ตอนที่ 11 ความลับที่ยากจะพูด

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“หมอหลวงจะมาเมื่อใด” ลู่ฮูหยินค่อยๆ นั่งลง เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“สั่งให้คนไปตามแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าอีกประเดี๋ยวเดียวก็จะมาแล้วเจ้าค่ะ”

“รอประเดี๋ยวหากหมอหลวงมาถึง พวกเราค่อยไปดูกันเสียหน่อย” ลู่ฮูหยินกล่าวจบ ก็ถอนหายใจด้วยความรำคาญ “อาการป่วยของฮูหยินสาม เดี๋ยวทรงเดี๋ยวทรุดจริงๆ”

เหลียนหมัวมัวที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มหน้าลง แล้วไม่กล้าพูดอะไร

ไม่นานหมอหลวงก็มาถึง ลู่ฮูหยินพาเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยไปเรือนฉีเสียงพร้อมกัน หลี่หมัวมัวรีบเดินออกมาต้อนรับพร้อมทำความเคารพอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่คงไม่อาจแกล้งโง่แล้วซ่อนตัวอยู่ด้านหลังได้

“อาการป่วยของพี่สาวเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าได้ยินมาว่าหลายวันมานี้อาการนางดีขึ้นมากแล้วหรือ” ลู่ฮูหยินเอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยสีหน้ายินดี

เหยาเยี่ยนอวี่รีบขานตอบ “เรียนฮูหยิน หลายวันมานี้พี่สาวสามารถกินข้าวต้มได้มากขึ้น ทว่ายังลุกจากเตียงไม่ได้ อีกทั้งพี่สาวยังกล่าวอีกว่าลำบากฮูหยินแล้วที่ท่านมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ทว่าตนกลับอกตัญญูที่ไม่อาจลุกขึ้นมาต้อนรับ ฮูหยินได้โปรดอย่าถือโทษเจ้าค่ะ”

ลู่ฮูหยินถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นว่า “พูดเช่นนี้ได้อย่างไร หรือเห็นว่าข้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบถึงขั้นนั้นเลยหรือ ข้าเพียงหวังว่านางจะหายป่วยในเร็ววัน แค่นี้ก็พอแล้ว จะลุกขึ้นมาต้อนรับหรือไม่จะสำคัญอย่างไร”

ขณะที่กล่าว ลู่ฮูหยินก็เดินเข้าไปในห้องโถงหลักพลางนั่งลง หลังจากที่หมอหลวงตรวจชีพจรให้กับเหยาเฟิ่งเกอแล้วก็เดินออกมาทำความเคารพลู่ฮูหยิน

เมื่อลู่ฮูหยินเห็นหมอหลวงแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ที่แท้ก็หมอหลวงหลิวนั่นเอง อาการป่วยของสะใภ้สามของข้าเป็นเช่นไร เดี๋ยวทรงเดี๋ยวทรุด ทำให้ข้ากังวลใจยิ่งนัก”

“เรียนฮูหยิน จากการตรวจดูชีพจรนั้น อาการป่วยของฮูหยินสามดีขึ้นจริงๆ”

“อ้อ?” ลู่ฮูหยินปรายตามองดูเฟิงฮูหยินน้อยด้วยความประหลาดใจ “จริงน่ะหรือ”

เฟิงฮูหยินน้อยหัวคิ้วกดลึกแล้วเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้หมอหลวงหลิวเป็นคนกล่าวเองว่าอาการของน้องสะใภ้สามไม่อาจยื้อผ่านเดือนนี้ไปได้ เหตุใดผ่านไปเพียงยี่สิบกว่าวัน ท่านกลับกล่าวว่าอาการดีขึ้นเล่า หมอหลวงหลิว ชีวิตของมนุษย์นั้นสำคัญยิ่งนัก ท่านไม่อาจปฏิบัติด้วยความไม่รอบคอบ อีกทั้งพวกเราก็ไม่ใช่ตระกูลสามัญทั่วไป ที่จะให้ท่านมาหลอกลวงได้”

หมอหลวงหลิวรีบพูดขึ้นว่า “ฮูหยินซื่อจื่อโปรดอภัยด้วย สิ่งที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ล้วนพูดไปตามชีพจรของฮูหยินน้อยสาม สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะชีพจรของฮูหยินน้อยสามแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีจึงพูด หากฮูหยินซื่อจื่อไม่เชื่อ ท่านสามารถตามหมอหลวงท่านอื่นมาจับชีพจรได้ขอรับ”

“ไม่เป็นไร พวกเราเชื่อมั่นในตัวเจ้า” ฮูหยินลู่ผายมือขึ้น “รบกวนท่านแล้ว หากท่านสามารถรักษาฮูหยินน้อยสามให้หายดี ไม่เพียงแต่ข้าที่จะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม องค์หญิงต้าจั่งเองก็จะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงามด้วยเช่นกัน”

“ขอรับ ขอบคุณฮูหยินขอรับ” หมอหลวงหลิวรีบค้อมตัวลงกล่าวขอบคุณ

ลู่ฮูหยินกวาดสายตามองเรือนนอนของเหยาเฟิ่งเกออีกคราหนึ่งโดยที่ไม่พูดสิ่งใด แต่ซุนฮูหยินน้อยกลับรีบเอ่ยชักจูงว่า “เมื่อคืนท่านแม่ได้รับความชื้นเล็กน้อย ทำให้ไอไปหลายครั้ง เวลานี้อย่าได้เข้าไปเลยเจ้าค่ะ หากท่านแม่ไม่วางใจ ให้สะใภ้เข้าไปดูนางดีหรือไม่เจ้าคะ?”

“เจ้าไปเถอะ” ลู่ฮูหยินมองดูเฟิงฮูหยินน้อยครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เจ้าเองก็ไปด้วย ไปดูสิว่าน้องสะใภ้ของเจ้ามีสิ่งใดขาดเหลือ เจ้าก็ช่วยจัดเตรียมให้นาง นางป่วยมานานคงไม่อาจทนกับการมีผู้คนเดินไปมามากมายได้ ส่วนข้าจะกลับก่อน”

เฟิงฮูหยินน้อยรีบรับคำ “เจ้าค่ะ”

หลังจากที่สะใภ้ทั้งสองและเหยาเยี่ยนอวี่น้อมส่งลู่ฮูหยินออกไปแล้ว เฟิงฮูหยินน้อยจึงหันหลังกลับมา นางยกยิ้มให้กับเหยาเยี่ยนอวี่แล้วเอ่ยถาม “น้องสาวอยู่ในจวนคุ้นชินหรือไม่ มาถึงที่นี่ก็หลายวันแล้ว แต่เจ้าเอาแต่อุดอู้อยู่ในเรือน เหตุใดจึงไม่ไปเดินเล่นในเรือนของพวกเราเสียหน่อย”

เหยาเยี่ยนอวี่คิดว่าสถานะของตนในจวนโหวนั้นน่ากระอักกระอ่วนใจ จึงไม่ควรทำตัวให้เป็นที่น่าสนใจ ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่มาถึงจวนโหว นางจึงไม่ไปเยี่ยมเยียนที่เรือนของเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อย ทำเพียงสั่งแม่นมเฝิงหมัวมัวนำผ้าไหมปักลายที่นางนำมาจากตระกูลของตนไปให้คนทั้งสองเพื่อเป็นสินน้ำใจ

เวลานี้เมื่อถูกเฟิงฮูหยินน้อยเอ่ยถามเช่นนี้ แม้จะรู้ดีว่าเป็นเพียงการหยอกเหย้า ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับตอบอย่างจริงจังว่า “ฮูหยินซื่อจื่อและฮูหยินรองโปรดอภัย เหตุเพราะเยี่ยนอวี่โง่เขลาในวาจา อีกทั้งคิดว่าฮูหยินซื่อจื่อเองก็คงมีงานในเรือนมากมาย ทางด้านฮูหยินรองเองก็ต้องคอยดูแลปรนนิบัตินายหญิง พี่สาวของข้าล้มป่วย ทำให้ไม่อาจช่วยทั้งสองท่านแบ่งเบาได้ เยี่ยนอวี่จึงไม่ควรเข้าไปสร้างความวุ่นวายให้กับท่านทั้งสอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าไปรบกวนเจ้าค่ะ”

“มองดูปากเล็กๆ ช่างจำนรรจาของเจ้าสิ” ซุนฮูหยินน้อยยกยิ้มพลางจับข้อมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ จากนั้นพูดกับเฟิงฮูหยินน้อยว่า “นางช่างพูดเช่นนี้ยังจะว่าตนโง่เขลาในวาจาอีก เช่นนั้นข้าคงจะกลายเป็นน้ำเต้าที่ไม่มีปากเสียแล้วกระมัง”

เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงก้มหน้าแล้วแย้มยิ้ม เฟิงฮูหยินน้อยหัวเราะพลางพูดขึ้น “น้องสาวค่อนข้างขี้เกรงใจอยู่แล้ว อีกทั้งนางยังไม่คุ้นเคยกับพวกเรา เมื่อเจ้าพูดหยอกนางเช่นนี้ ทำให้นางไม่กล้าพูดอะไรอีกเสียแล้ว”

ทั้งสามพูดคุยพลางเดินเข้าไปในเรือนนอนของเหยาเฟิ่งเก่อ เหยาเฟิ่งเกอนอนห่มผ้าห่มซ้อนกันหลายชั้น หลับตาพักผ่อนอยู่ หู่พั่วที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงเมื่อเห็นพวกนางเดินเข้ามา จึงรีบลุกขึ้นแล้วทำความเคารพ “ฮูหยินซื่อจื่อ ฮูหยินรองเจ้าคะ”

