บทที่ 13 ความเดือดดาลภายในใจ + บทที่ 14 การปฏิบัติที่แตกต่าง Ink Stone_Romance
บทที่ 13 ความเดือดดาลภายในใจ
“เหยาเหยา หากข้าสามารถเย็บปักผ้าผืนใหญ่ได้เมื่อไหร่ เจ้าจะพอช่วยสอนข้าเพิ่มเติมได้หรือไม่” หยางเล่อเล่อมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยแววตาคาดหวัง
นางเรียนรู้จากหญิงสาวผู้นี้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่ช่ำชองนักและยังต้องฝึกฝนให้คล่องขึ้นอีกด้วย เพื่อว่าวันใดที่นางสามารถเย็บปักงานชิ้นใหญ่กว่านี้ เมื่อนั้นนางจะได้เรียนรู้ทักษะการปักเข็มวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป
“ได้เลย”
หนิงเมิ่งเหยาตกลงจะสอนหยางเล่อเล่อเพราะนางผู้นี้ต่างจากหยางซิ่วเอ๋อร์ลิบลับ นางเป็นคนรู้กาลเทศะ ไม่ละโมบโลภมากเหมือนกับหยางซิ่วเอ๋อร์ที่เห็นอะไรก็อยากได้อยากมีไปหมด ซึ่งหยางเล่อเล่อไม่ใช่คนเช่นนั้น นางจะทำในสิ่งที่เคยได้เรียนรู้จนคล่องดีเสียก่อน จึงค่อยถามหาทักษะวิชาใหม่ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลให้หนิงเมิ่งเหยาอยากจะผูกมิตรกับหยางเล่อเล่อมากกว่า
เมื่อเด็กสาวได้ยินดังนั้น หัวใจก็เต้นโครมครามอย่างมีความสุข “ว้าว ยอดเยี่ยมไปเลย”
“ไว้คราวหน้า เจ้าลองปักเย็บบนปลอกหมอนดูสิ” แม้ตอนนี้หยางเล่อเล่อยังปักเย็บได้แค่กระเป๋าถือ ผ้าเช็ดหน้า หรืออะไรทำนองนี้เท่านั้น แต่ฝีมือปักผ้าของนางก็เพียงพอจะทำบนชิ้นงานขนาดกลาง อย่างปลอกหมอนได้แล้วเช่นกัน
“ได้เลย” น้ำเสียงของหยางเล่อเล่อแสดงถึงความเชื่อมั่นในวาจาของหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่มีข้อกังขา ไม่ว่าหญิงสาวจะพูดอะไร นางก็จะคล้อยตามด้วยทั้งสิ้น
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตรงลานบ้าน โดยลืมเรื่องของหยางซิ่วเอ๋อร์ไปสนิท
“ท่านแม่ ข้าเพิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วหนิงเมิ่งเหยานั้นมีทักษะอีกเยอะแยะมากมาย และข้าอยากให้นางช่วยสอน แต่นางกลับปฏิเสธเสียนี่” หยางซิ่วเอ๋อร์คิดถึงเรื่องนี้ทีไร หัวใจก็ร้อนระอุดั่งเพลิงไฟที่แทบจะเผาตนเองจนมอดไหม้
นางหลัวมองผู้เป็นลูกสาวด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนถามกลับในทันที “เป็นอย่างนั้นไปได้เช่นไรกันเล่า เพราะเหตุใดหรือ”
นางส่งเสียงทางจมูกฮึดฮัดอย่างเย็นชา “จะมีสาเหตุอื่นอีกหรือเจ้าคะ ทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของหยางเล่อเล่อตัวดีนั่นแหละ” แม้บุคลิกภายนอกของหยางซิ่วเอ๋อร์จะดูเป็นคนอยู่ในโอวาท มีสติ และสุภาพเรียบร้อย แต่ทว่าลึกๆ แล้วนางกลับมีนิสัยขี้หงุดหงิด และโหดร้ายเอาเรื่อง
“เจ้าพูดอะไรออกมานั่น แม้ว่าหยางเล่อเล่อจะไม่ใช่คนดี แต่นางก็เป็นลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านนะ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า ชีวิตเจ้าต้องบรรลัยเป็นแน่” นางหลัวปิดปากลูกสาวของตนโดยพลัน
