บทที่ 1 ดักปล้นกลางทาง (1)
เช้าตรู่วันหนึ่ง เสียงกีบม้าเดินกุบกับดังขึ้นมาให้ได้ยินเรื่อย ๆ ขณะที่รถม้าหลังหนึ่งกำลังเคลื่อนไปตามทางอย่างไม่รีบร้อน
ผู้ขับรถม้าคือชายหนุ่มเผ่าหินผารูปร่างกำยำ ร่างสูงใหญ่ของเขามองแล้วคล้ายกับจะเป็นภูเขาลูกเล็ก ส่งผลให้รถม้าทั้งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดส่งเสียงร้องครวญกับน้ำหนักมหาศาลของเขา
ด้านข้างชายหนุ่มเผ่าหินผาร่างกำยำคือชายชราร่างเล็กที่ชี้หนทางข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ชาวบ้านอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ไม่ว่าไปทางไหนก็ถึงที่หมายได้ทั้งนั้น ไปทางซ้ายระยะทางจะสั้นกว่าทางขวา 60 ลี้ แต่ข้าแนะนำให้ไปทางขวา”
“เพราเหตุใด ?” ชายหนุ่มร่างกำยำเผ่าหินผาถามเสียงอู้อี้ในลำคอ
“ก็เพราะทางซ้ายมีกองโจรซุ่มอยู่ตามทางมากกว่าอย่างไรเล่า ทางซ้ายเป็นทางผ่านป่า มีพวกกองโจรเต็มไปหมด ไปทางนั้นอันตรายมาก” ชายชราตอบกลับ
“กองโจร ?” กังเหยียนหรี่ตาลงเล็กน้อย
เขาหันหลังไป “นายท่าน เขาบอกว่าทางซ้ายมีกองโจรเยอะกว่า”
“งั้นหรือ ? เช่นนั้นก็ไปทางซ้าย” น้ำเสียงเรียบเรื่อยลอยออกมาจากภายในรถม้า
“ย่าห์ !” รถม้าเปลี่ยนทิศทาง หันไปเดินทางซ้ายแทน
“เฮ้ย! เจ้า…… ทำอะไรของเจ้า ?” ชายชราเห็นดังนั้นก็เริ่มกระวนกระวายใจ ร่างทั้งร่างแข็งค้างไป
ผ่านม่านภายในรถม้าพลันเปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผิวนางค่อนข้างมีสีเข้มแต่ก็มีใบหน้าเย้ายวน นางหัวเราะมองชายชรา “ท่านปู่ ท่านจะกังวลไปเพื่ออะไรกัน ? คุณชายซูมีความสามารถมาก มีเขาแล้วเราก็ไม่ต้องกังวลอะไร อีกทั้งท่านลุงกังเหยียนคนเดียวก็ล้มพวกโจร 10 คนได้แล้วกระมัง”
กังเหยียนหน้ากระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินแม่นางน้อยเรียกเขาว่าลุง เขาอายุอานามพอ ๆ กับซูเฉิน แต่เพราะดูแก่กว่า อีกฝ่ายจึงเรียกนายท่านว่าคุณชาย แต่กลับเรียกเขาว่าท่านลุง
ชายชราร้องขึ้น “เจ้าจะไปรู้อะไรยัยหนู ! ข้ารู้ว่าคุณชายซูกับน้องกังเหยียนมีฝีมือ แต่ในใต้หล้านี้ขาดคนมีฝีมือคนอื่นอยู่หรือไร ? กระทั่งในหมู่กองโจรยังมีคนมีฝีมือ ! เป็นไปได้ก็อย่าล่วงเกินพวกเขาดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อนเถอะ !”
“เช่นนั้นท่านก็ควรบอกกับคุณชายซู ไม่ใช่ข้า” หญิงสาวกลอกตาใส่อีกฝ่ายแล้วดึงม่านลง
ชายชราเริ่มใจไม่อยู่ไม่สุขอีกครา “นี่ยัยหนู เจ้าจะไปเอาน้ำไม่ใช่หรือ ? ยังจะขี้เกียจอยู่ข้างในไม่ออกมาอีก ? รีบออกมาเสีย เจ้านั่งอยู่ด้านในได้งั้นหรือ ?”
หญิงสาวตะโกนออกมาจากด้านใน “ข้าไม่ออก ! ข้าอยู่ข้างนอกแล้วจะรับใช้คุณชายซูได้อย่างไร ? อีกทั้งข้างนอกมีที่อยู่เท่านั้น ทั้งท่านทั้งลุงกังนั่งไปก็แทบไม่เหลือแล้ว จะปล่อยให้พื้นที่ด้านในว่างเสียเปล่าหรือ ? อย่างไรคุณชายซูก็อนุญาตให้ข้านั่งในนี้แล้วด้วย”
“เจ้า…… เจ้า…… เจ้า…… บัดซบ ข้าไม่น่าพาเจ้ามาด้วยเลย !” ผู้อาวุโสเหอเอ่ยเสียงกลุ้ม แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ผู้อาวุโสเหอเป็นคนนำทางมีประสบการณ์ ภายในมณฑลโดยรอบนี้ไม่มีถนนเส้นใดที่เขาไม่รู้จัก
หลานสาวของเขาชื่อว่าเหอเสี่ยวฉาน เป็นชื่อที่ได้บัณฑิตที่ผ่านทางมาเมื่อหลายปีก่อนตั้งให้ ปกตินางจะเดินทางกับผู้อาวุโสเหออยู่ตลอด ผู้อาวุโสเหอเป็นคนคอยนำทาง ส่วนเหอเสี่ยวฉานมีหน้าที่รับใช้แขก ดังนั้นจะได้หาเงินได้มากอีกสักนิด
ปกติแล้วหลานสาวของเขาจะทาหน้าตนให้ดูสกปรกสักหน่อยก่อนมารับใช้แขกเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง
หากแต่ครั้งนี้นางไม่เพียงไม่ทำเช่นนั้น แต่กลับสวมชุดลายดอกไม้ตัวโปรดของนางอีก ตอนนี้ยังนั่งเกียจคร้านอยู่ภายในรถม้าของแขกไม่ออกมา
ผู้อาวุโสเหอรู้ดีว่าหลานสาวตนคงจะชื่นชอบคุณชายรูปงามที่อยู่ด้านในเป็นแน่แท้
แต่เขาเป็นคนที่เจ้าชอบได้หรือ ?
ผู้อาวุโสเหอถอนหายใจอยู่ในใจ แต่ก็เอ่ยอันใดออกมาไม่ได้
เขาเป็นชายชราที่ผ่านอะไรมามาก สายตายังเฉียบคมนัก แม้จะไม่อาจประเมินได้ว่าคุณชายซูแข็งแกร่งมาปเพียงไหน แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่าคุณชายซูไม่ใช่คนใจดำนัก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หลานสาวของตนนั่งอยู่ภายในได้ แต่ความคิดของนางก็คงเป็นไปได้เพียงความคิดเพ้อฝันเท่านั้น
ให้นางเจอเรื่องแบบนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ผู้อาวุโสเหอคิดในใจ
ภายในรถม้า เหอเสี่ยวฉานยกสองมือขึ้นเท้าคางแล้วมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามกันกับนางนิ่ง
ซูเฉินนั่งพิงผนังรถม้า กำลังอ่านตำราอย่างตั้งใจ
“คุณชายซู” เหอเสี่ยวฉานพลันเอ่ยขึ้น
“หืม ?” ซูเฉินตอบทั้งที่ไม่เงยหน้ามอง
“ท่านชอบอ่านตำราหรือ ?”
“อืม”
“เป็นตำราเกี่ยวกับอะไร ?”
“ตำราข้อมูลเกี่ยวกับมณฑลอีกาดำและเรื่องราวในแถบนั้นน่ะ”
“ที่นั่นมีอะไรบ้างหรือ ?” เหอเสี่ยวฉานยังพยายามชวนคุย
ซูเฉินถอนหายใจแล้วปิดตำราลง “ในมณฑลอีกาดำ มีทั้งหมด 16 อำเภอ แบ่งโดยแม่น้ำสายใหญ่ 3 สายและแนวเขาใหญ่ 4 แนว แม่น้ำทั้งหลายมีเส้นทางคดเคี้ยว ส่วนแนวเขาก็สูงชันนัก ทำให้ที่นี่เป็นมณฑลที่มีภูมิประเทศซับซ้อนที่สุดในหลงซาง และเพราะถนนหนทางที่นี่ไม่ค่อยจะดีนัก ความรกร้าง รวมทั้งความห่างไกลจากพระราชวังหลวง ผืนดินโดยรอบจึงถูกเหล่าคนมีเงินจับจองไปแล้ว เมืองที่แย่หน่อยคือ เมืองธารน้ำใส ซูหย่วน ธารน้ำทมิฬ และปาซาน อำนาจทางการในเมืองเหล่านี้มีต่ำมาก อีกทั้งยังมีเขตแดนกว้างไกล ส่งผลให้เกิดเรื่องบาดหมางกันอยู่เนือง ๆ พวกกองโจรมาตั้งรกราก รังควาญชาวบ้านในแถบนี้มาหลายปี”
ข้อมูลทั้งหลายถูกกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว เหอเสี่ยวฉานได้แต่ชะงักไป “ข้า…… ฟังไม่เข้าใจว่าท่านพูดสิ่งใด”
“หากไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องถามให้มากความนัก” ซูเฉินเอ่ยตามตรง
จากนั้นก็หยิบตำราขึ้นมาเปิดอ่านใหม่
เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากภายนอกรถม้า
น้ำเสียงหยาบคายตะโกนขึ้น “หากรู้ว่าควรไม่ควรก็ส่งเงินมา……”
ซูเฉินได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้น
ผ้าม่านรถม้าถูกเลิกขึ้น ผู้อาวุโสเหอยื่นหน้าเข้ามา บนใบหน้าระบายไปด้วยความหวาดกลัว “คุณชายซู เป็นพวกกองโจร”
ตามมาด้วยกังเหยียนที่เบียดหัวใหญ่ ๆ ของเขาเข้ามาเช่นกัน “นายท่าน พวกมันมีกัน 12 คน”
เขาอยู่กับซูเฉินมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจนิสัยซูเฉินดี ยามพูดคุยก็เอ่ยตรงจุดเสมอ
“12 คนเองหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจอยู่บ้าง
“คงจะเป็นแมลงตัวจ้อยเท่านั้น ไม่มีกระทั่งผู้บ่มเพาะพลังด่านก่อเกิดลมปราณสักคนเดียว”
“โอ้” ซูเฉินผิดหวังอยู่เล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ลองให้เงินมันไปแล้วดูว่ามันจะเลิกยุ่งกับเราหรือไม่”
“รับทราบ” กังเหยียนเข้าใจความคิดของซูเฉินและดำเนินตามคำสั่งทันที
ไม่นานเสียงแหบห้าวก็ตะโกนขึ้นอีก
ซูเฉินมองภาพโจรผู้หนึ่งตวัดดาบในมือไปนานแล้วตะโกนขึ้นผ่านรอยแยกผ้าม่านจากด้านใน “บัดซบ พวกเจ้ามีจ่ายเท่านี้เองเรอะ ? ส่งของมาให้หมด !”
