ตอนที่ 8 เจ็ดคนในนี้มาจากเมืองเสี่ยวฉือ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 8 เจ็ดคนในนี้มาจากเมืองเสี่ยวฉือ

“ตึง ! ”

“ตึง ! ”

“ตึง ! ”

เสียงระฆังอันไพเราะดังกังวาน แว่วมาจากส่วนลึกของทิวเขาที่มีหมอกปกคลุมเอาไว้

ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ยังคงได้ยินเสียงสะท้อนดังแว่วมาเป็นระลอก ๆ

หนึ่งในห้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบำเพ็ญตนของจงหยวน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

ทอดมองไปยังที่แสนไกล

ระหว่างยอดเขาเขียวขจี มีสายหมอกล่องลอย แสงสีทองที่ส่องทะลุฟ้าดูงามตา พร้อมกับเสียงน้ำตกและเสียงคำรามจากสัตว์เทพทั้งหลาย

ด้านบนเป็นน้ำตกลอยฟ้า ตำหนักโบราณที่วิจิตรและสะพายสายรุ้งที่งดงาม มีคนขี่กระบี่ท่าทางปราดเปรียว ช่างชวนหลงใหลยิ่งนัก

ตึกโบราณที่สูงตระหง่านตั้งเรียงรายกันแน่นขนัด ปล่อยไอพลังไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกที่แห่งนั้นล้วนปกคลุมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง

เวลานี้หัวหน้าเจ็ดยอดเขาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน นั่งตระหง่านอยู่ในตำหนักไท่เสวียน ณ ยอดเขาหลัก ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสที่น่าเกรงขาม

ตามกฎระเบียบแล้ว ศิษย์ที่แต่ละยอดเขาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนส่งไป จะต้องกลับมาถึงเชิงเขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อรับการประเมินครั้งสุดท้าย

นั่นก็คือ บันไดเหินนภา !

บันไดมีทั้งหมด 108 ขั้น และทุก ๆ 36 ขั้นคือหนึ่งระดับ

พูดง่าย ๆ ก็คือ ขอเพียงศิษย์ใหม่สามารถขึ้นบันไดขั้นที่ 18 ได้ภายใน 24 ชั่วยาม ก็จะได้เป็นศิษย์ทั่วไปคนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

แต่หากก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่ 36 ก็จะกลายเป็นศิษย์สายในได้

และศิษย์จะแบ่งออกเป็นศิษย์สายหลัก ศิษย์สายตรง ศิษย์สายสืบทอด ศิษย์สายสืบทอดของเจ้าสำนักก็คือผู้ที่จะได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดสำนัก

เวลานี้อีกมิถึงครึ่งชั่วยามก็จะสิ้นสุดการประเมินครั้งที่สองแล้ว

ผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนสุดของตำหนักไท่เสวียนเป็นชายชราผู้มีใบหน้าตอบ ด้านหลังมีแสงสว่างส่องเพียงริบหรี่ มีวงแสงแห่งเทพปกคลุม ดูคล้ายเซียนที่จะลอยขึ้นสวรรค์ก็มิปาน

“ศิษย์น้องหยวนเจี้ยน ยังคาใจเรื่องก่อนหน้านี้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ชายชราผู้นี้ก็คือเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนามว่า ‘นักพรตฉางเสวียน’

ขณะนี้เขากำลังมองไปยังชายชราหางตาตกที่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม และมีกระบี่โบราณเล่มหนึ่งลอยอยู่ด้านหลังด้วยความสนใจ

นักพรตหยวนเจี้ยน หนึ่งในหัวหน้าเจ็ดยอดเขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หัวหน้ายอดเขากระบี่วิญญาณ

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านน่าจะรู้สถานการณ์ของยอดเขากระบี่วิญญาณของข้าดี แม้จะเคยเป็นอันดับหนึ่งของเจ็ดยอดเขา แต่บัดนี้กลับเป็นยอดเขาที่อ่อนแอที่สุดในเจ็ดยอดเขา ฉะนั้นในความคิดของข้า ต่อไปยอดเขากระบี่วิญญาณของข้ามมิควรเข้าร่วมการจับฉลากนี้อีก เพียงแค่เลือกจากดินแดนจิตไปเลยก็พอ”

นักพรตหยวนเจี้ยนแสยะมุมปาก ก่อนจะพูดอย่างมีเหตุเป็นผลว่า “นอกจากนี้ เมืองเสี่ยวฉือนั่นควรถูกถอดชื่อออกด้วยซ้ำ หลายร้อยปีมาแล้ว ที่มิเคยปรากฏผู้ที่มีรากวิญญาณชั้นสูงแม้แต่คนเดียว”

“แม้ว่าเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จะอยู่ใกล้กับเขาไท่เสวียนของเรามากที่สุด แต่บางทีชีพจรวิญญาณด้านล่างอาจจะเหือดแห้งไปตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้วก็เป็นได้ ฉะนั้นจึงมินับว่าเป็นดินแดนจิตอีกแล้ว”

