ตอนที่ 10 ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตน (2)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเฟิ่งเกอที่เอนกายอยู่บนเตียงใช้สายตาเย็นชาจ้องมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่พยายามหลบเลี่ยงซูอวี้เสียงคล้ายกำลังหลบเลี่ยงอสรพิษอย่างงูและแมงป่อง ภายในใจของนางรู้สึกสงสัยยิ่งนัก สามีของตนไปผิดใจกับน้องสาวคนนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน นางกลับยอมไปใช้ชีวิตอยู่ในชนบท เพื่อที่จะหลบเลี่ยงเขา?

แต่ก็เป็นเรื่องดี นี่ก็แสดงว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้พิศวาสสามีตนเอง คำพูดเช่นนี้ ถ้าหากท่านพ่อจะถือโทษ ตนเองก็ยังมีอะไรให้พูดโต้ตอบได้ น้องสาวของตนไม่สมยอมเอง หรือจะให้บังคับกดหัวของวัวที่ไม่อยากดื่มน้ำให้ดื่มน้ำเล่า?

หลังจากที่ออกจากเรือนของเหยาเฟิ่งเกอ เหยาเยี่ยนอวี่กลับเรือนของตนทันทีพอเข้าประตูไปก็กำชับกับชุ่ยเวยว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากจะนอนพักสักหน่อย เจ้าให้บ่าวรับใช้อยู่ห่างๆ ข้า ห้ามส่งเสียงดังรบกวนข้า”

ชุ่ยเวยรีบขานรับพร้อมกับไล่คนที่อยู่ในเรือนให้แยกย้ายกันไป ทั้งยังยกข้าวต้มมันม่วงที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้าเข้ามา แล้วโน้มน้าวเสียงเบาว่า “คุณหนูกินอะไรหน่อยค่อยนอนพักนะเจ้าคะ”

เหยาเยี่ยนอวี่คงไม่มีทางทำลายสุขภาพร่างกายของตนเองหรอก นางจึงกินข้าวต้มไปหนึ่งถ้วย และขนมข้าวโพดไปสองชิ้น หลังจากที่นางบ้วนปากเสร็จก็เอาตำราเล่มหนึ่งมาเตรียมอ่านแล้วเอนลงบนตั่งนอน วันนี้นางคิดไว้ว่าตนจะไม่ออกไปไหน เพราะนางรู้ว่า เมื่อซูอวี้เสียงเห็นว่าอาการของเหยาเฟิ่งเกอดีขึ้นจะต้องไปเรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้เหยาเฟิ่งเกอแน่นอน ในสถานการณ์เช่นนี้หมอหลวงจะต้องจ่ายยาให้นางอีกแน่ๆ ดังนั้นตนเองไม่ไปโผล่หน้าย่อมดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาตามมา

ในเมื่อซูอวี้เสียงบอกว่าจะกินอาหารที่นี่กับเหยาเฟิ่งเกอ คงจะไม่เดินออกจากที่นี่ เพียงเพราะว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยู่

พอตั้งโต๊ะอาหารเสร็จ เหยาเฟิ่งเกอยังมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ จึงไม่สามารถลงจากเตียงได้ โต๊ะเตี้ยจึงถูกตั้งไว้บนเตียงนอน สองสามีภรรยากินอาหารเช้าพร้อมกันอย่างเรียบง่าย ซูอวี้เสียงพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าเจ้าจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น และถือว่ามีความหวังที่จะหายจากโรคนี้ อีกสักครู่ข้าจะให้บ่าวไปเชิญหมอหลวงจางมาจ่ายยาให้ใหม่ จงเชื่อฟังกินยาตามที่หมอหลวงสั่ง รักษาสุขภาพให้แข็งแรงขึ้นก่อน ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้าด้วยนัยน์ตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยน้ำตา “ข้าป่วยมานานเยี่ยงนี้ ท่านพี่คงจะลำบากน่าดู”

