บทที่ 15 เชื่อมสัมพันธ์ + บทที่ 16 ผ้าปักราคาสูง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 15 เชื่อมสัมพันธ์ + บทที่ 16 ผ้าปักราคาสูง Ink Stone_Romance

บทที่ 15 เชื่อมสัมพันธ์

ท่าทีของหนิงเมิ่งเหยายิ่งกระตุ้นให้หยางซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเดือดดาล จนเหยียดแขนชี้ไปทางหญิงสาว “เจ้าคิดจะดูนางรังแกข้าเฉยๆ เช่นนี้น่ะหรือ”

หนิงเมิ่งเหยาจึงหรี่ตาลงอย่างเย็นชาหลังจากถูกชี้หน้า “การพูดความจริงเป็นการรังแกเจ้ากระนั้นรึ”

หลังจากหยางซิ่วเอ๋อร์สบตากับหญิงสาว มือที่ชี้อยู่นั้นก็ลดระดับลง เพราะสายตาของอีกฝ่ายช่างน่ากลัวนัก

“ข้า…ข้า…”

“เหยาเหยา อย่าโกรธเลย ไม่ต้องไปสนใจนางหรอก” หยางเล่อเล่อยื่นมือไปจับมือของหญิงสาวผู้มีสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะสัมผัสถึงความเยือกเย็นเล็กน้อยจากฝ่ามือคู่นั้น จึงรู้โดยทันทีว่านางไม่พอใจกับกริยาที่หยางซิ่วเอ๋อร์กระทำ

หยางเล่อเล่อคิดถูกเพียงครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงของหยางซิ่วเอ๋อร์ที่เอ่ยถามนั้นทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกอึดอัดก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจอย่างมากคือการที่นางชี้นิ้วใส่ต่างหาก

ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในยุคสมัยที่หญิงสาวจากมาหรือยุคนี้ ก็ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเหยียดมือมาชี้หน้านางเช่นนี้มาก่อน

หลังจากนั้น เมื่อหยางซิ่วเอ๋อร์อยากชวนหนิงเมิ่งเหยาคุย ก็จะนึกถึงสายตาอันเยือกเย็นคู่นั้นเสมอ จนหัวใจของนางแทบหยุดเต้น

เมื่อมาถึงตัวเมือง หนิงเมิ่งเหยาช่วยหยางเล่อเล่อจ่ายค่าเกวียนโดยสาร โดยไม่สนใจแม่นางอีกคนที่มาด้วยเลยแม้แต่น้อย

หยางซิ่วเอ๋อร์หน้าซีดเผือดหลังจากเห็นท่าทีเช่นนั้น เพราะวันนี้นางมิได้นำเงินติดตัวมาด้วย และต้องการให้หญิงสาวช่วยเหลือตน

เมื่อชายชราเจ้าของเกวียนมองมา นางจึงหันมองหนิงเมิ่งเหยาต่ออย่างลำบากใจ “เมิ่งเหยา เจ้าช่วยจ่ายค่าโดยสารเกวียนให้ข้าด้วยได้หรือไม่” หยางซิ่วเอ๋อร์รู้สึกขายหน้าจนใบหน้านั้นร้อนผ่าวทันทีหลังจากพูดออกมา

หนิงเมิ่งเหยายิ้มเบาๆ ขณะมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเอือมระอา แล้วหยางเล่อเล่อก็พูดแทรกอย่างไม่พอใจ โดยไม่รอให้หญิงสาวต้องเอ่ยก่อน “เหตุใดเหยาเหยาต้องจ่ายให้เจ้าด้วย”

“นางก็จ่ายให้เจ้า แล้วเหตุใดนางจึงจะไม่ช่วยข้าเล่า” หยางซิ่วเอ๋อร์มองหยางเล่อเล่ออย่างแน่วแน่ ทั้งยังพูดสะกิดใจให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกว่าไม่ควรลำเอียงกับนาง

หยางเล่อเล่อฮึดฮัด “เวลาข้ากับเหยาเหยามาในเมืองทุกครั้ง เราจะแบ่งกันจ่ายค่าโดยสาร นางจะเป็นคนจ่ายขามา ส่วนข้าจะจ่ายขากลับ เจ้าอยากให้นางจ่ายในส่วนของเจ้า แปลว่าเจ้าตั้งใจจะเลี้ยงข้าวนางเช่นนั้นหรือ” นางไม่คุ้นเคยกับนิสัยเอารัดเอาเปรียบของหยางซิ่วเอ๋อร์ผู้นี้เลยจริงๆ

“พอดีวันนี้ข้าไม่ได้นำเงินมาด้วย เดี๋ยวข้าค่อยจ่ายคืนวันหลัง” สีหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์กระอักกระอ่วน แต่นางรู้สึกขุ่นเคืองหนิงเมิ่งเหยาเสียยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้มิได้ขัดสนเรื่องเงินทอง แล้วเหตุใดจึงไม่ช่วยนางจ่ายเล่า

ทว่าหยางซิ่วเอ๋อร์กลับมิได้ตระหนักถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวจะมาช่วยจ่ายในส่วนของนางเพื่ออะไรกัน

หนิงเมิ่งเหยามองหยางซิ่วเอ๋อร์ และหยิบเงินสองอีแปะส่งให้ชายชราเจ้าของเกวียน ก่อนจะคล้องแขนหยางเล่อเล่อเพื่อเดินจากไปพร้อมกัน

หญิงสาวไม่คิดอะไรมากนัก แต่หยางเล่อเล่อรู้สึกไม่สบอารมณ์ และพูดอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมเจ้าต้องช่วยนางจ่ายค่าเกวียนโดยสารด้วย ข้ารู้ดีว่านางตั้งใจไม่เอาเงินมา เพราะอยากจะรีดไถเงินจากเจ้านั่นแหละ” หนสองหนยังพอรับได้ แต่นี่มันนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แทบจะเรียกว่าตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ

“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมเสียเปรียบเช่นนั้นหรือ” หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างแผ่วเบาพลางเหลือบมองหยางซิ่วเอ๋อร์ซึ่งเดินตามหลังทั้งคู่มา หลังจากที่นางชำระค่าโดยสารให้

หยางเล่อเล่อคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะส่ายศีรษะ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี แต่เจ้าไม่ควรจะทำแบบนี้อีก ไม่เช่นนั้นคนอื่นๆ จะคิดว่าเอาเปรียบเจ้าได้ง่ายๆ ” หยางเล่อเล่อกระซิบอย่างไม่พอใจ

หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะเบาๆ และรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีกับตน นอกจากนี้เวลาที่เข้าเมืองมาด้วยกัน หญิงสาวมักจะพูดอยู่เสมอว่านางจะจ่ายค่าโดยสารขามา ส่วนขากลับนั้นค่อยให้หยางเล่อเล่อเป็นผู้รับผิดชอบ

ทุกครั้งที่หนิงเมิ่งเหยาต้องการช่วยเด็กสาวจ่าย นางจะไม่เห็นด้วย และบอกว่าพี่น้องท้องเดียวกันยังต้องทำบัญชีสะสางเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่พวกเขาเป็นสหายคนสนิทต่อกัน นางจึงจะไม่เอาเปรียบหญิงสาวเด็ดขาด

“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังร้านรับซื้องานผ้าปัก” หนิงเมิ่งเหยาถูกใจคนแบบหยางเล่อเล่อ แต่สหายประเภทนี้ก็มีความจุกจิกไปบ้าง โชคยังดีว่าหากเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอง หยางเล่อเล่อก็จะไม่คิดอะไรมากมาย

หยางเล่อเล่อเดินตามหญิงสาวมาจนถึงร้านรับซื้องานผ้าปักที่นางพูดถึง เด็กสาวจึงเพิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วมันคือร้านรับซื้องานผ้าปักที่ดีที่สุดของเมืองแห่งนี้เลยทีเดียว

บทที่ 16 ผ้าปักราคาสูง

หยางเล่อเล่อเริ่มรู้สึกกังวลจนต้องรั้งแขนหนิงเมิ่งเหยาเอาไว้ “งานของข้าดีพอแล้วหรือ”

“ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไรหรอก เข้าไปกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยายิ้มพลางลูบมืออีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม

หญิงสาวเห็นงานปักผ้าทั้งผืนของหยางเล่อเล่อแล้วว่ามันสวยงามมาก และสามารถนำมาขายที่นี่ได้แน่นอน เพียงแต่ว่าเด็กสาวยังไม่มั่นใจเท่านั้นเอง

“ไอ้หยา นี่มันแม่นางเมิ่งเหยานี่ เจ้ามาถึงที่นี่ คราวนี้เจ้านำงานชิ้นสวยชิ้นใดมาด้วยเล่า” หญิงผู้เป็นเจ้าของร้านรับซื้องานผ้าปักมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยดวงตาเป็นประกาย เนื่องจากผ้าปักผืนก่อนที่หญิงสาวนำมาขายให้นั้นงดงามมาก นางจึงรับซื้อ และให้ค่าตอบแทนที่ดี ก่อนจะนำไปขายต่อในราคาที่สูงยิ่งกว่า ผู้คนต่างถามไถ่นางว่ามีงานเช่นนี้เหลืออีกหรือไม่ แต่หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง

“ท่านป้าลั่ว พอดีช่วงนี้ข้าติดธุระบางอย่างที่บ้าน เลยไม่ได้กลับมานาน ครั้งนี้ข้าอยากจะมาขายงานผ้าปักอีกเช่นเคย เล่อเล่อ นี่คือเจ้าของร้านรับซื้องานผ้าปักแห่งนี้ผู้มีนามว่าลั่ว เจ้าเรียกนางว่าท่านป้าลั่วก็ได้นะ” หนิงเมิงเหยาแนะนำหยางเล่อเล่อให้เจ้าของร้านรู้จัก

หยางเล่อเล่อเอ่ยทักทายด้วยความประหม่า “ท่านป้าลั่ว”

หลังจากผู้เป็นเจ้าของร้านเห็นแววตาเหนียมอายคู่นั้น จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เด็กสาวผู้นี้ดูช่างขี้อายนัก แต่นางก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งนี่นะ ถ้าเช่นนั้นเรามาดูงานปักเย็บกันก่อน แล้วค่อยมาคุยกันต่อดีกว่า”

“ตกลง”

หนิงเมิ่งเหยาหยิบผ้าปักเย็บของตนที่มีลวดลายเป็นกลุ่มหญิงสาวกำลังถือพัดอยู่ในมือ

ท่านป้าลั่วหันมองหญิงสาว “นี่เจ้ายังปักผ้าผืนนี้ไม่เสร็จหรอกหรือ”

“ยังเลย หญิงสาวกลุ่มนี้มีถึง 18 คนด้วยกัน นี่เป็นเพียงหนึ่งจากทั้งหมดนั้น” ลวดลายบนงานปักผ้าของหนิงเมิ่งเหยาเป็นหญิงสาวนางหนึ่งจากภาพสิบแปดสาวงาม

“ฝีมือไม่เลวเลยจริงๆ ” เพียงแค่ภาพนี้ภาพเดียว ก็ทำให้ท่านป้าลั่วเล็งเห็นแล้วว่าผ้าปักทั้งผืนจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หลังจากที่งานปักผ้าชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์ นางมีความคิดที่ยอดเยี่ยมว่าจะนำมันมาจัดแสดงในร้านของตนเพื่อเป็นการโฆษณาโดยไม่ต้องนำไปขายต่อ

ท่านป้าลั่ววางแผนเรื่องนี้พลางมองหนิงเมิ่งเหยา “เมิ่งเหยา ป้าลั่วอยากได้งานปักผืนนี้ และข้ายินดีจะจ่ายให้เจ้าร้อยตำลึงต่อชิ้นเลย”

“ตกลง ข้าอาจจะต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการทำภาพหนึ่งภาพให้เสร็จสมบูรณ์”

“ข้ารอได้น่า เมื่องานชิ้นนี้ถูกนำมาแขวนที่นี่ มันจะเป็นป้ายประชาสัมพันธ์ให้กับร้านได้อย่างโดดเด่นเชียว” หญิงผู้เป็นเจ้าของร้านบอกแผนการของตนในทันที

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินดังนั้น ก็เผลอหัวเราะออกมา ในขณะที่หยางเล่อเล่อได้แต่ยืนอึ้ง ‘งานปักผ้าผืนหนึ่งมีราคาถึงร้อยตำลึงเลยหรือนี่ ถ้าหากปักเย็บทั้ง 18 ภาพเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็จะทำเงินได้ถึง 1,800 ตำลึงเลยน่ะสิ งานปักผ้าทำเงินได้มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ’

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาขายงานปักผ้าผืนนั้นเสร็จสิ้น จึงหยิบกระเป๋าเงิน ผ้าเช็ดหน้า และงานทำนองเดียวกันต่างๆ ของหยางเล่อเล่อขึ้นมาวางไว้ข้างตู้ “ท่านป้าลั่ว รบกวนช่วยดูงานพวกนี้ให้ข้าหน่อย แต่ท่านไม่ต้องให้ราคาสูงเพราะเห็นแก่ข้าหรอกนะ โปรดประเมินราคาให้ตามมาตรฐานคุณภาพของท่านเลย” หญิงสาวอยากให้หยางเล่อเล่อรู้ว่างานปักเย็บของตัวนางนั้นสวยงามดีแล้วจริงๆ เพื่อจะได้มั่นใจในตนเองมากขึ้น

ท่านป้าลั่วมองงานต่างๆ สลับกับมองหญิงสาว จากนั้นจึงหันมองหยางเล่อเล่อผู้กำลังรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย ราวกับว่านางเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของหนิงเมิ่งเหยาเป็นอย่างดี

หญิงผู้เป็นเจ้าของร้านหยิบกระเป๋าเงินและผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาตรวจดูตั้งแต่วิธีการปักเย็บไปจนถึงเรื่องของลวดลาย

นางเลือกชิ้นงานมาสองสามชิ้นก่อนจะชี้ไปที่มัน “วิธีการปักเข็มเย็บผ้าของงานพวกนี้ยังไม่ประณีตนัก ส่วนลวดลายของงานปักดูน่าเบื่อไปนิด แต่งานชิ้นอื่นๆ นั้นฝีมือดีมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปักเย็บ ลวดลาย และการเลือกสีที่เข้ากันนั้นไม่เลวเลย ข้าอยากขอซื้องานทั้งหมด ยกเว้นงานไม่กี่ชิ้นเหล่านี้ที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์”

นอกจากกระเป๋าเงินสองสามใบ และผ้าเช็ดหน้าแล้ว งานชิ้นอื่นๆ ก็ทำออกมาดีทีเดียว และเมื่อลองคิดย้อนกลับไปดู ทำให้พบว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นผู้สอนวิชาทักษะให้แก่นางทั้งสิ้น

หยางเล่อเล่อรับฟังการประเมินราคาจากท่านป้าลั่วด้วยความกังวลใจอยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้ยินนางบอกว่าไม่รับซื้อเพียงแค่สองสามชิ้นเท่านั้น เด็กสาวก็มึนงงไปชั่วขณะเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หนิงเมิ่งเหยามองปฏิกิริยาของนาง ก่อนจะอธิบายให้ผู้เป็นเจ้าของร้านฟัง “เวลานางมาที่นี่กับข้า นางมักจะกังวลเสมอว่างานปักผ้าของตนนั้นยังไม่เหมาะที่จะนำมาขาย”

“เรื่องมันเป็นเช่นนี้นี่เอง นางเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสินะ” ท่านป้าลั่วหัวเราะร่วนขณะกล่าวเย้า จากวิธีการเย็บปักผ้าของเด็กสาวทำให้รู้ว่านางมีพรสวรรค์ที่ดี

“กึ่งๆ จะเป็นลูกศิษย์น่ะ จริงๆ แล้วเราทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ฉะนั้นข้าคงต้องฝากเล่อเล่อให้ท่านป้าลั่วช่วยดูแลด้วยคนแล้ว” หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างอบอุ่น