ต่อให้จะพูดประโยคเหล่านั้นในบ้านของตัวเองก็ต้องระมัดระวัง เพราะหากวาจาที่หลุดออกจากปากนั้นไปเข้าหูใครเข้า พวกเขาจะไม่อาจย้อนคืนหรือกลับไปแก้ไขคำพูดใดๆ ได้อีก
หยางเล่อเล่อถูกคนที่บ้านเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ไม่เพียงแต่พ่อผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านและแม่ของนางเท่านั้น แม้แต่พวกพี่ชายและป้าๆ น้าๆ ทั้งหลายต่างก็รักและเอ็นดูนางกันทุกคน
“ท่านแม่ ข้าไม่ชอบใจเลยจริงๆ” หยางซิ่วเอ๋อร์รู้ตัวว่าพูดจาไม่ดี น้ำเสียงของนางฟังดูไม่สบอารมณ์ และสีหน้านั้นก็เย็นชา
‘หยางเล่อเล่อมีอะไรดีกว่านางตรงไหนกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือแม้แต่งานปักผ้าของนางก็สวยงามกว่าทั้งสิ้น แล้วเหตุใดตระกูลของหยางเล่อเล่อจึงดีกว่า ทั้งยังมีชีวิตอันสุขสมบูรณ์มากกว่าตระกูลของนางได้’
“ข้ารู้ แต่ตราบใดที่เจ้าเรียนรู้ทักษะงานฝีมือทั้งหมดของหนิงเมิ่งเหยา และหาเงินได้ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เจ้าก็จะได้แต่งงานกับคนดีๆ…” นางหลัวคิดเรื่องนี้ด้วยความหวังอันสูงส่ง ลูกสาวของนางเป็นคนมีความสามารถและทำประโยชน์ให้กับสังคม ผู้คนทั้งหลายจะต้องรับรู้ว่านางเป็นผู้หญิงที่วิเศษแค่ไหน
หยางซิ่วเอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างเขินอาย แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของหนิงเมิ่งเหยาแล้วก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา “แต่หนิงเมิ่งเหยาไม่ยอมสอนวิธีการปักเข็มเย็บผ้าชั้นสูงให้กับข้าน่ะสิ นางบอกว่าจะไม่สอนให้คนนอกเด็ดขาด”
“นางบอกว่าจะไม่ยอมสอนให้คนนอกเช่นนั้นหรือ เราต้องคิดหาวิธีที่จะให้นางยอมสอนเจ้าให้ได้” นางหลัวรับปากกับลูกสาว โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าหญิงกำพร้าคนหนึ่งจะมีความสามารถ และทักษะมากมายขนาดนี้
หยางซิ่วเอ๋อร์มองผู้เป็นแม่อย่างไม่เชื่อมั่นในคำพูดของนางนัก
แต่นางอยากจะเรียนรู้วิธีการปักผ้านั้นจริงๆ เพราะฝีมือและผลงานของหนิงเมิ่งเหยาช่างโดดเด่นสะดุดตานัก หากนางรู้เคล็ดลับนั้นเมื่อไหร่ ก็จะมีทักษะมากขึ้น และยังสามารถเพิ่มรายได้ได้อีกด้วย ดังนั้นนางจะต้องหาวิธีทำให้หญิงสาวยอมสอนวิธีการปักเข็มเย็บผ้านั้นโดยเร็ว
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่าหยางเล่อเล่อ และหนิงเมิ่งเหยาสนิทสนมกัน แต่ตอนนี้นางรู้แล้วจึงรู้สึกเป็นกังวล หยางเล่อเล่อทำให้หญิงสาวตีตัวออกห่างจากตนไป แต่เพราะไม่อาจย้อนคืนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ นางจึงต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว
ขณะที่หยางซิ่วเอ๋อร์กำลังคิดหาวิธีที่จะทำให้หนิงเมิ่งเหยายอมสอนตนเองอยู่นั้น หญิงสาวผู้นั้นก็กำลังแนะนำวิธีการปักเข็มเย็บผ้าให้กับหญิงสาวอีกคนอยู่
“เหยาเหยา แบบนี้ถูกต้องหรือไม่” หลังจากหยางเล่อเล่อลองปักเย็บไปได้บางส่วน ก็เงยหน้ามองหนิงเมิ่งเหยาอย่างกระวนกระวายใจ
