินค้าของร้านในวันนี้ดีมากกว่าทุกวัน

“ถ้าอยากให้สัตว์วิญญาณมีวิวัฒนาการล่ะก็ เขาจะต้องเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับกลาง แต่ข้าคิดว่าเจ้าของคนใหม่ของศาลาไป่หยู่ นั้นยังเด็กเกินไป” ลูกค้าด้านนอกบางคนเริ่มพูดถึงลั่วอู๋

“แม้แต่ในทีมหวงชายังมีเพียงแค่สองคนที่ไปถึงระดับนั้น เหลือเป็นเพียงผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณฝึกหัด”

“ ถ้าเขาเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับกลาง ตระกูลลั่วคงไม่กล้าส่งเขามาที่นี่หรอก” บางคนหยิบยกมุมมองของตัวเองขึ้นมา

มันเป็นความจริงที่ผู้ปรับแต่งระดับกลางนั้นมีความสามารถที่หาจับตัวได้ยาก ไม่มีตระกูลไหนที่จะกล้าตั้งใจปล่อยผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับกลางของตนให้หลุดมือไปหรอก

ยิ่งบางคนรู้ตัวตนของ ลั่วอู๋ ว่าเขาเป็นลูกชายของตระกูล ลั่ว ซึ่งทางตระกูลได้มอบหมายให้เขามาดูแลกิจการที่นี่ ก็ยิ่งเคลือบแคลงใจ

“เขาไม่ใช่ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับกลางใช่ไหม”

“ก็เป็นไปได้”

“เขากล้าดียังไงมาเสนอตัวว่าจะวิวัฒนาการให้กันงูทองคำ”

“บางทีเขาอาจมีทักษะพิเศษก็ได้”

“ท่านต้องการเงินคืนชดใช้ไหม หากการวิวัฒนาการล้มเหลว” บางคนถามขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ

“ เขาจะคืนเงินให้ได้อย่างไร การวิวัฒนาการนั้นมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวอยู่แล้ว ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณเองก็ต้องใช้เงินและพลังงานจำนวนเพื่อทำงานให้ไม่ใช่รึไง?”

“นั่นมันก็ … “

ทุกคนต่างก็เข้าใจดี

หรือว่าเจ้างูทองคำนั้นไม่ได้ต้องการที่จะพัฒนาร่าง แต่เจ้าของร้านคนใหม่ไม่พอใจที่ถูกเรียกเก็บเงินชดใช้ เขาจึงตั้งใจจะหาวิธีที่จะได้เงินคืนแทน?

ยิ่งเริ่มคิดถึงเรื่องนี้กันไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งคิดมากขึ้นเท่านั้น

แต่ในท้ายที่สุดเจ้าของคนใหม่นั้นก็ยังดูเด็กมากเกินไปจนดูไม่เหมือนผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับกลาง หากใครต้องการจะเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณล่ะก็ เขาต้องมีความสัมพันธ์กับสัตว์วิญญาณในระดับสูงและต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้

หลิวหูนั้นยิ่งกังวลมาก เนื่องจากเขาต้องรออยู่ข้างนอก ตอนนี้เขาไม่สามารถอดทนอดกลั้นได้เมื่อได้ยินความคิดเห็นจากผู้คนมากมายที่มารอดู

“ไม่ ข้าต้องเข้าไปข้างใน แม้แต่การรับรู้และพันธสัญญาต่างก็ถูกปิดกั้น” หลิวหู กัดฟันของเขา ด้วยที่ อยากที่จะรีบเข้าไปดูข้างใน

คนงานในร้านทั้งสามรีบไปหยุดเขาไว้ “ท่านหลิว ท่านเข้าไปไม่ได้นะ เจ้าของคนใหม่บอกไว้ว่าห้ามใครเข้า”

หลิวหูโกรธไปแล้วกับการไม่สามารถที่จะล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ด้วยความเย่อหยิ่งและความเฉยเมยของลั่วอู๋ เขาตั้งกฎร้านใหม่ขึ้นมา สิ่งนั้นทำให้หลิวหูฉุกใจคิด และช่วยให้เขาก็สงบลงไม่น้อย

อย่างไรก็ตามอีกฝั่งเอง ดูเหมือนจะไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องสูญเสียอะไร กลับกันหากเขามีความสามารถในการช่วยงูทองคำพัฒนา มันจะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้ร้านของเขาเอง

ใครจะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นได้มาในรูปแบบไหน

ช่างมันเถอะ!

หลิวหูเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เพราะหากเขาเป็นคนเฉยๆ ไม่ลุกขึ้นมาสู้คนหรือเรียกร้องสิทธิ์ของตนล่ะก็ ป่านนี้เขาก็คงจะถูกฆ่าตายไปนานแล้ว

“ข้าควรจะทำอย่างไร ข้ารอไม่ไหวแล้ว” หลิวหูหัวเราะแห้งๆ อย่างขมขื่น งูทองคำนั้นเป็นดั่งเป็นเพื่อนสนิทของเขา

“ข้าดีใจนะที่ท่านไม่ได้บุกเข้ามาและสร้างปัญหาให้กับร้านค้าของข้า มิฉะนั้น ฮึ่ม” ลั่วอู๋ยกม่านขึ้น

แล้วเดินออกมาจากทางสนามหลังบ้าน