“ยอดเขากระบี่วิญญาณเลือกดินแดนจิตเอง ข้ามิเห็นด้วย เชื่อว่ายอดเขาอื่นก็มิเห็นด้วยเช่นเดียวกัน แต่เรื่องถอดชื่อเมืองเสี่ยวฉือออกนั้น ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง” ผู้ที่พูดคือนักพรตชิงเย่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนักพรตหยวนเจี้ยน และเป็นหนึ่งในหัวหน้าเจ็ดยอดเขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

“จำได้ว่าการคัดเลือกศิษย์คราวก่อน คนจากยอดเขาของข้าไปคัดเลือกศิษย์ที่เมืองเสี่ยวฉือ ผลสุดท้ายเมืองเสี่ยวฉืออันกว้างใหญ่ กลับมิมีผู้ที่มีรากวิญญาณชั้นกลางเลยแม้แต่คนเดียว”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ข้าก็คิดว่าที่ศิษย์น้องหยวนเจี้ยนและศิษย์พี่ชิงเย่พูดมามีเหตุผล ควรถอดชื่อเมืองเสี่ยวฉือนี่ออกเสียเถอะ”

“ถอดชื่อ ถอดชื่อออกไปเลย เมืองเสี่ยวฉือสมควรถูกถอดออกตั้งนานแล้ว”

เพียงไม่นานห้าหัวหน้ายอดเขาต่าง ๆ ก็เอ่ยสมทบเห็นดีเห็นงามด้วย

นักพรตฉางเสวียนมีท่าทีกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ “เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้มิอาจถอดชื่อได้ อย่างไรซะก็มีบรรพจารย์ท่านหนึ่งของเรามาจากเมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ อีกทั้งบรรพจารย์ท่านนั้นยังได้ขึ้นสวรรค์อีกด้วย”

“ก็จริง หากบรรพจารย์ท่านนั้นรู้เรื่องนี้เข้า อาจจะพาลโกรธทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็เป็นได้”

“เฮ้อ จะถอดชื่อก็มิได้ มิถอดชื่อก็มิได้ งั้นจะปล่อยให้คนที่จับได้เมืองเสี่ยวฉือยอมรับความโชคร้ายของตัวเองเช่นนั้นหรือ ? ”

“โดยเฉพาะยอดเขากระบี่วิญญาณของศิษย์น้องหยวนเจี้ยน ศิษย์ทั้งยอดเขามีมิถึงร้อยคน หรือว่าต้องทนมองยอดเขากระบี่วิญญาณมิมีผู้สืบทอดไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เวลานี้นักพรตชิงเย่ได้กระซิบบอกนักพรตหยวนเจี้ยนว่า “ศิษย์น้องหยวนเจี้ยน ข้าว่าลองลดเกณฑ์ในการรับศิษย์ยอดเขากระบี่วิญญาณของพวกเจ้าลงดีหรือไม่ มิเช่นนั้นยอดเขากระบี่วิญญาณคงล่มสลายลงในมือของเจ้าเป็นแน่”

“ชิงเย่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ”

นักพรตหยวนเจี้ยนได้ฟังดังนั้น จึงหันไปจ้องมองด้วยความโมโหทันที

“กฎยอดเขากระบี่วิญญาณของข้าบรรพจารย์กระบี่วิญญาณเป็นผู้กำหนดเอาไว้ แม้ยอดเขากระบี่วิญญาณของข้าจะโรยราไป แต่จะมิยอมกระทำการขัดต่อเจตจำนงของบรรพจารย์ยอดเขากระบี่วิญญาณเป็นแน่ ต่อให้ข้าตาย ยอดเขากระบี่วิญญาณจะล่มสลาย กฎก็ต้องเป็นกฎ มิอาจปล่อยให้ใครมาเปลี่ยนแปลงได้ ! ”

เมื่อเห็นนักพรตหยวนเจี้ยนโกรธขึ้นเช่นนี้ นักพรตชิงเย่จึงทำได้เพียงแค่เบะปาก และมิกล่าวสิ่งใดออกมาอีก

เขารู้ดีว่าหากยังพูดต่อไป นิสัยมุทะลุเช่นนักพรตหยวนเจี้ยนคงได้สู้ตายกับเขาเป็นแน่

แม้อีกฝ่ายจะมิสามารถเอาชนะตนได้ แต่ทุกคนต่างก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ของยอดเขากระบี่วิญญาณดี เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

ถึงตอนนั้นศิษย์พี่ฉางเสวียนจะต้องมาเทศนาเขาอย่างแน่นอน และไม่แน่อาจจะส่งทรัพยากรบำเพ็ญเพียรมากมายไปให้ยอดเขากระบี่วิญญาณอีกด้วย

“พอได้แล้ว ! ”

