ภาคที่ 3 บทที่ 1 ดักปล้นกลางทาง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 1 ดักปล้นกลางทาง (1)

เช้าตรู่วันหนึ่ง เสียงกีบม้าเดินกุบกับดังขึ้นมาให้ได้ยินเรื่อย ๆ ขณะที่รถม้าหลังหนึ่งกำลังเคลื่อนไปตามทางอย่างไม่รีบร้อน

ผู้ขับรถม้าคือชายหนุ่มเผ่าหินผารูปร่างกำยำ ร่างสูงใหญ่ของเขามองแล้วคล้ายกับจะเป็นภูเขาลูกเล็ก ส่งผลให้รถม้าทั้งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดส่งเสียงร้องครวญกับน้ำหนักมหาศาลของเขา

ด้านข้างชายหนุ่มเผ่าหินผาร่างกำยำคือชายชราร่างเล็กที่ชี้หนทางข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ชาวบ้านอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ไม่ว่าไปทางไหนก็ถึงที่หมายได้ทั้งนั้น ไปทางซ้ายระยะทางจะสั้นกว่าทางขวา 60 ลี้ แต่ข้าแนะนำให้ไปทางขวา”

“เพราเหตุใด ?” ชายหนุ่มร่างกำยำเผ่าหินผาถามเสียงอู้อี้ในลำคอ

“ก็เพราะทางซ้ายมีกองโจรซุ่มอยู่ตามทางมากกว่าอย่างไรเล่า ทางซ้ายเป็นทางผ่านป่า มีพวกกองโจรเต็มไปหมด ไปทางนั้นอันตรายมาก” ชายชราตอบกลับ

“กองโจร ?” กังเหยียนหรี่ตาลงเล็กน้อย

เขาหันหลังไป “นายท่าน เขาบอกว่าทางซ้ายมีกองโจรเยอะกว่า”

“งั้นหรือ ? เช่นนั้นก็ไปทางซ้าย” น้ำเสียงเรียบเรื่อยลอยออกมาจากภายในรถม้า

“ย่าห์ !” รถม้าเปลี่ยนทิศทาง หันไปเดินทางซ้ายแทน

“เฮ้ย! เจ้า…… ทำอะไรของเจ้า ?” ชายชราเห็นดังนั้นก็เริ่มกระวนกระวายใจ ร่างทั้งร่างแข็งค้างไป

ผ่านม่านภายในรถม้าพลันเปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผิวนางค่อนข้างมีสีเข้มแต่ก็มีใบหน้าเย้ายวน นางหัวเราะมองชายชรา “ท่านปู่ ท่านจะกังวลไปเพื่ออะไรกัน ? คุณชายซูมีความสามารถมาก มีเขาแล้วเราก็ไม่ต้องกังวลอะไร อีกทั้งท่านลุงกังเหยียนคนเดียวก็ล้มพวกโจร 10 คนได้แล้วกระมัง”

กังเหยียนหน้ากระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินแม่นางน้อยเรียกเขาว่าลุง เขาอายุอานามพอ ๆ กับซูเฉิน แต่เพราะดูแก่กว่า อีกฝ่ายจึงเรียกนายท่านว่าคุณชาย แต่กลับเรียกเขาว่าท่านลุง

ชายชราร้องขึ้น “เจ้าจะไปรู้อะไรยัยหนู ! ข้ารู้ว่าคุณชายซูกับน้องกังเหยียนมีฝีมือ แต่ในใต้หล้านี้ขาดคนมีฝีมือคนอื่นอยู่หรือไร ? กระทั่งในหมู่กองโจรยังมีคนมีฝีมือ ! เป็นไปได้ก็อย่าล่วงเกินพวกเขาดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อนเถอะ !”

“เช่นนั้นท่านก็ควรบอกกับคุณชายซู ไม่ใช่ข้า” หญิงสาวกลอกตาใส่อีกฝ่ายแล้วดึงม่านลง

ชายชราเริ่มใจไม่อยู่ไม่สุขอีกครา “นี่ยัยหนู เจ้าจะไปเอาน้ำไม่ใช่หรือ ? ยังจะขี้เกียจอยู่ข้างในไม่ออกมาอีก ? รีบออกมาเสีย เจ้านั่งอยู่ด้านในได้งั้นหรือ ?”

หญิงสาวตะโกนออกมาจากด้านใน “ข้าไม่ออก ! ข้าอยู่ข้างนอกแล้วจะรับใช้คุณชายซูได้อย่างไร ? อีกทั้งข้างนอกมีที่อยู่เท่านั้น ทั้งท่านทั้งลุงกังนั่งไปก็แทบไม่เหลือแล้ว จะปล่อยให้พื้นที่ด้านในว่างเสียเปล่าหรือ ? อย่างไรคุณชายซูก็อนุญาตให้ข้านั่งในนี้แล้วด้วย”