กังเหยียนตอบเสียงเข้ม “หากข้าไม่ให้เล่า ?”
“เช่นนั้นก็ตายเสีย !” โจรนั่นร้องตะโกนขึ้น
กังเหยียนส่ายหัวตน “ถึงเจ้าฆ่าข้า ข้าก็ไม่ให้เงินเจ้า”
โจรผู้นั้นเงยหน้ามองร่างยักษ์ของกังเหยียน
เดิมทีตอนมันเห็นกังเหยียนใจก็เริ่มเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ด้วยกังเหยียนนั้นตัวใหญ่มาก แต่เมื่อเห็นว่าตนเองได้เปรียบเรื่องจำนวนคน อีกทั้งยังมีคนอยู่ด่านหลอมกายา ดังนั้นจึงพยายามทำใจกล้าแล้วสั่งให้พวกตนบุกทันที
ยิ่งเมื่อเห็นกังเหยียนมอบเงินให้ มันก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้น ดูท่าอีกฝ่ายจะร่างใหญ่กำยำแต่กลับขี้ขลาด
หากจะเอาชีวิตรอดอยู่ในถนนสายนี้ย่อมต้องมีความกล้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีเพียงกำลังอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
ยิ่งคิดมันก็ยิ่งหวาดกลัวกังเหยียนน้อยลงเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นว่ากังเหยียนไม่ยอมมอบเงินมาแต่โดยดีจึงเผยใบหน้าบิดเบี้ยวออกมา คิดว่าตอนแรกอีกฝ่ายยอมมอบเงินให้ ด้านในคงจะมีสมบัติมากมายกว่านี้เป็นแน่ หากแต่คนตรงหน้ามันตัวใหญ่ยักษ์นัก หากถูกต้อนให้จนมุมก็คงสู้สุดกำลัง ดังนั้นสังหารคนร่างยักษ์ผู้นี้ก่อนคงจะดีกว่า จากนั้นค่อยจัดการชายชรากับคนในรถม้า เช่นนั้นเรื่องราวจะง่ายขึ้นอีกมาก
ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดเพียงชั่งครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจแล้วเอ่ยเสียงทะมึนออกมา “เช่นนั้นก็ตายเสียให้หมด !”
แล้วก็เสือกดาบมาทางอกกังเหยียน
“กรี๊ด !
เมื่อดาบพุ่งเข้ามา เหอเสี่ยวฉานก็ร้องเสียงหลง แต่กลับได้ยินเสียงดัง ‘เคร้ง’ คล้ายเสียงเหล็กปะทะกันขึ้น
สะเก็ดแสงกระจายไปรอบทิศ ดาบคุณภาพต่ำหักเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งร่วงลงพื้นไปส่องล้แสงตะวันเล่น
ทุกคนชะงักไป
ดาบหักได้อย่างไรกัน ?
กองโจรราวสิบคนชะงักไป ผู้อาวุโสเหอก็เช่นกัน
กังเหยียนไม่เหลือบมองพวกมันด้วยซ้ำ เขาหันมาพูดกับคนในรถม้า “นายท่าน ดาบเมื่อครู่เล็งที่หัวใจหมายปลิดชีวิตข้า”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ดีว่าต้องทำสิ่งใด” น้ำเสียงสงบไม่รีบร้อนของซูเฉินดังออกมา
“เข้าใจแล้วนายท่าน” กังเหยียนหันกลับไปหัวเราะเบา ๆ เสียงเย็นให้พวกกองโจร บิดคอเสียงดังกร๊อบแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาข้าบ้าง”