นักพรตฉางเสวียนลุกขึ้นยืนพร้อมสะบัดแขนเสื้อ และเอ่ยอย่างขึงขัง “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน นับจากนี้ไปให้รวมเมืองชิงหยางและเมืองเสี่ยวฉือเข้าไว้ด้วยกัน เช่นนี้ก็คงจะมิถูกบรรพจารย์ท่านนั้นตำหนิ และทำให้การจับฉลากยุติธรรมขึ้นด้วย”

“ดี  ที่ศิษย์พี่ฉางเสวียนพูดมาข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง”

“ข้ามิมีปัญหา”

เวลานี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีท่าทีนิ่งสงบได้ก้าวเข้ามาในตำหนักไท่เสวียน

ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมเมฆา ใบหน้าของเขาหล่อเหลาและเรียบนิ่ง รูปร่างสมส่วน มองเพียงแวบเดียวก็เห็นถึงความโดดเด่นของเขาได้อย่างชัดเจน

ผู้ที่มาก็คือผู้สืบทอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนคนปัจจุบัน

‘หลี่ฉางหมิง’

“หลี่ฉางหมิงคาราวะอาจารย์อาทุกท่าน”

หลี่ฉางหมิงถือบัญชีรายชื่อเล่มหนึ่งอยู่ในมือ ใบหน้ามีรอยยิ้มสุภาพประดับเอาไว้ ขณะคำนับหัวหน้ายอดเขาทั้งเจ็ด

นักพรตชิงเย่พยักหน้ายิ้ม ๆ ให้แก่หลี่ฉางหมิง ก่อนจะเอ่ยถามก่อนว่า “ฉางหมิง ศิษย์ใหม่รอบนี้เป็นเช่นไรบ้าง ? ”

“ดีมากขอรับ”

หลี่ฉางหมิงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม สายตาเหลือบไปมองทางนักพรตหยวนเจี้ยนเล็กน้อย

นักพรตชิงเย่สังเกตเห็นท่าทางที่แปลกไปของหลี่ฉางหมิง จึงหันไปมองทางนักพรตหยวนเจี้ยน และอดมองหลี่ฉางหมิงอีกครั้งมิได้

“ฉางหมิง หัวหน้ายอดเขาทั้งเจ็ดอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เจ้าบอกตัวเลขคร่าว ๆ ของแต่ละยอดเขามาก่อนก็แล้วกัน” นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้น

“ขอรับ”

หลี่ฉางหมิงเปิดบัญชีรายชื่อออกมา ก่อนจะมองไปรอบๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ครั้งนี้ทั้งเจ็ดยอดเขารับศิษย์ทั้งหมด 179 คน ในนั้นมีศิษย์ที่มีรากวิญญาณชั้นยอด 10 คน มีรากวิญญาณชั้นสูง 72 คน มีรากวิญญาณชั้นกลาง…”

“ช้าก่อน ! ”

นักพรตจิ่วจวีหัวหน้ายอดเขาฉางหลินเอ่ยขัดด้วยสีหน้าแปลกใจ “ฉางหมิง เจ้าช้าก่อน เจ้าบอกว่ารากวิญญาณชั้นยอดมีกี่คนนะ ? ”

หลี่ฉางหมิงหัวเราะออกมา “เรียนท่านอาจารย์จิ่วจวี 10 คนขอรับ หนึ่งในนั้นยังมีรากวิญญาณธาตุทองชั้นสูงอีก 1 คนที่ยังมิได้นับรวมเข้าไปขอรับ”

นักพรตจิ่วจวีหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ “สวรรค์คุ้มครองไท่เสวียนของพวกเราจริง ๆ คิดมิถึงว่าครั้งนี้จะได้ศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญเพียรมากมายเช่นนี้ น่ายินดียิ่งนัก”

หลี่ฉางหมิงหัวเราะออกมาขณะมองไปทางนักพรตจิ่วจวี ก่อนจะมองไปทางนักพรตหยวนเจี้ยนอีกครั้ง สุดท้ายจึงหันไปมองทางนักพรตฉางเสวียน

“เรียนท่านอาจารย์ ความจริงแล้วในสิบคนนี้ มี 7 คนที่มาจากเมืองเสี่ยวฉือขอรับ หรือก็คือสายยอดเขากระบี่วิญญาณของอาจารย์หยวนเจี้ยน อีกทั้งศิษย์ที่มีธาตุทองก็มาจากเมืองเสี่ยวฉือเช่นกันขอรับ”

หลี่ฉางหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มสุภาพที่ยังคงประดับไว้เท่านั้น

“อะไรนะ ? ”

“7 คนในนี้มาจากเมืองเสี่ยวฉือ ยังมีศิษย์อีกคนที่มีรากวิญญาณธาตุทองคำชั้นสูงด้วยเช่นนั้นหรือ ? ! ”

“นี่… นี่จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ? ! ”

ชั่วขณะหนึ่ง ภายในตำหนักไท่เสวียนที่โอ่โถงกลับเงียบสงัดลงทันที สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างเต็มไปด้วยความสับสน