ตอนที่ 7 การค้าขายที่ขาดทุนย่อยยับ

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ผีสาวราวกับถูกผ้ายันต์เมื่อกี้กระตุ้นให้โกรธ รอบกายของนางค่อยๆ ปลดปล่อยหมอกสีแดง ทันใดนั้นทั้งห้องกลายเป็นสีแดงราวกับเลือด 

 

 

“หาที่ตาย!” ผีสาวตะโกนอย่างโกรธแค้น พร้อมพุ่งพรวดเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ตายแน่ๆ !” ชายแก่ลนลานยิ่งกว่าเดิม ใช้มือทุบประตูอย่างแรง “ประตูนี่ทำไมถึงเปิดไม่ออกกัน?!” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวก้มลงมองก่อนที่จะพูดขึ้น “กลอนประตู!” กลอนประตูยังไม่ได้ดึงออก ประตูเปิดออกสิแปลก 

 

 

ชายแก่อึ้งไปทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปดึงกลอนประตู แต่ก็ไม่ทันการ ผีสาวกระโจนเข้ามา มือที่อาบเลือดทั้งสองข้างของนางกำลังจะบีบเข้าไปที่คอของทั้งสองคน 

 

 

อวิ๋นเจี่ยวยกมือขึ้นในทันใด เอายันต์ม่วงที่ชายแก่ยัดให้นางเมื่อกี้ แปะ! แปะเข้าที่ไปหน้าผากของผีสาว 

 

 

“อ๊ากกก” 

 

 

ผีสาวหยุดชะงัก พร้อมกรีดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทรมานกว่าครั้งก่อนสิบเท่า เห็นแต่เพียงขอบยันต์ม่วงนั้นมีไฟสีม่วงลุกไหม้ขึ้น ชั่วพริบตาเดียวก็ลามไปยังทั้งร่างของผีสาว จากนั้นหมอกสีแดงรอบห้องค่อยๆ หายไป ผีสาวกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างปวดร้าว ร่างที่น่ากลัวนั้นเลือนหายไปทีละน้อย 

 

 

ก่อนร่างนั้นจะหายไปอย่างหมดสิ้น นางหันกลับมาจ้องทั้งสองคนอย่างเคียดแค้น ก่อนที่จะกลายเป็นก้อนหมอกแดงพุ่งออกจากหน้าต่างทางซ้ายแล้วหนีไป 

 

 

แต่ในห้องกลับมีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังขึ้นว่า “วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด วันที่พลังงานหยินหนักที่สุด ข้าจะกลับมาแก้แค้น!” 

 

 

พูดจบภายในห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง จากนั้นไฟสีม่วงนั้นก็ได้หายไป ห้องที่เดิมทีนั้นเย็นยะเยือกอบอุ่นขึ้น แสงอาทิตย์สอดส่องเข้ามาทำให้ภายในห้องสว่างขึ้นในทันตา 

 

 

ชายแก่โล่งอก ก่อนที่จะล้มลงไปนั่งกับพื้น หอบหายใจอย่างหนัก “รอดแล้ว!” 

 

 

น่ากลัวเสียจริง ไม่คิดว่าหมู่บ้านเล็กแค่นี้ จะมีผีร้ายขนาดนี้ ยังดีที่อาจารย์ปู่คุ้มครอง ไม่งั้นชีวิตเขาคงต้องทิ้งไว้ที่นี่แล้ว 

 

 

ชายแก่หันกลับไปมองอวิ๋นเจี่ยวที่ยืนตัวตรง สีหน้าไม่เปลี่ยนตั้งแต่ต้นจนจบ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่า “ไม่เลวหนิ เจ้าหนู! ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังสงบได้ขนาดนี้ได้ อยู่ต่อหน้าผีร้ายกลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย สมแล้วที่เป็นคนในเสวียนเหมิน” 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” 

 

 

สงบอะไรละ! นางกลัวจะตายอยู่แล้ว เป็นโรคอัมพาตใบหน้าจะให้นางทำยังไง 

 

 

อีกอย่างนางแค่ขาชาขยับไม่ได้เท่านั้นเอง 

 

 

แม่เอ้ย ที่แท้นางก็เห็นผีจริงๆ ด้วย แต่ไม่เห็นมีคนบอกนางเลยว่าผีน่ากลัวขนาดนี้! 

 

 

… 

 

 

“ท่านเซียน ลูกข้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” อาจจะเป็นเพราะด้านในเสียงดังเกินไป ด้านนอกเสียงของผู้เป็นแม่ถามไถ่ขึ้นมา 

 

 

ทันใดที่ได้ยินเสียงจากภายนอก ชายแก่ที่เดิมยังนั่งหมดแรงอยู่ที่พื้นนั้นลุกขึ้นยืนทันที สะบัดเสื้อผ้าแรงๆ ลูบผมที่ยุ่งเหยิง ใบหน้าปราศจากความหวาดกลัว กลายเป็นนักพรตผู้บำเพ็ญเซียนผู้มากความสามารถทันที ดูไม่ออกเลยว่าเมื่อกี้กลัวจนเยี่ยวหดตดหาย ความเร็วในการเปลี่ยนหน้าที่เรียกว่าเข้าขั้นมืออาชีพ 

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…” สำนักเสวียนเหมินดั้งเดิมอะไรกัน สำนักหมอผีดั้งเดิมมากกว่า 

 

 

“เข้ามาได้!” ทางนั้นชายแก่ก็ได้เปิดประตูออก ก่อนที่จะเอ่ยด้วยสีหน้าที่ลึกล้ำว่า “ผีร้ายถูกขับไล่แล้ว ลูกเจ้าปลอดภัยแล้ว” 

 

 

หญิงสาวผู้เป็นแม่ได้สบตากับลูกชายคนโต สีหน้าดีใจ แล้วเดินไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว 

 

 

อาจจะเป็นเพราะไม่มีผีสาวเกาะอยู่ ชายหนุ่มบนเตียงสีหน้าดีขึ้นไม่น้อย รอยจ้ำเลือดบนตัวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หายใจอย่างคงที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา 

 

 

“ลูก ลูกเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงสาวผู้เป็นแม่เรียกขานอย่างร้อนใจ “นี่แม่เอง!” 

 

 

“ท่านแม่?” ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงเรียกหญิงสาวด้วยเสียงแหบพร่า ราวกับยังไม่ตื่นเต็มที่ นิ่งไปสักพัก ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ชายหนุ่มตาเบิกโต สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จับมือของแม่ตัวเองพร้อมเอ่ย “ท่านแม่…คือแม่ซู่เหนียง ข้าเห็นแม่ซู่เหนียง นางกลับมาแล้ว คือนาง…นางจะฆ่าข้า!” 

 

 

หญิงสาวผู้เป็นแม่ได้ยินดังนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ในแววตาฉายแววความเกลียด พร้อมเอ่ย “ถุย! ที่แท้ก็นางชั้นต่ำ นางยังกล้ากลับมาทำร้ายเจ้า!” หญิงสาวผู้เป็นแม่โกรธเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคำนึงถึงว่ามีคนนอกอยู่ จึงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่หันกลับไปปลอบลูกชายที่อยู่บนเตียง “ลูกข้าอย่ากลัว ข้าเชิญท่านเซียนมาแล้ว มีท่านเซียนอยู่ นางชั้นต่ำทำร้ายอะไรเจ้าไม่ได้” 

 

 

“ใช่แล้วน้องรอง!” ลูกชายคนโตที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยเสริม “พวกข้าขึ้นเขาไปเชิญท่านเซียนจากสำนักชิงหยางมา ท่านเป็นคนช่วยเจ้า” 

 

 

ลูกชายคนรองหันไปมองไป๋อวี้ที่ยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจึงดีขึ้นบ้าง 

 

 

หญิงสาวผู้เป็นแม่ก็รีบขอบคุณ “ขอบคุณท่านเซียน ท่านเซียนพลังเก่งกาจจริงๆ ช่วยให้ลูกข้าฟื้นได้เร็วขนาดนี้” 

 

 

ไป๋อวี้พลันนึกถึงยันต์ม่วงที่ถูกใช้ไป ทันใดรู้สึกเจ็บใจเบาๆ นั่นเป็นยันต์ม่วงใบเดียวในสำนักแล้ว สี่สิบตำลึงนี่มันขาดทุนชัดๆ ขาดทุนย่อยยับด้วย 

 

 

ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของผีสาวก่อนจากไปจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา ผีร้ายนั้นไม่ได้ถูกกำจัดอย่างหมดสิ้น เห็นได้ชัดว่านางคงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเขากับเจ้าหนูนี่แล้ว และคงไม่ปล่อยคนในบ้านนี้ไปแน่ ถูกผีร้ายตามรังควาน ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย 

 

 

“เจ้าทั้งสามอย่าเพิ่งวางใจเร็วเกินไป” ชายแก่เอ่ยตักเตือน “ผีที่ตามรังควานลูกชายเจ้าเป็นผีพยาบาท ตอนนี้พวกข้าขับไล่นางได้แค่ชั่วคราว รอนางฟื้นพลังเมื่อใดคงจะกลับมาอีก” 

 

 

“อะไรนะ!” ทั้งสามได้ยินเช่นนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันตา หญิงสาวผู้เป็นแม่ถามอย่างร้อนรนว่า “งั้น…งั้นจะทำอย่างไรกัน ท่านเซียน ท่านต้องช่วยพวกข้านะ!” 

 

 

“นั่นสิ ท่านเซียน!” ลูกชายคนโตก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวพร้อมเอ่ย “ท่านมีพลังที่เก่งกาจ ต้องมีวิธีเป็นแน่” 

 

 

“คือ…” เขามีวิธีสิแปลก นั้นเป็นผีร้ายนะ! โดยปกติต้องใช้นักพรตสี่ห้าคนถึงจะสยบได้ แล้วต้องเป็นนักพรตที่มีพลังมากด้วย เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่เพราะยันต์ม่วงที่สืบทอดต่อมาจากอาจารย์ปู่ เขากับเจ้าหนูคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว 

 

 

ชายแก่กระวนกระวายในใจ รู้สึกเสียใจที่ทำไมตัวเองต้องเผลอปากพูดเรื่องนี้ แต่ใบหน้ากลับยังคงรักษาสภาพที่เป็นนักพรตบำเพ็ญเซียนไว้ เพียงแต่หางตามองขอความช่วยเหลือไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ข้างๆ 

 

 

เจ้าหนู ทำอย่างไรดี 

 

 

อวิ่นเจี่ยว “…” มองทำไม เป็นคนเริ่ม ก็ต้องจัดการเอง 

 

 

“ข้าคิดว่า…” เจ้าหนู อย่าใจร้ายอย่างนี้สิ! ไป๋อวี้จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ไหนความรักต่อผู้ร่วมสำนัก “ข้าคิดว่าพวกเจ้า…” 

 

 

“พวกท่านกับผีสาวตนนั้นเป็นอะไรกัน” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม 

 

 

แม่ลูกทั้งสามคนอึ้งไปสักพัก ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะหญิงสาวผู้เป็นแม่ สายตากรอกไปมาอย่างเลิ่กลัก พร้อมตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า “เป็น…เป็นอะไรกัน” 

 

 

“เมื่อกี้พวกท่านเรียกนางว่าแม่ซู่เหนียง” อวิ๋นเจี่ยวพูดอย่างตรงประเด็น พวกเขาไม่ได้หูหนวก “ถ้าพวกท่านไม่พูดความจริง พวกข้าก็ยากที่จะช่วยพวกท่านได้” 

 

 

ชายแก่เพิ่งจะเข้าใจ ครอบครัวนี้กับผีสาวตนนั้นรู้จักกันเป็นแน่ “เจ้าหนูพูดถูก เรื่องต่างๆ ต้องมีเหตุมีผล ผีสาวตนนั้นไม่ทำร้ายคนโดยไร้สาเหตุเป็นแน่ ถ้าพวกเจ้าไม่พูดความจริง พวกข้าเกรงว่ามีใจช่วยก็คงจะช่วยไม่ได้”