ตอนที่ 9 คลื่นปราณฟ้าประทาน รากวิญญาณมานะสร้าง

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 9 คลื่นปราณฟ้าประทาน รากวิญญาณมานะสร้าง

ทันทีที่หลี่ฉางหมิงเอ่ยออกมา ตำหนักไท่เสวียนอันโอ่โถงก็เงียบลงกระทันหัน

โดยเฉพาะเหล่าหัวหน้าที่เอ็ดตะโรเรียกร้องให้ถอดชื่อเมืองเสี่ยวฉือออกก่อนหน้านี้

สีหน้าของพวกเขาเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด ต่างก็มองหน้ากันไปมาอย่างฉงนสงสัย

“เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้เด็ดขาด เหตุใดเมืองเสี่ยวฉือถึงมีอัจฉริยะบำเพ็ญเพียรกำเนิดขึ้นมาพร้อมกันมากมายเช่นนี้ได้ ! ”

“ใช่ พวกเราต้องฟังผิดเป็นแน่”

“ห้าปีก่อนตอนยอดเขาของข้าไปรับศิษย์ที่เมืองเสี่ยวฉือ แม้แต่รากวิญญาณชั้นกลางก็มิมีแม้สักคนเดียว แต่บัดนี้พึ่งจะผ่านไปเพียงแค่ห้าปี เหตุใดจู่ ๆ ถึงมีอัจฉริยะบำเพ็ญเพียรเกิดขึ้นมากมายเช่นนี้ได้ ! ”

นักพรตเย่ชิงขมวดคิ้วแน่น เขาอดมิได้ที่จะโบกมือไปมา “หากข้าจำมิผิดล่ะก็ สามร้อยปีมานี้ เมืองเสี่ยวฉือปรากฎผู้ที่มีรากวิญญาณชั้นกลางเพียงคนเดียวเท่านั้น”

เวลานี้…

คนที่ตื่นเต้นดีใจที่สุดก็คือผู้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังอย่างนักพรตหยวนเจี้ยนนั่นเอง

เกือบยี่สิบปีมาแล้วที่ยอดเขากระบี่วิญญาณมิเคยได้รับศิษย์ที่มีรากวิญญาณชั้นยอดแม้แต่คนเดียว

แต่วันนี้กลับพบอัจฉริยะบำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณชั้นยอดพร้อมกันถึง 7 คน อีกทั้งยังมีอัจฉริยะบำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณธาตุทองชั้นสูงที่หายากอีกคนด้วย

วินาทีนี้นักพรตหยวนเจี้ยนจะสงบนิ่งเหมือนมิมีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

“ฉางหมิง เจ้าบอกอาจารย์อามาสิ ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ”

นักพรตหยวนเจี้ยนลุกขึ้นยืน เพียงพริบตาร่างของเขาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลี่ฉางหมิง ก่อนจะคว้าแขนของหลี่ฉางหมิงด้วยความตื่นเต้น

“อาจารย์อาหยวนเจี้ยน จริงแท้แน่นอนขอรับ”

สีหน้าของหลี่ฉางหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มขณะเอ่ยด้วยเสียงขลุกขลัก

นักพรตหยวนเจี้ยนยังมิอยากจะเชื่อ หลี่ฉางหมิงจึงได้ส่งบัญชีรายชื่อให้กับนักพรตหยวนเจี้ยน พร้อมเอ่ยเสริมว่า “ไม่เพียงเท่านั้นนะขอรับ ศิษย์น้องเล็กที่เข้ามาใหม่ทั้งแปดคนต่างก็ขึ้นบันไดได้ถึงขั้นที่ 72 พวกเขามิเพียงแต่มีพรสวรรค์พิเศษ ร่างกายและจิตใจยังแข็งแกร่งจนน่าตกใจอีกด้วยขอรับ”

นักพรตหยวนเจี้ยนมองหลี่ฉางหมิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเปิดบัญชีรายชื่อออกดู ไม่นานก็พบรายชื่อด้านล่างของยอดเขากระบี่วิญญาณ

‘หลี่ชุนเฟิง ! ’

‘จ้าวกวงอี้ ! ’

‘ฟานจงหยาน ! ’

‘เว่ยจงเสียน ! ’

‘อู๋ซานกุ้ย ! ’

‘หลี่ชิงจ้าว ! ’

……

เมืองเสี่ยวฉือมีเด็กเข้าร่วมทดสอบรากวิญญาณทั้งหมด 8 คน ทั้ง 8 คนนอกจากหลี่ชุนเฟิงที่มีรากวิญญาณธาตุทองคำชั้นสูงแล้ว คนที่เหลือต่างก็มีรากวิญญาณชั้นยอดของธาตุอื่น ๆ ต่างกันไป

ตัวอักษรโบราณ ลายมือเป็นระเบียบ ละเอียดรอบคอบ

เพียงแวบเดียวนักพรตหยวนเจี้ยนก็จำลายมือนี้ได้

อีกทั้งด้านหลังยังมีชื่อของลู่อู๋ซวงลงไว้เป็นการยืนยันอีกด้วย

“ฮ่า ๆ ฮ่า ๆๆ”

นักพรตหยวนเจี้ยนค่อย ๆ ปิดบัญชีรายชื่อลง พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ขอบตาของเขาเอ่อคลอด้วยน้ำตาขึ้นมาโดยมิรู้ตัว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกลับมีสีหน้าที่ยากจะอธิบาย

ทั้งดีใจ ตื่นเต้น ปลื้มปิติ ละอายใจ…

“นี่ต้องเป็นความเมตตาจากสวรรค์ เป็นอิทธิฤทธิ์ของเหล่าบรรพจารย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนโดยแท้…”

ท้ายสุดนักพรตหยวนเจี้ยนก็เดินไปที่หน้าประตูตำหนักแล้วตะโกนออกมาอย่างอดมิไหว

“ฉางหมิง ตอนบันทึกมิมีอะไรตกหล่นใช่หรือไม่ ? ”

เวลานี้นักพรตฉางเสวียนเองก็อดที่จะสงสัยขึ้นมามิได้ เสียงอันทรงพลังจึงเอ่ยถามหลี่ฉางหมิงออกไป

เมื่อเสียงของนักพรตฉางเสวียนดังขึ้น สีหน้าของหลี่ฉางหมิงจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้นักพรตฉางเสวียนเบา ๆ

ในขณะเดียวกันหัวหน้าอีกหกยอดเขาต่างสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาหลี่ฉางหมิงทีละคน

พวกเขาเปิดบัญชีรายชื่ออย่างลังเล เมื่อเหลือบตามองรายชื่อด้านล่างของยอดเขากระบี่วิญญาณ ใบหน้าก็อดที่จะเกิดความฉงนขึ้นมามิได้

“ศิษย์พี่ชิงเย่ เด็กพวกนี้มีความพิเศษอยู่นะ”

“ทำไมรึ ? ”

“ท่านดูชื่อพวกเขาสิ ก่อนหน้านี้ ศิษย์ที่เข้ามาใหม่ล้วนแต่มีชื่อว่าเจ้าหมา เจ้าแมว แต่มาเปลี่ยนใหม่หลังจากขึ้นเขาและรู้หนังสือแล้วทั้งนั้น”

“ใช่ ดูชื่อ 8 คนนี้สิ ชื่อแต่ละคนล้วนมิธรรมดาเลย โดยเฉพาะเว่ยจงเสียนผู้นี้ที่มีความหมายของเต๋าและขงจื๊อผสมรวมกันอยู่”

“หากข้าเดามิผิดล่ะก็ พวกเขาคงได้รับการชี้แนะจากปราชญ์แห่งเต๋าหรือขงจื๊อบางคนมาแล้วก็เป็นแน่”

“แต่ว่าหลี่ชุนเฟิงผู้นี้ ดูออกไปทางลัทธิเต๋าอยู่มิน้อย หรือว่านักปราชญ์ท่านนี้จะเป็นยอดคนผู้บรรลุทั้งเต๋าและขงจื๊ออย่างนั้นหรือ ? ”

ขณะที่หลายคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น นักพรตฉางเสวียนก็เดินเข้ามาอย่างมิรีบร้อน

หลังจากได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนแล้ว จึงมองไปที่รายชื่อของทั้ง 8 คน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ได้เงยหน้าขึ้นมองหลี่ฉางหมิง

“ฉางหมิง เจ้าไปตามคนที่รับผิดชอบการรับศิษย์ของยอดเขากระบี่วิญญาณครั้งนี้ แล้วก็ศิษย์ใหม่เหล่านั้นมาที่ตำหนักไท่เสวียนที” นักพรตฉางเสวียนออกคำสั่ง

“ขอรับ”

หลี่ฉางหมิงตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หมุนตัวออกไปทำตามคำสั่งทันที

เวลานี้นักพรตชิงเย่ก็เดินเข้ามา และกระซิบถามขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านเองก็สงสัยใช่หรือไม่ ? ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “รอเด็กพวกนั้นมาถึง ดูสิว่าจะหาเบาะแสอะไรจากเด็กพวกนั้นได้บ้างหรือไม่”

นักพรตจิ่วจวีเอ่ยด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ ข้าเดาว่าต้องมียอดคนท่านหนึ่งปลุกชีพจรวิญญาณใต้เมืองเสี่ยวฉือขึ้นมาใหม่ ถึงได้ก่อกำเนิดรากวิญญาณชั้นยอดได้มากมายเช่นนี้”

“เป็นไปได้ ! ”