นางเกรงว่าจะปักผิดวิธีจนทำให้ชิ้นงานของตนนั้นเสียหายได้
บทที่ 14 การปฏิบัติที่แตกต่าง
หนิงเมิ่งเหยามองชิ้นงาน และผงกศีรษะเบาๆ “ถูกต้องแล้ว เพียงแต่มันอาจจะยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก คราวหน้าเจ้าลองนำปลอกหมอนมาฝึกฝนวิธีปักเย็บแบบนี้ดูนะ”
หญิงสาวหยิบเข็มปักผ้าจากมือของหยางเล่อเล่อเพื่อปักลายดอกไม้ต่างๆ จากตอนแรกที่ยืนอยู่ก็นั่งลง แล้วเริ่มปักเย็บลงบนพื้นที่ส่วนที่เหลืออยู่ไม่มากนักของผืนผ้าผืนนั้น
หนิงเมิ่งเหยาปักเย็บพร้อมทั้งสอนอีกฝ่ายว่าเหตุใดนางจึงควรใช้วิธีการปักเย็บเช่นนี้
หยางเล่อเล่อฟังอย่างตั้งใจ และไถ่ถามในสิ่งที่ตนสงสัย ทัศนคติต่อการเรียนรู้เช่นนี้ทำให้ผู้สอนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เย็นวันหนึ่ง หนิงเมิ่งเหยาเพิ่งปักเย็บผ้าผืนหนึ่งเสร็จ หยางเล่อเล่อมองดูงานชิ้นนั้นด้วยแววตาหลงใหล “มันช่างงดงามเสียจริงเชียว”
“ไม่ต้องกังวลหรอก อีกไม่นานเจ้าก็จะเย็บปักเช่นนี้ได้แล้ว” หญิงสาวมองดวงตาของอีกฝ่าย และเอ่ยอย่างเป็นมิตร พลางพับผ้าผืนนั้นแล้ววางไว้ข้างๆ
เด็กสาวถูจมูกอย่างเคอะเขิน หนิงเมิ่งเหยาเผลอหัวเราะกับท่าทางไร้เดียงสานั้น “ข้าแค่ชอบมันเท่านั้น และมิได้กังวลอะไรอีกด้วย เจ้าสอนข้ามากมายขนาดนี้ ข้าก็รู้สึกพอใจมากแล้ว” หากเปรียบเทียบระหว่างนางกับหยางซิ่วเอ๋อร์แล้วละก็ หนิงเมิ่งเหยาสอนทักษะให้หยางเล่อเล่อมากมายจริงๆ นางจึงควรพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับ
“เอาล่ะ ในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเด็กๆ ดังนั้นเราไปเที่ยวในเมืองด้วยกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยามองความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีของอีกฝ่าย แล้วส่ายศีรษะเบาๆ นี่คือหยางเล่อเล่อ ผู้รู้จักความพอดี
เด็กสาวพยักหน้าตกลงในทันที
ในเช้าวันถัดมา หยางเล่อเล่อเคาะประตูบ้านของหนิงเมิ่งเหยา โดยมีใครบางคนเดินตามหลังมาด้วย คนๆ นั้นคือหยางซิ่วเอ๋อร์นั่นเอง
“เมิ่งเหยา ข้าอยากไปด้วย งานปักเย็บของข้าก็เสร็จพอดีเช่นกัน” นางประสานมือทั้งสองเบาๆ และมองผู้เป็นเจ้าของบ้านด้วยความกังวล
หยางเล่อเล่อเบะปากให้กับหนิงเมิ่งเหยาโดยที่หยางซิ่วเอ๋อร์ไม่ทันเห็น นางรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ นางไปคนเดียวไม่ได้หรือ เหตุใดต้องตามเราทั้งสองด้วย ช่างน่ารำคาญเสียจริง
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้ารับคำของหยางซิ่วเอ๋อร์ ก่อนจะหันมองหยางเล่อเล่อ “เล่อเล่อ เจ้ามาถึงแต่เช้าเชียว ทานอะไรมาหรือยัง”
“ข้าทานมาแล้ว” นางรับประทานอาหารเช้าที่ผู้เป็นแม่ตระเตรียมไว้ให้เพราะรู้ว่าวันนี้พวกเขาทั้งสองจะเข้าเมืองไปด้วยกัน หลังจากทานเสร็จ นางก็มาที่นี่
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินดังนั้น จึงหยิบสัมภาระของตนออกมาและปิดประตูลั่นกุญแจ ท่าทีของหญิงสาวทำให้หยางซิ่วเอ๋อร์ปั้นหน้าถมึงทึง