เหยาเฟิ่งเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อย พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น นางยื่นมือไปจับแขนของหู่พั่ว พลางยกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้มซีดเซียว “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง…”

“เฮ้อ เจ้ายังคิดจะลุกขึ้นมาทำความเคารพพวกเราอีกหรือ รีบนอนลงก่อนเถอะ” ซุนฮูหยินน้อยเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อปรามไม่ให้เหยาเฟิ่งเกอลุกขึ้นจากเตียง

เฟิงฮูหยินน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ที่สาวใช้ยกมาให้ แล้วพูดขึ้น “เจ้าอย่าขยับตัวนักเลย จะเวียนหัวได้ พวกเราเองก็เป็นห่วงเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเข้ามาเยี่ยมดูเจ้า”

แน่นอนว่าเหยาเฟิ่งเกอต้องเอ่ยพูดด้วยความเกรงใจ แล้วสั่งให้สาวใช้ยกชาเข้ามาใหม่ สะใภ้ทั้งสามพูดคุยอย่างสนิทสนม ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดนอกเหนือไปจากให้สุขภาพร่างกายของเหยาเฟิ่งเกอดีขึ้น และอย่าคิดมากจนเกินไป การล้มป่วยนั้นช่างรวดเร็วแต่กว่าจะหายนั้นเนิ่นนาน โชคดีที่ได้คุณหนูรอง เมื่อมีนางคอยดูแล อาการป่วยของเจ้าย่อมดีวันดีคืน

เหยาเยี่ยนอวี่ยืนมองอยู่ข้างๆ เหตุใดเมื่อมองดูสะใภ้ทั้งสามที่รักใคร่กลมเกลียวกันดุจพี่น้องและดูไม่มีความขัดแย้งใดๆ แม้แต่น้อยแล้ว นางกลับอดไม่ได้ที่จะสงสัยในใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้ทั้งสามในเรือนหลังจวนติ่งโหวนี้รักใคร่กลมเกลียวกันจริงๆ หรือว่าแสร้งทำทีปรองดองกันเท่านั้น?

หลังจากที่ลู่ฮูหยินเดินออกมาจากเรือนฉีเสียงก็ไม่ได้รีบกลับไปที่เรือนของตน ทว่ากลับไปเดินเล่นในสวนด้านหลังเพื่อผ่อนคลายจิตใจ เหลียนหมัวมัวเดินอยู่ข้างกายนาง สาวใช้อีกหลายคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังพลางถือหมอนอิง ผ้าคลุม แส้ปัดแมลงและสิ่งของอย่างอื่น พวกนางก้าวเดินด้วยความพร้อมเพรียง และคอยเดินตามในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล

“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มีสิ่งใดผิดแปลก” ลู่ฮูหยินนั่งลงบนศาลาริมน้ำ มองดูปลาที่แหวกว่ายระหว่างใบบัว

เหลียนหมัวมัวนำอาหารปลาที่ถืออยู่ในมือออกมา จากนั้นพูดขึ้นเสียงเบาว่า “บ่าวเองก็บอกไม่ถูกเจ้าค่ะ หากจะกล่าวว่ามีสิ่งใด เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะคุณหนูรองผู้นั้น เพียงแต่นางที่เป็นเพียงเด็กสาว จะมีวิชาสวรรค์หรือเจ้าคะ?”

“สั่งให้คนไปลอบสืบดู ดูสิว่าตอนที่นางอยู่ในเรือนที่บ้านเดิมของตนนั้นมีสิ่งใดผิดแปลก”

“เจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวรับคำ จากนั้นพูดกับลู่ฮูหยิน “แต่เรื่องของฮูหยินน้อยสาม…”

ลู่ฮูหยินยิ้มเย็น “ในใจของนางย่อมรู้ดี วันนั้นเมื่อข้าบังเอิญไปเจอเข้า นางควรจะรู้ตัวสำนึกผิดกลับตัวกลับใจ ยิ่งไปกว่านั้น นางจะรอดผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่ก็ยากที่จะพูด เวลานี้เพียงแค่อาการดีขึ้นเท่านั้น พรุ่งนี้ค่อยสั่งให้หมอหลวงจางมาจับดูชีพจรให้นางอีกที”

เหลียนหมัวมัวขานรับ แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “เช่นนั้น…ธูปหอมกล่อมประสาทล่ะเจ้าคะ?”

ลู่ฮูหยินโบกมือพลาง กล่าวอย่างรำคาญใจ “ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีก หากดึงดันให้นางใช้ จะทำให้นางสงสัยอย่างแน่นอน ว่าไปแล้วข้ายังคงรู้สึกว่าคุณหนูรองมีบางสิ่งผิดแปลก มาไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่นางกลับช่วยชีวิตผู้ที่ป่วยหนักเจียนตายไว้ได้?”