“ข้าคิดว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่ รวมกับเด็กที่มีรากวิญญาณธาตุทองชั้นสูง เท่ากับว่ามีเด็กที่มีรากวิญญาณชั้นยอดถึง 8 คนเชียวนะ”

“ยอดคนผู้นั้นในเมื่อไปเมืองเสี่ยวฉือ แต่สำหรับเขาไท่เสวียนที่อยู่ห่างจากเมืองเสี่ยวฉือมิกี่สิบลี้ เหตุใดเขาจึงมิยอมมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเรากันเล่า ? ”

“หรือว่าเขาจะรังเกียจ ? ”

“ศิษย์น้อง เจ้าพูดมิผิด ที่ข้ารู้มายอดคนบางพวกก็มีนิสัยแปลกประหลาด ชอบเดินทางท่องเที่ยว แต่กลับรังเกียจที่จะเข้าไปในดินแดนแห่งการบำเพ็ญเพียร”

“เฮ้อ บางครั้งข้าก็มิเข้าใจยอดคนที่มีชีวิตหลายพันปีพวกนี้เสียจริง ๆ ”

“จริงสิ ศิษย์พี่ ดูท่า ที่เราตัดสินใจก่อนหน้านี้คงต้องคิดกันใหม่เสียแล้ว”

“อืม ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

เวลานี้ แววตาที่ทุกคนมองนักพรตหยวนเจี้ยนกลับเต็มไปด้วยความอิจฉา

เวลามิถึงหนึ่งก้านธูป หลี่ฉางหมิงก็พาลู่อู๋ซวงที่เดินนำพวกเจ้าหลี่หมาน้อยกับพวกทั้ง 8 คนมาที่ตำหนักไท่เสวียน

นักพรตหยวนเจี้ยนเห็นลู่อู๋ซวงพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้มทันที

“ทุกคน จากนี้ไปพวกเจ้าก็จะเป็นศิษย์สายสืบทอดของข้า จำไว้ว่าต่อไปต้องหมั่นบำเพ็ญเพียร อย่าได้ปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด”

นักพรตหยวนเจี้ยนและลู่อู๋ซวงสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปและยกมือลูบใบหน้าอ่อนเยาว์ของพวกหลี่หมาน้อยทั้ง 8 คนราวกับเป็นสมบัติของเขา

ลู่อู๋ซวงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเล็ก ยังมิรีบคาราวะท่านอาจารย์อีก”

พวกหลี่หมาน้อยสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงอ่อนเยาว์จึงเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะคุกเข่าและคำนับลงกับพื้น

“ศิษย์หลี่หมา… หลี่ชุนเฟิงคาราวะท่านอาจารย์”

“ศิษย์จ้าว… จ้าวกวงอี้คาราวะท่านอาจารย์”

“ศิษย์เว่ยจงเสียนคาราวะท่านอาจารย์”

“ศิษย์อู๋ซานกุ้ยคาราวะท่านอาจารย์”

……………….

“ดี ๆ ลุกขึ้นเถิด”

นักพรตหยวนเจี้ยนเดินเข้าไปประคองเด็กทั้ง 8 คนลุกขึ้น

เขามองสำรวจเด็กทั้ง 8 คนด้วยความปลื้มใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันทรงพลังว่า “อู๋ซวง พวกเขาล้วนมาจากเมืองเสี่ยวฉือเช่นนั้นหรือ ? ”

ลู่อู๋ซวงพยักหน้าพร้อมกับมีท่าทีลังเลเล็กน้อย

นางเหลือบมองพวกนักพรตฉางเสวียน แต่สุดท้ายก็ระงับความสั่นไหวในใจเอาไว้

ในความเห็นของนาง ตอนนี้ยังมิอาจเปิดเผยตัวตนของยอดคนท่านนั้นในเมืองเสี่ยวฉือได้

นักพรตฉางเสวียนเดินมาตรงด้านหน้าหลี่หมาน้อย ก่อนจะยื่นมือไปกดที่ศีรษะของเขา

ทันใดนั้นคลื่นพลังอันมหาศาลก็ปะทุออกมา มีไอพลังมากมายแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตำหนัก

เส้นผม หนวด และหางคิ้วของนักพรตฉางเสวียนขยับโดยไร้ซึ่งแรงลม ชุดคลุมสะบัดไปมา พร้อมกับรอบกายมีแสงเปล่งประกายออกมา และมีวงแสงแห่งเทพปรากฏขึ้นราวกับเซียนมาจุติบนโลกก็มิปาน

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ? ” นักพรตหยวนเจี้ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย

นักพรตฉางเสวียนลืมตาขึ้นมาทันที ใบหน้าที่สงบนิ่งเต็มไปด้วยความแปลกใจขึ้นมากะทันหัน

“นี่… นี่มันคลื่นปราณฟ้าประทาน รากวิญญาณมานะสร้าง ! ”