“เจ้า…… เจ้า…… เจ้า…… บัดซบ ข้าไม่น่าพาเจ้ามาด้วยเลย !” ผู้อาวุโสเหอเอ่ยเสียงกลุ้ม แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ผู้อาวุโสเหอเป็นคนนำทางมีประสบการณ์ ภายในมณฑลโดยรอบนี้ไม่มีถนนเส้นใดที่เขาไม่รู้จัก

หลานสาวของเขาชื่อว่าเหอเสี่ยวฉาน เป็นชื่อที่ได้บัณฑิตที่ผ่านทางมาเมื่อหลายปีก่อนตั้งให้ ปกตินางจะเดินทางกับผู้อาวุโสเหออยู่ตลอด ผู้อาวุโสเหอเป็นคนคอยนำทาง ส่วนเหอเสี่ยวฉานมีหน้าที่รับใช้แขก ดังนั้นจะได้หาเงินได้มากอีกสักนิด

ปกติแล้วหลานสาวของเขาจะทาหน้าตนให้ดูสกปรกสักหน่อยก่อนมารับใช้แขกเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง

หากแต่ครั้งนี้นางไม่เพียงไม่ทำเช่นนั้น แต่กลับสวมชุดลายดอกไม้ตัวโปรดของนางอีก ตอนนี้ยังนั่งเกียจคร้านอยู่ภายในรถม้าของแขกไม่ออกมา

ผู้อาวุโสเหอรู้ดีว่าหลานสาวตนคงจะชื่นชอบคุณชายรูปงามที่อยู่ด้านในเป็นแน่แท้

แต่เขาเป็นคนที่เจ้าชอบได้หรือ ?

ผู้อาวุโสเหอถอนหายใจอยู่ในใจ แต่ก็เอ่ยอันใดออกมาไม่ได้

เขาเป็นชายชราที่ผ่านอะไรมามาก สายตายังเฉียบคมนัก แม้จะไม่อาจประเมินได้ว่าคุณชายซูแข็งแกร่งมาปเพียงไหน แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่าคุณชายซูไม่ใช่คนใจดำนัก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หลานสาวของตนนั่งอยู่ภายในได้ แต่ความคิดของนางก็คงเป็นไปได้เพียงความคิดเพ้อฝันเท่านั้น

ให้นางเจอเรื่องแบบนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ผู้อาวุโสเหอคิดในใจ

ภายในรถม้า เหอเสี่ยวฉานยกสองมือขึ้นเท้าคางแล้วมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามกันกับนางนิ่ง

ซูเฉินนั่งพิงผนังรถม้า กำลังอ่านตำราอย่างตั้งใจ

“คุณชายซู” เหอเสี่ยวฉานพลันเอ่ยขึ้น

“หืม ?” ซูเฉินตอบทั้งที่ไม่เงยหน้ามอง

“ท่านชอบอ่านตำราหรือ ?”

“อืม”

“เป็นตำราเกี่ยวกับอะไร ?”

“ตำราข้อมูลเกี่ยวกับมณฑลอีกาดำและเรื่องราวในแถบนั้นน่ะ”

“ที่นั่นมีอะไรบ้างหรือ ?” เหอเสี่ยวฉานยังพยายามชวนคุย

ซูเฉินถอนหายใจแล้วปิดตำราลง “ในมณฑลอีกาดำ มีทั้งหมด 16 อำเภอ แบ่งโดยแม่น้ำสายใหญ่ 3 สายและแนวเขาใหญ่ 4 แนว แม่น้ำทั้งหลายมีเส้นทางคดเคี้ยว ส่วนแนวเขาก็สูงชันนัก ทำให้ที่นี่เป็นมณฑลที่มีภูมิประเทศซับซ้อนที่สุดในหลงซาง และเพราะถนนหนทางที่นี่ไม่ค่อยจะดีนัก ความรกร้าง รวมทั้งความห่างไกลจากพระราชวังหลวง ผืนดินโดยรอบจึงถูกเหล่าคนมีเงินจับจองไปแล้ว เมืองที่แย่หน่อยคือ เมืองธารน้ำใส ซูหย่วน ธารน้ำทมิฬ และปาซาน อำนาจทางการในเมืองเหล่านี้มีต่ำมาก อีกทั้งยังมีเขตแดนกว้างไกล ส่งผลให้เกิดเรื่องบาดหมางกันอยู่เนือง ๆ พวกกองโจรมาตั้งรกราก รังควาญชาวบ้านในแถบนี้มาหลายปี”

ข้อมูลทั้งหลายถูกกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว เหอเสี่ยวฉานได้แต่ชะงักไป “ข้า…… ฟังไม่เข้าใจว่าท่านพูดสิ่งใด”

“หากไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องถามให้มากความนัก” ซูเฉินเอ่ยตามตรง

จากนั้นก็หยิบตำราขึ้นมาเปิดอ่านใหม่

เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากภายนอกรถม้า

น้ำเสียงหยาบคายตะโกนขึ้น “หากรู้ว่าควรไม่ควรก็ส่งเงินมา……”

ซูเฉินได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้น

ผ้าม่านรถม้าถูกเลิกขึ้น ผู้อาวุโสเหอยื่นหน้าเข้ามา บนใบหน้าระบายไปด้วยความหวาดกลัว “คุณชายซู เป็นพวกกองโจร”

ตามมาด้วยกังเหยียนที่เบียดหัวใหญ่ ๆ ของเขาเข้ามาเช่นกัน “นายท่าน พวกมันมีกัน 12 คน”

เขาอยู่กับซูเฉินมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจนิสัยซูเฉินดี ยามพูดคุยก็เอ่ยตรงจุดเสมอ

“12 คนเองหรือ ?” ซูเฉินประหลาดใจอยู่บ้าง

“คงจะเป็นแมลงตัวจ้อยเท่านั้น ไม่มีกระทั่งผู้บ่มเพาะพลังด่านก่อเกิดลมปราณสักคนเดียว”

“โอ้” ซูเฉินผิดหวังอยู่เล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ลองให้เงินมันไปแล้วดูว่ามันจะเลิกยุ่งกับเราหรือไม่”

“รับทราบ” กังเหยียนเข้าใจความคิดของซูเฉินและดำเนินตามคำสั่งทันที

ไม่นานเสียงแหบห้าวก็ตะโกนขึ้นอีก

ซูเฉินมองภาพโจรผู้หนึ่งตวัดดาบในมือไปนานแล้วตะโกนขึ้นผ่านรอยแยกผ้าม่านจากด้านใน “บัดซบ พวกเจ้ามีจ่ายเท่านี้เองเรอะ ? ส่งของมาให้หมด !”

กังเหยียนตอบเสียงเข้ม “หากข้าไม่ให้เล่า ?”

“เช่นนั้นก็ตายเสีย !” โจรนั่นร้องตะโกนขึ้น

กังเหยียนส่ายหัวตน “ถึงเจ้าฆ่าข้า ข้าก็ไม่ให้เงินเจ้า”

โจรผู้นั้นเงยหน้ามองร่างยักษ์ของกังเหยียน

เดิมทีตอนมันเห็นกังเหยียนใจก็เริ่มเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ด้วยกังเหยียนนั้นตัวใหญ่มาก แต่เมื่อเห็นว่าตนเองได้เปรียบเรื่องจำนวนคน อีกทั้งยังมีคนอยู่ด่านหลอมกายา ดังนั้นจึงพยายามทำใจกล้าแล้วสั่งให้พวกตนบุกทันที

ยิ่งเมื่อเห็นกังเหยียนมอบเงินให้ มันก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้น ดูท่าอีกฝ่ายจะร่างใหญ่กำยำแต่กลับขี้ขลาด

หากจะเอาชีวิตรอดอยู่ในถนนสายนี้ย่อมต้องมีความกล้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีเพียงกำลังอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ

ยิ่งคิดมันก็ยิ่งหวาดกลัวกังเหยียนน้อยลงเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นว่ากังเหยียนไม่ยอมมอบเงินมาแต่โดยดีจึงเผยใบหน้าบิดเบี้ยวออกมา คิดว่าตอนแรกอีกฝ่ายยอมมอบเงินให้ ด้านในคงจะมีสมบัติมากมายกว่านี้เป็นแน่ หากแต่คนตรงหน้ามันตัวใหญ่ยักษ์นัก หากถูกต้อนให้จนมุมก็คงสู้สุดกำลัง ดังนั้นสังหารคนร่างยักษ์ผู้นี้ก่อนคงจะดีกว่า จากนั้นค่อยจัดการชายชรากับคนในรถม้า เช่นนั้นเรื่องราวจะง่ายขึ้นอีกมาก

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดเพียงชั่งครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจแล้วเอ่ยเสียงทะมึนออกมา “เช่นนั้นก็ตายเสียให้หมด !”

แล้วก็เสือกดาบมาทางอกกังเหยียน

“กรี๊ด !

เมื่อดาบพุ่งเข้ามา เหอเสี่ยวฉานก็ร้องเสียงหลง แต่กลับได้ยินเสียงดัง ‘เคร้ง’ คล้ายเสียงเหล็กปะทะกันขึ้น

สะเก็ดแสงกระจายไปรอบทิศ ดาบคุณภาพต่ำหักเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งร่วงลงพื้นไปส่องล้แสงตะวันเล่น

ทุกคนชะงักไป

ดาบหักได้อย่างไรกัน ?

กองโจรราวสิบคนชะงักไป ผู้อาวุโสเหอก็เช่นกัน

กังเหยียนไม่เหลือบมองพวกมันด้วยซ้ำ เขาหันมาพูดกับคนในรถม้า “นายท่าน ดาบเมื่อครู่เล็งที่หัวใจหมายปลิดชีวิตข้า”

“เช่นนั้นเจ้ารู้ดีว่าต้องทำสิ่งใด” น้ำเสียงสงบไม่รีบร้อนของซูเฉินดังออกมา

“เข้าใจแล้วนายท่าน” กังเหยียนหันกลับไปหัวเราะเบา ๆ เสียงเย็นให้พวกกองโจร บิดคอเสียงดังกร๊อบแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาข้าบ้าง”