สิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ มีหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้กับเหยาเฟิ่งเกอตามปกติ เพียงแต่บรรดาหมอหลวงที่มาล้วนถูกหลี่หมัวมัวขวางเอาไว้ หลี่หมัวมัวนำเหอเปาที่มีตั๋วเงินยื่นให้กับหมอหลวง พูดด้วยความลำบากใจ “นายหญิงของข้าบอกเอาไว้ในช่วงที่นางได้สติขึ้นมาว่า รูปโฉมของนางตอนที่ป่วยไข้นั้นช่างน่าเกลียดยิ่งนัก จึงไม่อยากพบเจอผู้ใด มันก็เป็นแค่เรื่องของการตรวจในช่วงไม่กี่วันจะลำบากไปไย จะตรวจชีพจรหรือไม่ตรวจชีพจรล้วนทำไปเสียเปล่าเท่านั้น ท่านหมอได้โปรดเห็นใจ”
หมอหลวงเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่เพียงไม่ต้องตรวจชีพจรแต่ยังได้เงิน แน่นอนว่าเขาย่อมกลับไปด้วยความยินดี
หลี่หมัวมัวเองนั้นก็ได้เอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่เป็นการส่วนตัว ว่าเหตุใดจึงไม่ให้หมอหลวงจับชีพจรนายหญิงของนาง ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ย้อนถาม “หมัวมัวคิดว่าหมอหลวงเหล่านั้นสามารถรักษาอาการป่วยของพี่สาวข้าได้หรือ ท่านคอยติดตามปรนนิบัติรับใช้พี่สาวข้ามานานหลายปี ท่านไม่คิดหรือว่าการล้มป่วยของพี่สาวข้านั้นมีเงื่อนงำ?”
หลี่หมัวมัวกระจ่างขึ้นมาในทันใด ไม่กล้าแสดงกิริยาไม่สุภาพกับเหยาเยี่ยนอวี่อีก
เดือนเจ็ด เป็นฤดูที่มีฝนตกกระหน่ำ อีกทั้งน้ำฝนในปีนี้คล้ายจะมีมาก เมืองหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือแทบจะมีฝนตกหนักทุกวัน หรือไม่ฝนก็ตกวันเว้นวันและวันเว้นสองวัน เมื่อเทียบกับเดือนหกแล้วนั้นอากาศในเวลานี้เย็นสบายกว่ามาก หลังจากที่ฝนตกไม่เพียงช่วยให้อากาศดีขึ้น แต่ยังทำให้อากาศไม่ร้อนอบอ้าวอีกด้วย
เช้าตรู่ของวันนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ตื่นแต่เช้าเดินวนไปมาในสวนหย่อมขนาดเล็กอยู่หลายรอบ ฝนเพิ่งตกเมื่อคืนวาน ดอกไม้ใบหญ้าในสวนแต้มไปด้วยหยดน้ำค้าง ดอกเหอฮวนฮวา ตกกระจายทั่วพื้นดิน แม้กระทั่งดินโคลนยังแต้มไปด้วยสีแดงปนชมพู
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ใช่สตรีประเภทที่เห็นดอกไม้ร่วงหล่นแล้วจะร่ำไห้น้ำตาคลอ นางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย นางเพียงอ้าแขนออกกว้างด้วยความผ่อนคลาย สูดอากาศที่เย็นชุ่มฉ่ำ แล้วรู้สึกสดชื่นที่หัวใจและก็ที่ปอดยิ่งนัก
เฝิงหมัวมัวเดินมาจากเรือนหน้า เมื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ใต้ต้นเหอฮวนฮวาเพียงลำพัง จึงเดินเข้าไปแล้วเอ่ยพูดเสียงเบา “คุณหนู ฮูหยินน้อยสามฟื้นแล้วเจ้าค่ะ นางกล่าวว่าวันนี้รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อวาน จึงสั่งให้บ่าวมาเชิญคุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”
“ได้” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดสิ่งใดให้มากความ นางลืมตาขึ้นแล้วปล่อยให้หมัวมัวจัดปกเสื้อและกระเป๋าเสื้อให้กับตนอย่างว่าง่าย จากนั้นเดินไปด้านหน้า
เหยาเฟิ่งเกอนอนพิงอยู่บนเตียง ซานหูที่อยู่ด้านหลังคอยช่วยหวีผมให้กับนางด้วยหวีหยกขาว หู่พั่วสาวใช้อีกคนยืนอยู่ด้านข้าง ทั้งสองเป็นสาวใช้ที่ติดตามออกเรือนมาพร้อมกัน คอยปรนนิบัติรับใช้นางขณะที่กำลังบ้วนปาก เมื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้ามา เหยาเฟิ่งเกอจึงถ่มน้ำเกลือที่อยู่ในปากลงกระโถน จากนั้นยิ้มแล้วพูดขึ้น “น้องสาวมาแล้วหรือ”
“วันนี้สีหน้าของพี่สาวดีขึ้นมากเจ้าค่ะ” สิ่งที่เรียกว่าการดู การฟัง การถาม การจับชีพจร ดวงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่แต้มไปด้วยรอยยิ้ม นางเดินไปข้างหน้าแล้วนั่งลงข้างเตียงของเหยาเฟิ่งเกอ จับข้อมือของเหยาเฟิ่งเกอเอาไว้เพื่อตรวจชีพจรด้วยความเงียบ
หลังจากนั้นไม่นาน เหยาเฟิ่งเกอเอ่ยถามด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง “เป็นอย่างไรบ้าง” หลายวันที่ผ่านมานี้แม่นมและซานหูได้เล่าเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่ให้นางฟังแล้ว ถึงแม้นางจะรู้สึกคาดไม่ถึง แต่ความต้องการที่จะมีชีวิตนั้นทำให้เหยาเฟิ่งเกอไม่อาจสนใจสิ่งใดให้มากความ เพราะสามารถต่อชีวิตของนางให้มีลมหายใจต่อไปได้ อีกทั้งคงไม่มีผู้ใดอยากจะตายในเร็ววันหรอก
ความเหน็ดเหนื่อยตลอดยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ไม่สูญเปล่า เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มกว้าง “พี่สาวสามารถพบหมอหลวงได้แล้วเจ้าค่ะ” ตามหมอหลวงมาจับชีพจร อาศัยคำพูดของหมอหลวงบอกกับฮูหยินติ้งโหวและทุกคนในจวน ฮูหยินน้อยสามไม่สิ้นใจแล้ว
“จริงหรือ?” เหยาเฟิ่งเกอดีใจอย่างมาก จับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ยอมปล่อย
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า กล่าวพูดเสียงเบา “หวังว่าพี่สาวสามารถทำให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริง อนุญาตให้ข้าออกไปจากจวนในยามที่สมควร”
“น้องสาว…” เหยาเฟิ่งเกอหุบยิ้มในทันที ดวงหน้าเศร้าหมอง “เจ้าถูกเลี้ยงให้เติบโตมาอย่างสุขสบายตั้งแต่เล็ก พี่จะยอมให้เจ้าไปตกระกําลําบากในที่แบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นพี่ต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าแทนท่านพ่อท่านแม่”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดีว่าเวลานี้เหยาเฟิ่งเกอไม่อาจไกลห่างจากตน อาการป่วยของนางยังไม่หายดี ทว่าไต้ฟู กลับลาจากไปก่อน ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่อาจวางใจ ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มเล็กน้อย “พี่สาววางใจเถอะ ในหนึ่งเดือนนี้ข้าจะยังไม่ไปจากจวนโหวอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าอาการป่วยของท่านจะดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรท่านก็ยังไม่หายดีนัก แล้วข้าจะจากไปในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุที่ข้าพูดในตอนนี้ เพียงแค่อยากให้พี่สาวช่วยคิดเผื่อน้องสาวของท่านแต่เนิ่นๆ ก็เท่านั้น หากวันข้างหน้าท่านต้องการสิ่งใด แค่เพียงประโยคเดียว น้องสาวจะทำให้ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจ้ายิ่งเติบใหญ่ ก็ยิ่งดื้อรั้นเอาแต่ใจตน” แม้ว่าเหยาเฟิ่งเกอจะหยอกล้อด้วยความอ่อนเพลีย ทว่ารอยยิ้มของนางนั้นช่างงดงามดั่งดอกหลีฮวา หลังฝน รอยยิ้มของนางเป็นความงดงามที่มีลักษณะเฉพาะ
เหยาเยี่ยนอวี่มองด้วยความตะลึงเมื่อนางเห็นว่า พี่สาวคนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก ทั้งที่ล้มป่วยหนักและยังไม่หายดี ทว่ารอยยิ้มที่ถึงแม้จะอ่อนเพลียแต่กลับชวนมองถึงเพียงนี้ นึกถึงสิ่งที่ในตำรากล่าวเอาไว้ว่าเมื่อยามสตรีหายไข้จะงดงามยิ่งขึ้น เกรงว่าคงจะเป็นเช่นนี้กระมัง?
“คุณชายสามมาเจ้าค่ะ!” ผัวจื่อที่ทำหน้าที่ปัดกวาดในสวนน้อมเคารพด้วยความตกใจ “น้อมอรุณสวัสดิ์คุณชายสามเจ้าค่ะ” จากนั้น บ่าวรับใช้ที่อยู่ภายนอกเรือนและภายในเรือนพากันน้อมเคารพตามๆ กัน
เหยาเยี่ยนอวี่ชะงัก เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเหยาเฟิ่งเกอเองก็แปลกใจยิ่งนัก นับตั้งแต่นางป่วยหนัก ซูอวี้เสียงไปนอนที่ห้องหนังสือมาโดยตลอด ตอนกลางคืนนั้นมีเพียงทงฝัง คอยปรนนิบัติรับใช้ คุณชายทั้งสามแห่งจวนโหวทุกเช้าที่ตื่นนอนล้วนต้องไปทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ที่จวน ทั้งยังต้องทำความเคารพท่านโหวและฮูหยิน หลังจากที่ทานอาหารเช้าแล้วนั้นยังมีการงานต้องทำอีกมากมาย จึงไม่มีเวลามาที่เรือนของนาง ทว่าเหตุใดวันนี้จึงมีข้อยกเว้นเล่า?
ระหว่างที่ความเงียบเข้าปกคลุม ซูอวี้เสียงก็เดินเข้าประตูมาแล้ว เขามองดูเหยาเยี่ยนอวี่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคอยจับมือเหยาเฟิ่งเกอเอาไว้ จึงยิ้ม “น้องสาวอยู่ที่นี่?”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงเหยียดกายลุกขึ้นจากนั้นน้อมเคารพ “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ คุณชายสาม”
เหยาเฟิ่งเกอนอนพิงอยู่ในอ้อมแขนของซานหู นางมองไปที่ซูอวี้เสียงจากนั้นยิ้มอย่างอ่อนแรง “เหตุใดท่านพี่จึงมาแต่เช้าเช่นนี้เจ้าคะ เชี่ยเซิน นั้นป่วยหนัก…”
ซูอวี้เสียงนั่งลงไปตรงที่เหยาเยี่ยนอวี่นั่งก่อนหน้านี้ ยื่นมือมาจับมือของเหยาเฟิ่งเกอ มองดูสีหน้า ” เพราะน้องสาวคอยอยู่ดูแลเช่นนั้นหรือ? พี่รู้สึกว่าน้องหญิงอาการดีขึ้นกว่าแต่ก่อนยิ่งนัก”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร พวกซานหูล้วนพูดกันว่าน้องสาวของข้าคือดวงดาวนำโชคเจ้าค่ะ” เหยาเฟิ่งเกอยังคงยิ้มด้วยความอ่อนเพลีย และเก็บเงียบถึงเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่เป็นผู้รักษาตน
ซูอวี้เสียงได้ฟังจึงยิ้มเล็กน้อย หันหน้าไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นพูดขึ้น “น้องสาวเป็นดวงดาวนำโชคจริงๆ พวกเราไม่ได้ข่าวคราวจากพี่ใหญ่มานานกว่าสองเดือน ทั้งท่านย่าและท่านแม่ร้อนใจดั่งไฟสุม ทว่าหลังจากที่น้องสาวมาถึงจวนของพวกเราเพียงไม่กี่วัน เรื่องที่พี่ใหญ่ชนะสงครามถูกกล่าวขานในเมืองหลวง อีกทั้งเมื่อคืนวานก็ได้ยินมาว่า อีกไม่กี่วันพี่ใหญ่ก็จะกลับมาเมืองหลวงแล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ?” เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกดีใจยิ่งนัก นัยน์ตาของนางเปล่งประกายขึ้นมา
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วติ้งโหวซื่อจื่อนำกองกำลังทหารไปต่อสู้ทางตะวันตก สงครามนั้นยืดเยื้อไม่ได้ผลสรุป ไม่มีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ส่วนชัยชนะที่เล็กน้อยก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาสู้รบกันนานเกือบหนึ่งปีแล้ว อีกทั้งเมื่อหลายวันก่อนยังได้ยินมาว่าแพ้สงคราม สูญเสียทหารและอาชาไปจำนวนไม่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเหล่าขุนนางในราชสำนักและฮ่องเต้ที่ร้อนใจ องค์หญิงต้าจั่งในจวนและลู่ฮูหยินต่างก็กระวนกระวายใจยิ่งนัก
ทว่าภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กลับกลอกตามองบน ครุ่นคิดว่า คุณชายสามนั้นช่างเชื่อมโยงเก่งเสียจริง ข้าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอ จะมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับการชนะสงครามของทางราชสำนัก? คำพูดนี้ของท่านหากแพร่ออกไปนั้นจะมีผลเช่นไร! สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นคือการหาเรื่องให้กับข้าไม่ใช่หรือ!
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าตนไม่อาจยืนอยู่ตรงหน้าสามีภรรยาคู่นี้ต่อไปได้ หากยืนอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองจะพูดอะไรอีก ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ โน้มตัวลง ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “วันนี้ท่านพี่กระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก เช่นนั้นก็สนทนากับพี่เขยสักประเดี๋ยวเถอะ เยี่ยนอวี่ขอตัวลาไปก่อน”
“นี่…” ซูอวี้เสียงรีบพูดขึ้น “เวลานี้แล้ว เจ้ายังจะกลับทำไม? สั่งให้พวกบ่าวนำมื้อเช้ามาที่นี่มิดีกว่าหรือ เจ้าก็มาร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับพวกเราเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดในใจ จะให้ข้าร่วมโต๊ะกินมื้อเช้ากับเจ้า? เจ้าเห็นว่าข้าเป็นอนุภรรยาของเจ้าหรืออย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงฝืนยิ้มแล้วพูดปฏิเสธ “ก่อนจะมานั้นข้ากินข้าวต้มไปหนึ่งถ้วยแล้ว น้ำใจของคุณชายสามเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงน้อมรับเอาไว้ เยี่ยนอวี่ขอตัวลาเจ้าค่ะ”