เมื่อเช้า นางหลัวอยากให้ลูกสาวคนนี้ทานข้าวที่บ้าน แต่นางปฏิเสธ เพราะอยากมาทานอาหารที่บ้านของหนิงเมิ่งเหยามากกว่า เนื่องจากรู้ดีว่าหญิงสาวทำอาหารอร่อย
แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ นอกจากจะไม่ได้กินข้าวแล้ว อีกฝ่ายยังไม่สนใจจะไถ่ถามนางเลยด้วยซ้ำ
หยางเล่อเล่อเห็นเนื้อตัวของหยางซิ่วเอ๋อร์สั่นสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่า ก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ ‘สมน้ำหน้า คอยดูสิว่านางยังอยากจะไปด้วยกันอยู่หรือไม่’
ต่อให้หยางเล่อเล่อจะยังไม่ได้ทานอะไรมา นางก็ตั้งใจว่าจะตอบกลับว่าทานมาแล้วอยู่ดี มิฉะนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็ต้องชวนนางกินข้าวก่อน หยางซิ่วเอ๋อร์ก็ต้องเข้ามาด้วยน่ะสิ หยางเล่อเล่อรู้ทันอีกฝ่ายว่ายังไม่ได้ทานข้าวมาจากที่บ้าน และตั้งใจจะมากินอาหารของหนิงเมิ่งเหยาเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถิด ตอนขามา ข้าเห็นวัวลากเกวียนคันหนึ่งที่จะเข้าเมืองอยู่พอดี ช่างโชคดีนัก” หยางเล่อเล่อคล้องแขนหนิงเมิ่งเหยาและยิ้มกริ่ม นางพูดพลางเหลือบตามองหยางซิ่วเอ๋อร์อย่างมีเลศนัยชัดเจน
หยางซิ่วเอ๋อร์นั้นโกรธจนหน้าเขียว เพราะหยางเล่อเล่อจ้องมองนางอย่างเย้ยหยัน และยังตระหนักได้อีกว่าหญิงสาวอีกคนไม่ได้หันมาสนใจ
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังนั่งเกวียนกันอยู่นั้น หยางเล่อเล่อคุยเจื้อยแจ้วกับหนิงเมิ่งเหยาไม่หยุด ทำให้หยางซิ่วเอ๋อร์ไม่มีโอกาสชวนหญิงสาวคุยด้วยเลย ในที่สุดนางจึงพูดกับหยางเล่อเล่ออย่างโมโห “หยางเล่อเล่อ เจ้าช่วยเงียบหน่อยได้หรือไม่เล่า เสียงดังชะมัดยาด”
“ข้ากำลังคุยกับเหยาเหยา แล้วเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย ถ้าไม่ชอบใจก็อย่ามาฟังสิ เหยาเหยายังไม่ว่าอะไรเลยสักคำ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรพูดเช่นนั้นกันเล่า” หยางเล่อเล่อฟึดฟัด และมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
หากนางคุยกับเหยาเหยาแล้วจะทำไม มันไปขัดขวางอะไรอย่างนั้นหรือ อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าหยางซิ่วเอ๋อร์กำลังวางแผนบางอย่างอยู่
ลึกๆ ในดวงตาของหนิงเมิ่งเหยานั้นมีประกายแห่งรอยยิ้มเฉิดฉายอยู่ บุคลิกของหยางเล่อเล่อนั้นทำให้ผู้คนรอบข้างต่างไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กันแน่ แม้ว่าเด็กสาวผู้นี้จะเป็นคนแสบทรวง แต่ขณะเดียวกัน หากได้สนิทสนมกันแล้ว ก็สามารถทำให้รู้สึกสบายใจได้เป็นอย่างดี
“หยางเล่อเล่อ จะมากเกินไปแล้วนะ”
“ข้ามากไปเท่าไหร่หรือ” นางมองหยางซิ่วเอ๋อร์อย่างใสซื่อ ราวกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
หยางซิ่วเอ๋อร์กำมือแน่น และมองหนิงเมิ่งเหยา แต่กลับพบว่าหญิงสาวนั่งเงียบๆ อยู่ตรงมุมเกวียน และทำตัวราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร