ภาคที่ 3 บทที่ 2 ดักปล้นกลางทาง (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 2 ดักปล้นกลางทาง (2)

แล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวต่อไป

หากแต่ตอนนี้มันกลับมีพวกโจร 12 คนเดินตามหลัง เดินไปสะดุดล้มไปด้วย

เหอเสี่ยวฉานอดหันมองพวกโจรด้านหลังเป็นระยะไม่ได้ ทำหน้าล้อเลียนพวกมันแล้วก็หัวเราะคิกคัก

หากแต่ผู้อาวุโสเหอยังคงขมวดคิ้วไม่คลาย

“ท่านปู่ ท่านกังวลสิ่งใดอีก ? ท่านไม่เห็นหรือว่าลุงกังจับตัวพวกมันมาหมดแล้ว ? ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ธรรมดา” เหอเสี่ยวฉานเอ่ยขึ้น

“เจ้าจะรู้อะไร !” ผู้อาวุโสเหอเอ่ยแล้วตบต้นขาตนเอง

นับตั้งแต่ที่ซูเฉินมาหาเขาเพื่อเชิญไปเป็นผู้นำทาง กระทั่งตอนที่เลือกเดินไปยังทางที่มีพวกโจรอยู่มาก ผู้อาวุโสเหอก็รู้ว่าซูเฉินและข้ารับใช้คงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดในตำนานเหล่านั้นเป็นแน่

แต่แล้วอย่างไร ?

อย่างที่เขาเคยว่าไว้ ใต้หล้าไม่ขาดคนมีฝีมือ กระทั่งในพวกโจรก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญ

หลายปีมานี้เขาเดินทางไปไหนมาไหน ได้เห็นคนหนุ่มที่โอ้อวดตนเกินจริงก็หลายครั้ง ขาดการยับยั้งตนและการพิจราณาที่ดีก็หลายหน

สุดท้ายเป็นอย่างไรน่ะหรือ ? ตายไร้ที่ฝัง ร่างหายไปในพื้นที่รกร้างตลอดไปเลยกระนั้นหรือ ?

ในใต้หล้าเช่นนี้มีคนมากฝีมือจำนวนไม่น้อยที่ต้องสิ้นชีพลง !

การจับพวกโจร 12 คนที่ไม่ใช่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจึงไม่ได้มีความหมายอันใดมากมายนัก

ซูเฉินยังคงอ่านตำราต่อไป เหอเสี่ยวฉานยังคงคอยถามให้ชายหนุ่มเอ่ยตอบส่ง ๆ ได้บ้าง ส่วนกังเหยียนก็ขับรถม้าต่อไปอย่างขยันขันแข็ง ในขณะที่ผู้อาวุโสเหอก็ยังคงไม่สบายใจต่อไป

รถม้าเคลื่อนตัวต่อไปอย่างมั่นคง ทิ้งเงาท่ามกลางแสงตะวันยามกลางวันไว้เบื้องหลัง

หลังจากเดินทางเช่นนี้มาระยะหนึ่ง ซูเฉินที่ก้มหน้าอ่านตำราอยู่ตลอดก็พลันเงยหน้าขึ้น “กังเหยียน”

“ขอรับนายท่าน”

“หยุดรถม้า ด้านหน้ามีคนลอบโจมตี”

ผู้อาวุโสเหอรู้สึกคล้ายใจตนถูกบีบ หากแต่ในนัยน์ตาเหอเสี่ยวฉานเผยแววตื่นเต้น

จากนั้นหยุดม้าก็หยุดลง

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “พวกมันมีคนเกือบร้อยล้อมเราไว้ทั้งสองข้างทาง นับว่าตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ทีเดียว”

เมื่อได้ยินว่ามีพวกโจรเกือบร้อยซุ่มอยู่ ผู้อาวุโสเหอก็เกือบตกใจจนร่างกระเด้ง กระทั่งความตื่นเต้นเมื่อครู่ของเหอเสี่ยวฉานเองก็ยังลดลงไปมาก

ผู้อาวุโสเหอพลันตะโกนขึ้น “เป็นค่ายโจรกระดองเต่า ต้องเป็นพวกมันแน่ ! พวกมันมีอำนาจที่สุดในมณฑลนี้ ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอยู่จำนวนหนึ่ง !”

“น่าจะมีอยู่ 5 คน” ซูเฉินเอ่ยขึ้น

“ท่านรู้ได้อย่างไร ?” ผู้อาวุโสเหอถามด้วยความตกใจ

“เพราะพวกมันมากันแล้ว”

พวกโจรทั้งหลายเริ่มเผยกายออกมาจากรอบด้าน ออกมาจากแผ่นหิน มาจากต้นไม้ และจากพุ่มไม้หนา โจรคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวออกมาเรื่อย สีหน้าชั่วร้าย ในมือถือดาบคม เดินเข้ามาล้อมรถม้าด้วยท่าทางขู่ขวัญ

และยังมีคนบนหลังม้าอีก 5 คนที่ขวางทางด้านหน้าไว้

“ด่านก่อเกิดลมปราณสาม ด่านกลั่นโลหิตสอง…… ไม่เลวเลย” ซูเฉินพึมพำ

จากนั้นเขาจึงหันไปถามผู้อาวุโสเหอ “ค่ายโจรกระดองเต่านี้มีชื่อเสียงอย่างไรบ้าง ?”

“จะมีสิ่งใดได้อีก ? ฆ่าคน ลอบวางเพลิง ไม่มีเรื่องชั่วใดที่พวกมันไม่ทำ !” ผู้อาวุโสเหอขาอ่อนยวบ ปกติแล้วค่ายโจรกระดองเต่าจะสนใจขบวนใหญ่ของพ่อค้าเสียมากกว่า เหตุใดจึงส่งกองกำลังใหญ่ออกมาจัดการกับรถม้าคันน้อยเช่นนี้กัน ?

เขามองข้ามพวกโจร 12 คนที่เดินตามท้ายรถม้าไป

หากไม่สะดุดตาพวกโจรที่เดินตามหลังมาก็คงแปลกแล้ว

ปกติแล้วค่ายโจรกระดองเต่าจะใส่ใจรถม้าเพียงคันเดียวมากนัก และแม้จะส่งคนมา แต่หัวหน้าค่ายทั้งห้าก็คงไม่ปรากฏตัวเช่นตอนนี้ แต่เมื่อพวกมันเห็นหางรถม้าที่พวกโจร 12 คนเดินตามหลัง การกระทำเช่นนี้ไม่ดูโอหังไปหน่อยหรือ ?

หรือจะนับเป็นการยั่วยุพวกมันหรือ ?

ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ค่ายโจรกระดองเต่าก็ไม่มีทางอดทนต่อคำปรามาสเช่นนี้ได้

ลืมเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังหรือไม่ไปก่อน

ใต้หล้านี้มีผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วน แต่คนธรรมดานั้นมีมากกว่า !

หากคนธรรมดาคนหนึ่งสามารถออกมาเดินเฉิดฉายดั่งใจหมายได้ทั้งยังลากพวกโจรหลายคนตามหลังมาอีก เช่นนั้นคนอื่น ๆ เห็นแล้วจะเป็นอย่างไร ?

ผู้ที่วางท่าองอาจได้เก่งกาจที่สุดจึงจะอยู่รอด !

ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไร ในฐานะโจรแล้วก็ต้องออกมาสำแดงฝีมือบ้าง

หากมีเรื่องอันใดดูประหลาด…… ค่อยคิดทีหลังก็ยังได้ พวกโจรมีความอดทนต่ำ พวกมันจะมีเวลามาร่างแผนการหรือคิดแผนซ้อนแผนได้หรือ ?

หรืออาจจะพูดได้ว่าคนพวกนี้ไม่ว่าจะย่ำเดินไปอย่างไรก็ไม่เคยหันหลังกลับ

เมื่อเห็นการกระทำยโสโอหังเช่นนั้น ค่ายโจรกระดองเต่าจึงไม่พอใจ รีบรวมพลเพื่อล้อมรถม้าในพลัน

แต่พวกมันก็ยังมีความระแวดระวังอยู่บ้าง หัวหน้าค่ายทั้งห้าอยู่ในสถานะที่พร้อมหลบหนีได้ทุกเมื่อ

“ไม่มีเรื่องชั่วใดที่พวกมันไม่ทำ ?” ยามได้ยินคำผู้อาวุโสเหอ ซูเฉินก็หัวร่อออกมา “แบบที่ข้าชอบพอดี กังเหยียนคุ้มกันรถม้าไว้”

พูดแล้วเขาก็กระโดดออกไป

ไม่เสียเวลาเอ่ยวาจาใดอีก เหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงถูกซัดออกจากฝ่ามือ พุ่งทะยานเข้าหาทันทีพวกโจร

ซูเฉินหมายตาจอมยุทธ์ด่านกลั่นโลหิตคนหนึ่งในนั้นไว้

เหยี่ยวเพลิงทะยานขึ้นฟ้าส่องสว่างโชติช่วง เจ้าโจรด่านกลั่นโลหิตหัวเราะเสียงชั่วร้าย ค้อนเหล็กขนาดยักษ์ในมือพลันเปล่งสีขาวจ้าออกมา

ค้อนยักษปะทะเข้ากับเหยี่ยวเพลิง คลื่นเปลวเพลิงซัดออกมาเป็นวงกว้าง มันกรีดผ่านแสงสีขาวแล้วปะทะเข้าร่างโจรผู้นั้น ส่งร่างกระเด็นไปในคราเดียว

“หัวหน้า !” พวกโจรร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“บัดซบ ! มันอยู่ด่านกลั่นโลหิต !” หัวหน้ากองโจรยังไม่ตาย แต่ก็บาดเจ็บหนักจนไม่อาจลุกขึ้นยืนไหว

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าตนยังไม่ตาย พวกโจรก็พากันถอนหายใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน โจรด่านกลั่นโลหิตอีกคนตะโกนขึ้น “เจ้าบัดซบนี่ทำท่ากร่างเพราะคิดว่าตนเองอยู่ด่านกลั่นโลหิตหรือ ? พี่น้องทั้งหลาย ลุยเข้าไปเลย !”

“ฮ่า !” ทุกคนส่งเสียงร้องพร้อมกับพุ่งตัวเข้าไป

ซูเฉินหัวเราะพลางยื่นแขนขวาออกมา ระเบิดเพลิงปักษาฝูงหนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับพุ่งทะยานออกไปในพลัน

ตอนนี้เขามีพละกำลังมากพอที่จะสร้างระเบิดเพลิงปักษาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้ว ดังนั้นเพลิงปักษาฝูงนี้จึงมีมากกว่าร้อยตัว

แม้ระเบิดเพลิงปักษาจะมีขนาดเล็ก แต่ชายหนุ่มก็พึ่งพาวิชานี้ในการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณระดับต้น ดังนั้นหากจะใช้มันรับมือกับคนธรรมดาที่อยู่ด่านหลอมกายาก็มากเกินพอ

ฝูงนกเริ่มทะยานเข้าใส่ศัตรู นกหนึ่งตัวซัดโจรหนึ่งคน

ผู้อาวุโสเหอและเหอเสี่ยวฉานมองภาพฝนไฟที่โปรยลงมาจากฟากฟ้าพุ่งเข้าใส่พวกโจรด้วยความตื่นตะลึง ซึ่งเมื่อโดนพลังซัดเข้าไปคราเดียวพวกมันก็พากันล้มลงกับพื้นกันหมด

แต่แน่นอนว่าหัวหน้าโจรทั้งสี่นั่นยังไม่พ่ายแพ้ไปโดยง่าย 3 คนอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูง และมีคนหนึ่งอยู่ด่านกลั่นโลหิตระดับสูง ดังนั้นจึงรับมือระเบิดเพลิงปักษาได้ไม่ยาก

หากแต่พริบตาต่อมา ที่มือของซูเฉินก็ปรากฏเสียงคำรามลั่น ครั้งนี้เป็นฝูงเหยี่ยวเพลิงฝูงหนึ่ง

เหยี่ยวเพลิงสิบตัวสยายปีกบินออกไป พุ่งเข้าใส่หัวหน้ากองโจรทั้งสี่จนต้องวิ่งหาที่กำบัง

“อ่อนแอเกินไป” ซูเฉินส่ายหัวแล้วถอนใจ หน้าตาดูไม่พอใจเท่าไร

หัวหน้าโจรด่านกลั่นโลหิตทั้งโกรธทั้งตกใจ เหตุใดอีกฝ่ายจึงแข็งแกร่งถึงปานนั้นได้ ?

โจรที่ถูกพลังซัดไปก่อนหน้านี้เป็นคนแรกลุกขึ้นยืนได้แล้วพลันตะโกนเสียงเกรี้ยวกราด “บุกเข้าระยะประชิดไปเลย ! มันต้องต่อสู้ระยะประชิดไม่เก่งแน่ !”

เมื่อตะโกนสั่งจบ แสงเรืองสีขาวก็โอบล้อมรอบกาย ความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้นมาก แผ่กลิ่นอายดุดันออกมาในพลัน

รองหัวหน้ากองโจรเองก็ยกเกราะตนเองขึ้นป้องกันเหยี่ยวเพลิง โจรด่านก่อเกิดลมปราณอีก 3 คนเดินหลบอยู่หลังเกราะแล้วเดินตามไปเรื่อย ๆ

ทว่าชายหนุ่มกลับหัวเราะเสียงเย็นออกมา

เขาปล่อยเหยี่ยวเพลิงอีกลูกหนึ่งออกไป แต่ครั้งนี้พวกมันมีตา ทั้งยังพากันบินวน ก่อนพุ่งผ่านโล่กลมขนาดใหญ่ของรองหัวหน้ากองโจรเข้าใส่พวกโจรด่านก่อเกิดลมปราณที่หลบอยู่ด้านหลังทั้ง 3 คน

เหยี่ยวเพลิงเหล่านี้สามารถทำให้อสูรร้ายระดับสูงอย่างวานรยักษ์เหล็กกล้าได้บาดเจ็บได้ แล้วมีหรือที่คนพวกนั้นจะต้านไหว ? เหล่าโจรด่านก่อเกิดลมปราณทั้งสามจึงถูกพลังปะทะกระเด็นไปไกล ยามร่างกระแทกพื้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่ายังมีลมหายใจหรือไม่

“อ่อนแอไป” ซูเฉินส่ายหน้าอีกครั้งแล้วเอ่ยคำเดิม

แท้จริงแล้วหัวหน้ากองโจรมี 2 คนอยู่ด่านกลั่นโลหิตระดับสูง มี 3 คนอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูง คิดดูแล้วไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด

แต่ซูเฉินเป็นคนอย่างไร ? เขาเป็นคนมีความสามารถ ทั้งยังจบการศึกษาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น และพวกคนที่เคยประมือมาก็เป็นยอดยุทธ์ในยอดยุทธ์ทั้งสิ้น

ชายหนุ่มฝึกปรือฝีมือกับเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลาย ดังนั้นมาตรฐานของเขาจึงแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อประจันหน้าเข้ากับศัตรูทั่วไป ความแตกต่างระหว่างเขากับอีกฝ่ายจึงดูราวฟ้ากับเหว

เขายังกระทั่งรู้สึกว่าเมื่อประมือกับศัตรูเช่นนี้ ต่อให้แปดคนดาหน้ากันเข้ามาในคราเดียวเขาก็ยังรับมือไหว

รองหัวหน้ากองโจรทั้งโกรธทั้งตกตะลึงอีกครา ร้องตะโกนขึ้นมาว่า “หากมีฝีมือจริงก็ทะลวงเกราะข้ามาให้ได้สิ ! ลอบโจมตีจากด้านหลังมันดูไร้ศักดิ์ศรียิ่ง !”

“ตกลง !” ซูเฉินตอบ

เป็นตอนนั้นเองที่หัวหน้าค่ายพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน ยกค้อนในมือฟาดใส่

ชายหนุ่มบิดร่างหลบ ส่งผลให้ค้อนพลาดเป้าฟาดลงกับพื้น ทิ้งรอยขนาดใหญ่ไว้บนผืนดิน

ซูเฉินไม่สนใจหัวหน้าค่ายผู้นั้นแล้วพุ่งเข้าใส่รองหัวหน้ากองโจรอีกคน ซัดท่าหนึ่งใส่ไปที่เกราะ “สว่านทะลวงเกราะ !”

ตึ้ง !

รองหัวหน้ากองโจรพลันรู้สึกว่ามือตนเบาขึ้น เกราะต้นกำเนิดของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ถูกศัตรูซัดคราเดียวก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้

พริบตาต่อมา ซูเฉินก็ส่งหมัดเข้าที่ใบหน้า ทัศนวิสัยของรองหัวหน้ากองโจรพลันมืดสนิท หมดสติไปในที่สุด

หลังจากปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ชายหนุ่มก็กระโดดถอยออกมา ศอกเข้าที่กลางลำตัวหัวหน้าค่ายที่กำลังรุดหน้าเข้ามา ทำให้หัวหน้าค่ายตัวงอเป็นกุ้ง ก่อนที่ซูเฉินจะเสยหมัดเข้าที่คางเข้าอีกครา ส่งร่างหัวหน้าค่ายลอยไปไกล

ระหว่างที่ร่างกำลังกระเด็นไปในหัวก็คิดขึ้นมา บัดซบ เจ้านี่ต่อสู้ระยะประชิดได้ไม่เลวเลย