เหลิ่งรั่วปิงพยายามแสดงความอ่อนโยนและเชื่อฟังออกมา ต่อให้ตรงลำคอของเธอจะส่งอาการของความเจ็บปวดออกมา เธอก็ยังต้องทนกับมัน และไม่มีทีท่าว่าจะเอาคืนเลย เธอเข้าใจดี ผู้หญิงคนหนึ่งแสดงความอ่อนโยนต่อหน้าผู้ชาย ก็ถือว่าเป็นจิตวิทยาที่จะทำให้ผู้ชายรู้สึกพึงพอใจ ผู้หญิงต้องพยายามเรียกคะแนนความสงสารจากพวกเขา แต่ไม่ใช่ไปยั่วโมโหให้เขามาทำร้ายตัวเองมากกว่าเดิม
พอเห็นผู้หญิงทำคิ้วขมวดเล็กน้อย และปากเล็กๆ ของเธออ้าขึ้นเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้แสดงท่าทางอย่างอื่นที่นอกจากท่าทางที่พริ้งพรายออกมาสักที ท้ายสุดในใจหนานกงเยี่ยก็รู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของเขาก็ดูเหมือนจะอ่อนโยนมากขึ้น
หนานกงเยี่ยคลายมือออก ปลายนิ้วมือของเขาลูบแก้มของเธอ “ให้เหตุผลผม ทำไมผมต้องไม่ใช้นักสถาปนิกที่โด่งดังและมีชื่อเสียงในประเทศ กลับใช้คุณที่เป็นแค่เด็กจบใหม่ ก็แค่รูปเพียงไม่กี่รูปที่คุณถ่าย? คุณก็คิดว่าผมจะยอมให้คุณข่มขู่ง่ายๆ?”
เหลิ่งรั่วปิงถือโอกาสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างหอบหืด เมื่อกี้เธอถูกบีบคอจนรู้สึกจุกเกินไป ทำให้รู้สึกเกือบจะขาดออกซิเจน
“ฉันจะกล้าข่มขู่คุณหนานกงได้ยังไง รูปพวกนั้นก็แค่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมารู้จักกับคุณหนานกงเท่านั้น” เหลิ่งรั่วปิงเหลือบดวงตาคู่สวยมองหนานกงเยี่ย “คุณหนานกง ถึงแม้ฉันพึ่งเรียนจบ ทว่าวิชาความรู้ที่ฉันมีคงไม่แย่ไปกว่านักสถาปนิกที่โด่งดังพวกนั้น ฉันได้รับการสอนและอบรมมาจากครอบครัวที่ดี ที่ฉันต้องการเรียนต่อในมหาลัยก็เพื่อวุฒิใบเดียวเท่านั้น ฉันเชื่อว่าความสามารถของฉันต้องสามารถสร้างความอัศจรรย์ให้กับหนานกงแน่นอน”
คำพูดของผู้หญิงสามารถทำให้ความโมโหเป็นไฟของหนานกงเยี่ยหายไปกว่าครึ่ง จากนั้นก็ปล่อยมือออกจากลำคอของเธอ
เขากลับเชื่อคำพูดของเธอ ในประวัติส่วนตัวระบุไว้อย่างชัดเจน พ่อของเธอเป็นนักสถาปนิกที่มีชื่อเสียง เธอถูกพ่อของเธอปลูกฝังมาแต่เด็ก การที่บอกว่าเธอเป็นนักสถาปนิกที่มีความสามารถสูงก็คงไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
ในประวัติส่วนตัวของเธอยังระบุอีกว่า พ่อของเธอมีความชอบและบ้าคลั่งในงานออกแบบอาคารและสิ่งปลูกสร้างมากๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอลุ่มหลงในวงการนี้ เพื่อที่จะได้กลายเป็นนักสถาปิกที่ดี ก็ต้องยอมเสี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งกับเขา ทำให้เขาสามารถเข้าใจได้ว่าเธอต้องการล่าฝันอย่างบ้าคลั่ง เพื่อที่จะให้ความฝันนั้นเป็นจริง
ทว่าเขาเคยยอมให้ใครมาหลอกใช้ง่ายๆ สักที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าเกิดเขาใช้งานเธอแบบนี้ เขามักจะรู้สึกว่าไฟที่ลุกโชนในใจยังคงอยู่และไม่จางหายไปเลย
พอเธอหลุดพ้นจากการถูกจองจำ เหลิ่งรั่วปิงก็เหมือนได้รับการปลดปล่อย เธอจับคอที่รู้สึกเจ็บของตัวเองไว้แล้วไอไปหลายที จากนั้นก็แอบปรายตามองใบหน้าที่หม่นหมองของเขา เธอรู้ว่าเขารู้สึกหวั่นไหวในใจแล้ว
จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปตรงข้างหน้าต่าง แล้วมองไปยังตึกสูงในอยู่นอกหน้าต่าง เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
เหลิ่งรั่วปิงไม่กล้ารบกวนเขา จึงมองแผ่นหลังของเขาอยู่เงียบๆ แล้วรอให้เขาตัดสินใจ
ชายคนนี้มีเรือนร่างที่สูงใหญ่มากๆ พอเขายืนบังแสงอาทิตย์ไว้ ทำให้พื้นมีเงายาวๆ ที่สะท้อนเรือนร่างของเขาลงมา เรือนร่างของเขาดูน่าเกรงขามทั้งที่เขายังไม่แสดงทีท่าที่ดูเกรี้ยวโกรธออกมาด้วยซ้ำ เขาที่ถูกแสงอาทิตย์ตอนเช้าสอดส่อง ทำให้เขาเหมือนเทพเจ้า ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าผู้ชายคนนี้ดูดีมีเสน่ห์จริงๆ เขาทำให้ผู้หญิงทั้งโลกนี้เปรียบเสมือนฝูงแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ
ทว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่หนึ่งในผู้หญิงของทั่วโลกนี้ เธอไม่มีหัวใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอจะเกิดอาการหวั่นไหว
ผ่านไปสักพัก หนานกงเยี่ยค่อยๆ หมุนตัวกลับมา นัยน์ตาที่ดำวาวดั่งหยกดำดูนิ่งเฉยมากๆ และดูลุ่มลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง เหมือนบ่อน้ำบาดาลที่ลึกจนไม่เห็นก้นชองบ่อ
แค่เห็นเขาเอ่ยพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “คุณใช้วิธีนี้ในการบีบบังคับผม ผมใช้วิธีนี้ในการรับคุณเข้าทำงานแบบนี้ คุณก็คงจะเสียหน้าแย่สิ?”
“…” เหลิ่งรั่วปิงรออยู่เงียบๆ เธอรู้ว่าเขาต้องมีอะไรจะพูดอีกแน่นอน
“คุณไม่รู้สึกหรอว่าคุณต้องตอบแทนผมในส่วนอื่นบ้าง?”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้า แล้วสบตากับดวงตาที่ดำสนิทคู่นั้น “ฉันใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างที่สามารถดึงดูดสายตาของคุณหนานกงได้”
จู่ๆ หนานกงเยี่ยก็เดินมาอยู่ตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง แล้วยกมือจับคางของเธอไว้ พร้อมกับบังคับหน้าของเธอให้หันมาสบตากับเขา “ผมต้องการตัวคุณ!”