“นี่เจ้ากำลังพูดอะไร เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เป็นสามีภรรยากันก็ถือเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ก็ต้องผ่านไปด้วยกัน” ซูอวี้เสียงกุมมือเหยาเฟิ่งเกอไว้ แล้วถอนหายใจเสียงเบาก่อนเอ่ยว่า “โรคนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้ามีเรื่องภายในใจมากเกินไป น้องสาวของเจ้ามาที่นี่แล้ว เจ้าก็มีคนคอยพูดคุยด้วย พอได้ระบายความในใจออกมา อาการของเจ้าก็จะดีขึ้นเอง”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้าอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าค่ะ เยี่ยนอวี่เป็นคนละเอียดอ่อนและเอาใจใส่ ข้าได้รับการดูแลจากนางเยี่ยงนี้ ถือว่าได้รับประโยชน์มากโข”

“อืม พวกเจ้าเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง นี่เป็นวาสนาของเจ้าและเป็นวาสนาของนางด้วย” ซูอวี้เสียงยิ้ม ทันใดนั้นเองหมือนเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว อีกเจ็ดวันข้างหน้า แม่ทัพผิงซีพร้อมกับกองกำลังจะกลับราชสำนักพร้อมชัยชนะ องค์ชายใหญ่จะเสด็จออกจากเมืองไปต้อนรับพวกเขาแทนฮ่องเต้ เหล่าบรรดาคุณชายและคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง จะแห่กันไปดูความสง่าผ่าเผยของกองกำลังทหารและอาชารบภายใต้การบังคับบัญชาของท่านแม่ทัพหัน น้องรองมาเยือนที่นี่สักระยะแล้ว นางอยู่แต่ในเรือนคงเบื่อหน่ายยิ่ง เช่นนั้นให้นางตามพวกอวี้เหิงออกไปเที่ยวเล่นหน่อย ดีหรือไม่”

ซูอวี้เหิง เป็นบุตรีของครอบครัวรองแห่งตระกูลซู และเป็นบุตรีที่อนุภรรยาเป็นผู้ให้กำเนิด ปีนี้นางอายุสิบสี่ปี เป็นสตรีที่ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เป็นผู้มากความสามารถในการเขียนอักษร และเก่งกาจในการเล่นกู่ฉิน นางจัดเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง

น้องชายของติ้งโหวซูกวงฉง ที่มีนามว่าซูกวงหลิง เมื่อหลายปีก่อนซูกวงหลิงได้รับคำสั่งให้ออกไปทำงานต่างพื้นที่ จำต้องไปอาศัยอยู่ในก่วงหนิง ทั้งครอบครัวรองจึงติดตามไปด้วย ตอนที่จะออกเดินทาง บังเอิญซูอวี้เหิงเป็นอีสุกอีใส องค์หญิงใหญ่เองก็รู้สึกสงสารและเอ็นดูหลานสาวคนนี้ จึงได้เก็บซูอวี้เหิงไว้ข้างกายตนเอง

ถึงแม้จะเป็นบุตรีจากอนุภรรยา แต่เพราะคุณหนูในตระกูลซูที่มีชื่ออักษรรุ่นที่เกิดว่า ‘อวี้’ นั้นน้อยยิ่งนัก ครอบครัวบุตรคนโตก็มีบุตรีภรรยาเอกซูอวี้เหอเพียงคนเดียว และก็ได้ออกเรือนไปแล้ว ครอบครัวรองก็มีบุตรีเพียงสองคน ซูอวี้หรงก็ติดตามซูกวงหลิงไปอยู่ก่วงหนิง และก็ได้กำหนดเรื่องงานสมรสให้กับนางที่ก่วงหนิงแล้ว ตอนออกเรือนก็จะจัดพิธีสมรสที่ก่วงหนิง ตอนนี้ในจวนก็มีเพียงซูอวี้เหิงที่อายุน้อยสุด ถึงจะเป็นบุตรีที่อนุภรรยาให้กำเนิด แต่ฐานะของนางก็ยังสูงส่งกว่าคุณหนูในตระกูลขุนนางทั่วไปอยู่แล้ว

พอซูอวี้เสียงเสนอความเห็นให้เหยาเยี่ยนอวี่กับซูอวี้เหิงออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน เหยาเฟิ่งเกอมีความคิดในใจพลิกไปมาหลายพันอย่าง จากนั้นก็คลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ท่านพี่พูดถูก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้าป่วย คงพาน้องสาวออกไปเดินเที่ยวเล่นตั้งนานแล้ว ถึงแม้ท่านพ่อจะออกไปทำงานต่างพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนเด็กนางก็ไม่เคยติดตามไปเลยสักครั้ง นี่เป็นการเข้าเมืองหลวงครั้งแรกของนาง เพียงแต่ ข้ากลัวว่านาง…”

ซูอวี้เสียงยิ้มพลางพูดแทรกเหยาเฟิ่งเกอ “มีอะไรต้องกลัวล่ะ บ่าวไพร่ในเรือนติดตามไปมากมายเช่นนั้น อีกอย่างทหารลาดตระเวนในวันนั้น พี่รองเป็นคนรับผิดชอบ แล้วยังมีเหิงเอ๋อร์อยู่เคียงข้าง ใครหน้าไหนจะกล้าแสดงกิริยาที่ไม่เคารพนาง? เจ้าก็หวาดระแวงเกินไป”

“หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านพี่ด้วยเจ้าค่ะ” เหยาเฟิ่งเกอรู้ว่าถ้าตนเองพูดอีก ก็คงจะมากความเกินไป อีกอย่างนางลุกขึ้นมานั่งนานแล้วจึงรู้สึกอ่อนเพลีย อย่างไรก็ตาม คนที่ป่วยมานานขนาดนี้ ก็คงไม่มีกะจิตใจกะใจไปคิดเรื่องพวกนี้

“เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะสั่งคนไปเชิญหมอหลวงมา” ซูอวี้เสียงพยุงเหยาเฟิ่งเกอนอนลง จากนั้นก็กำชับให้ซานหูใส่ใจดูแลนาง แล้วเขาก็ออกไป

ตอนที่เหยาเฟิ่งเกอหลับตานอนอยู่บนเตียงนอน ในใจของนางรู้สึกวุ่นวายยิ่งนัก

ซานหูและหู่พั่วเก็บกวาดเรือนนอนจนเรียบร้อย หลี่หมัวมัวก็ยกถ้วยหยกเขียวเข้ามา พอเห็นสีหน้าของเหยาเฟิ่งเกอดูแย่เล็กน้อย จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “นายหญิงรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ เช้าวันนี้ยังดูดีอยู่เลย ทำไมสีหน้ากลับดูแย่เยี่ยงนี้ นายท่านได้กล่าวอะไรกับท่านอย่างนั้นหรือ”

เหยาเฟิ่งเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ราวกับว่านางไม่ได้ยินคำพูดของหลี่หมัวมัว พูดขึ้นเสียงเบาเหมือนคุยกับตนเองว่า “เกรงว่าคุณชายสามมีใจให้กับน้องรอง”

“นายหญิงอย่าวิตกไปเลย” หลี่หมัวมัวรีบเกลี้ยกล่อม “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่คุณหนูรองไม่ได้มีใจให้กับคุณชายสาม ต่อให้มี ตอนนี้ยังเป็นช่วงไว้อาลัยของแคว้น องค์หญิงใหญ่และฮูหยินไม่มีทางปล่อยให้มีหนามอยู่ในตาแน่นอนเจ้าค่ะ ต่อให้คุณชายสามมีใจก็ไม่มีประโยชน์อันใด รอให้ผ่านตรุษจีนนี้ไป อาการของนายหญิงก็คงจะดีขึ้นมาก เมื่อเวลานั้นมาถึงคุณหนูรองก็ได้ไปอาศัยอยู่ที่ชนบทแล้ว”

“หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินกลยุทธ์ ‘หมิงซิวจ้านเต้า อ้านตู้เฉินฉาง’ ซึ่งก็คือ ‘ยุทธการซ่อนความตั้งใจจริง เบี่ยงเบนความสนใจเพื่อหลอกลวงข้าศึก แล้วลอบเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันป้องกัน’ ?” เหยาเฟิ่งเกอแสยะยิ้มขึ้น

“ไม่เป็นกรณีนี้หรอกเจ้าค่ะ ต่อให้คุณหนูรองจะไม่มีฐานะที่สูงส่ง แต่นางก็ไม่ทำเรื่องเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวโน้มน้าวด้วยความอดทน

จิตใจของเหยาเฟิ่งเกอราวกับถูกความหึงหวงครอบงำจนขาดสติไป แสยะยิ้มอย่างเลือดเย็นพร้อมพูดว่า “แล้วมันจะเป็นอย่างไรเล่า เนื่องจากข้าก็ยังไม่สิ้นใจ นางจึงเป็นได้แค่อนุภรรยาเท่านั้น จะพูดถึงสูงส่งไม่สูงส่งอีกทำไมกัน”

หลี่หมัวมัวถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แล้วหว่านล้อมว่า “นายหญิงผู้แสนดีของบ่าว ท่านลองครุ่นคิดอย่างละเอียดดู หากนางมีใจกับคุณชายสามจริงๆ เหตุใดนางถึงต้องเป็นกังวลที่จะช่วยชีวิตท่านด้วยความทุ่มเท ยิ่งไปกว่านั้น บ่าวก็ดูออก คุณหนูรองเป็นผู้มีเจตนารมณ์สูงส่ง นางไม่มีทางยอมเป็นอนุภรรยาใครแน่นอน”

เหยาเฟิ่งเกอนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ถอนหายใจอย่างรู้สึกโล่งอกพร้อมกับยิ้มเย้ยหยันตนเอง “ข้าคงจะคิดกังวลมากเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าต้องหายดีก่อนค่อยว่ากัน หากข้ายังนอนป่วยใกล้สิ้นใจอยู่เช่นนี้ ต่อให้คุณชายสามมีดวงใจเป็นร้อยดวง ก็ถูกผู้อื่นแก่งแย่งไปอยู่ดี”

“ย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวยกถ้วยยาให้เหยาเฟิ่งเกอ “นี่เป็นยาที่บ่าวต้มให้นายหญิงเองกับมือที่ครัวเล็กเจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอได้ยินดังกล่าว จึงทำได้เพียงรวบรวมแรงแล้วกินอาหารด้วยความตั้งใจ อาหารเช้าที่จัดเตรียมเมื่อครู่นี้ ได้จัดเตรียมตามความโปรดปรานของซูอวี้เสียง นางกลับไม่ได้กินอะไรเข้าไปเลยสักอย่าง

เรื่องที่คุณชายสามแห่งตระกูลซูกลับเรือนมากินอาหารเช้ากับฮูหยินน้อยสามถูกลือไปทั่วจวนโหว

ลู่ฮูหยินกินอาหารเช้าและกำลังจะบ้วนปาก ก็ได้ยินเหลียนหมัวมัวเข้ามากระซิบข้างหูเพียงไม่กี่คำ จึงได้แต่อมน้ำชาไว้ไม่ได้ถ่มออกไป สักพักหนึ่ง ก็ค่อยถ่มน้ำชาที่บ้วนปากลงในกระโถน จากนั้นค่อยๆ นำผ้ามาเช็ดมุมปาก พร้อมกับคิ้วขมวดแล้วมองเหลียนหมัวมัวเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จากนั้นเหลียนหมัวมัวจึงพยักหน้าเบาๆ อย่างรู้ความ ลู่ฮูหยินโยนผ้าเช็ดหน้าในมือไปข้างๆ พร้อมส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่เสนาะหู

เหลียนหมัวมัวเดินหน้าไปพยุงลู่ฮูหยินออกจากเรือนด้านข้าง แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในเรือนหลัก