“ตึง!”

ท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัด เสียงสนั่นลั่นฟ้าดังมาจากที่ไกลๆ เหมือนเสียงที่เกิดจากวัตถุหนักๆ ล้มกระแทกพื้น

“เฮยซือ แกได้ยินไหม?”

ศีรษะเล็กๆ ของใครบางคนยื่นออกมาจากมุมผนัง ดวงตาสีแดงขาวแยกชัดกลอกไปกลอกมารอบหนึ่ง พลางมองไปยังทางเดินมืดๆ เส้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง “ใช่ศพหรือเปล่า?”

เธอสูดดมจมูกเต็มที่ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจออกมา “ซอมบี้พวกนั้น…น่าจะถูกเสี่ยวป๋ายล่อออกไปแล้วสินะ! ตรงนั้นมีกลิ่นแรงมาก!”

“คิกคิก! คราวนี้เสร็จฉันล่ะ!”

พูดไป ซอมบี้โลลิก็เอียงคอมองหัวไหล่ตัวเอง

ไหล่ของเธอตอนนี้ถูกเลือดย้อมจนแดงเถือก ใต้เสื้อที่ถูกฟันจนฉีกขาด มีรอยแผลเป็นยาวๆ อยู่เส้นหนึ่งอยู่ในคราบเลือด

“อื่ม หายดีแล้ว” อวี๋ซือหรานยกมือขึ้นลูบแผล แล้วพูดขึ้น

ความสามารถในการสมานแผลของซอมบี้ชนชั้นสูงน่ากลัวจริงๆ ขอเพียงไม่ใช่อาการบาดเจ็บหนักอย่างกะโหลกแตกหรือเครื่องในเละ พวกมันก็ล้วนสมานแผลได้อย่างรวดเร็ว

นี่คือลักษณะเด่นของเชื้อไวรัส แล้วก็เป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่ซอมบี้ได้รับในฐานะนักล่าเลือดเย็น

ยิ่งระดับวิวัฒนาการสูงเท่าไหร่ ความเร็วในการสมานแผลก็ยิ่งขึ้นเท่านั้น

เมื่อควบรวมกับการโจมตีอันบ้าคลั่งไม่กลัวบาดเจ็บจากซอมบี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันทำให้เหล่าผู้รอดชีวิตรู้สึกกดดันมากขนาดไหน

แต่ความสามารถระดับที่ทำให้แขนขาที่ขาดงอกขึ้นมาใหม่ได้ ปัจจุบันยังไม่พบซอมบี้ที่สามารถทำได้

อย่างน้อยซอมบี้โลลิก็ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น ดังนั้นเธอจึงถือว่านี่คือข้อสรุปสุดท้ายโดยพลการ

ทว่าผู้ร้ายที่สร้างบาดแผลให้เธอ กลับทำให้อวี๋ซือหรานตะขิดตะขวงใจมาก—

ซอมบี้ที่ปล่อยคลื่นไฟฟ้าในสมองเป็น และทำตัวน่าชิงชังเหมือนมนุษย์ไส้กรอกตัวนั้น!

ทั้งที่เธอร่วมมือกับเฮยซือ แต่กลับถูกซอมบี้ตัวนั้นใช้วิธีการแปลกประหลาดก่อกวนจนได้ ไม่เพียงกำจัดอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ยังได้รับบาดเจ็บกลับมาอีก

บวกกับตอนนั้นเสี่ยวป๋ายกำลังดึงดูดความสนใจจากไอ้เด็กผีตัวนั้นและซอมบี้ตัวอื่นๆ อยู่พอดี ดังนั้นอวี๋ซือหรานจึงฉวยโอกาสแสดงพรสวรรค์ในการทิ้งเพื่อน โดยรีบพาเฮยซือวิ่งหนีไปทันที

แต่ไอ้ซอมบี้น่ารำคาญตัวนั้นกลับตามติดพวกเธออย่างไม่ลดละ เหมือนกับว่าบนตัวพวกเธอมีบางสิ่งที่ทำให้มันสนใจอยู่…

มีอะไรให้น่าสนใจกัน?!

สุดท้ายก็เป็นเฮยซือที่เตือนเธอ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมเฮยซือไว้กับมนุษย์ไส้กรอกนั่นก็ได้!

“ไอ้มนุษย์ไส้กรอกชั่ว ไม่ว่าอยู่ไหนก็ตามมาได้ตลอดเลย!” ในตอนนั้น อวี่ซือหรานด่าหลิงม่อในใจด้วยคำศัพท์ที่เธออุตส่าห์พยายามคิดค้นขึ้นมาสดๆ ใหม่ๆ

สายสัมพันธ์แบบนี้อยากตัดก็ตัดไม่ได้ อีกอย่างเฮยซือไม่มีทางเชื่อฟังเธอทุกอย่างอยู่แล้ว…

แต่ถ้าจะให้ยอมแพ้ง่ายๆ เธอก็ทำไม่ได้

ทว่าในขณะที่เธอตัดสินใจจะย้อนกลับไปอีกครั้ง ซอมบี้ตัวนี้ก็หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ทำไมไม่ตามมาแล้วล่ะ? อวี๋ซือหรานไม่เข้าใจ และเธอก็ไม่อยากจะเปลืองสมองไปคิดต่อด้วย

ถึงยังไงก็ถือเป็นเรื่องดีนี่! ไม่แน่ว่ามันอาจย้อนกลับไปไล่ตามเสี่ยวป๋ายแทนแล้วก็ได้

เสี่ยวป๋ายหนังหนาจะตาย แค่โดนตีแปดครั้งสิบครั้งไม่เป็นไรหรอก…

“เรื่องสำคัญคือ…ได้ของมาแล้ว!”

อวี๋ซือหรานพูด พลางยกมือล้วงเข้าไปในร่องอกของตัวเอง

นิ้วมือขาวเนียนสองนิ้วคีบเอาวัตถุกลมกึ่งโปร่งใสเหมือนแมงกะพรุนที่เรืองแสงได้ออกมาจากร่องอกลึก ของสิ่งนั้นหยืดหยุ่นได้ มันกำลังขยับเบาๆ อยู่ในมือเธอ พร้อมกับปล่อยแสงสว่างเรืองรองออกมา

ซอมบี้โลลิจ้องของวัตถุชิ้นเล็กในมือตัวเองตาเป็นมัน เธอแลบลิ้นออกมาเลียปากตัวเองอย่างห้ามใจไม่อยู่

“ไม่เสียแรงที่ต้องไปเสี่ยงอันตรายกลับมา เสี่ยวป๋ายเองก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ถึงขนาดรั้งพวกมันไว้ได้ทั้งหมดจริงๆ”

ซอมบี้โลลิจับ “แมงกะพรุน” ในมือตัวเองพลิกไปพลิกมา แล้วพูดอย่างคาดหวังว่า “เฮยซือ เธอว่าเจ้าของสิ่งนี้มีไว้ทำอะไร? กินหรอ? ฉันคิดว่ามันเหมือน…”

พูดไป เธอก็อดแลบลิ้นสีชมพูดอ่อนออกมาไม่ได้

แต่ในเสี้ยววินาทีที่ลิ้นของเธอกำลังจะสัมผัสถูก “แมงกะพรุน” ทันใดนั้นปากเล็กๆ ของเธอกลับต้องปิดลงอย่างไม่คาดคิด

“โอ๊ยยยย!”

ซอมบี้โลลิเบิกตากว้างแล้วยกมือขึ้นกุมปากตัวเอง เธอกระโดดโหยงๆ อยู่กับที่ ปากก็ร้องลั่นไม่เป็นภาษา “เฮยซือแก…! ฮืออ ลิ้นของฉัน! ไอ้นี่มันขาดแล้วงอกใหม่ไม่ได้นะโว้ย!”

“งือออ? อะไรนะ? แกกำลังบอกว่า…พวกมนุษย์ไส้กรอกก็อยู่ทางนั้นเหมือนกัน?”

อวี๋ซือหรานค่อยๆ ลดมือลง บนดวงหน้าบิดเบี้ยวเพราะยังรู้สึกเจ็บอยู่พลันฉายแววซุกซน “อย่างนี้…ก็พอดีเลยน่ะสิ ถ้าหากพวกนั้นพ่ายแพ้ยับเยินกันทั้งสองฝ่าย พวกเราก็สามารถฉวยโอกาสนี้หลุดออกจากพันธนาการของพวกนั้นได้ไม่ใช่หรอ?! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ฉันนี่มันอัจฉริยะในหมู่ซอมบี้จริงๆ! ยัยซย่าน่าอะไรนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันซักนิด! เหอะ เอาแต่ดูถูกอยู่ได้ว่าตอนฉันเป็นมนุษย์ก็อายุแค่ 12 ขวบ หลังจากกลายร่างเป็นซอมบี้อย่างมากก็เหมือนเด็กอายุ 6 ขวบ พวกชอบทำเป็นรู้ดีไปทุกเรื่อง”

“เฮยซือ พวกเราไปกันเถอะ! ไม่แน่นะ…ฮิฮิ ฉันอาจจะได้ไส้กรอกติดมือกลับมาซักอันสองอันก็ได้!”

ซอมบี้โลลิยัด “แมงกะพรุน” กลับเข้าไปในร่องอกตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็มองออกไปข้างนอก หลังเห็นว่าไม่มีเงาคน เธอก็กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว

ในความมืดอันสงัดเงียบ ซอมบี้โลลิพูดเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้งว่า “เฮยซือ พวกเราถือโอกาสช่วยเสี่ยวป๋ายกลับมาด้วยกันเถอะ”

“อะไรนะ?! ฉันเนี่ยนะ! ฉันไม่ได้ชอบมันนะ! ฉันเป็นซอมบี้นะยะ! เป็นซอมบี้ ฉันจะไปชอบอะไรได้ไงล่ะ! มันเป็นความรู้ทั่วไปนะเธอเข้าใจไหม?…ฉันต้องการ…ฉันหมายถึง…มีมันอยู่ก็เหมือนมีรถไง หากจำเป็นจริงๆ มันก็เป็นอาหารแห้งให้ฉันได้ด้วย! ถ้าตายก็น่าเสียดายเกินไปน่ะสิ…อื้มๆ เป็นอย่างที่ว่านี่แหละ”

“หยุด…ห้ามหัวเราะนะ! เป็นแค่หมาตัวหนึ่ง หัวเราะอะไรไม่ทราบห๊ะ! แกมีคำพูดในใจมากมายขนาดนี้ เจ้ามนุษย์ไส้กรอกนั่นยังไม่รู้นี่! คอยดูเถอะฉันจะฟ้องเขา!”

………..

“ได้ผลแล้ว” หลิงม่อลากเย่เลี่ยนวิ่งผ่านทางเลี้ยวอีกครั้ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างดีใจ

“อะ…อะไรหรอ?” เย่เลี่ยนถาม

ซย่าน่าเองก็วิ่งตามมาติดๆ แต่เคียวดาบในมือของเธอกลับไม่ได้อยู่ว่าง เธอใช้มันยกร่างซอมบี้ที่กระโจนเข้ามาจากด้านข้างขึ้นกลางอากาศ “พี่หลิงกำลังบอกว่า พวกนั้นตามแล้ว อวี๋ซือหรานกับเฮยซือน่ะ”

“อ้อ…” เย่เลี่ยนพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ

“พี่หลิงวิ่งมาทางนี้ก็เพราะเรื่องนี้สินะ? ยิ่งออกห่างจากลานจอดรถ พลังสัมผัสรู้ยิ่งแกร่งขึ้น แต่ถ้าพวกเราสัมผัสรู้ได้ถึงพวกนั้น ก็แสดงว่าพวกนั้นก็สามารถสัมผัสรู้ได้ถึงพวกเราด้วยน่ะสิ?” ซย่าน่าถามอย่างสงสัย

หลิงม่อหัวเราะคิกคัก “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น ยังมีอีกเรื่อง ถ้าพวกนั้นสัมผัสถึงพวกเราไม่ได้ จะตามมาได้ไงล่ะ? ซอมบี้ก็มีนิสัยส่วนตัวของซอมบี้เหมือนกันนะ นิสัยของยัยอวี๋ซือหรานน่ะ มองออกง่ายจะตายไป”

“ก็ 12 ขวบนี่นะ…”

“หลังกลายร่างก็ต้องหักลบสติปัญญาออกอีกหรือเปล่า?”

“ครึ่งหนึ่ง?”

“เหลือหนึ่งส่วนสิบ”

“อ้อ…”

คราวนี้เย่เลี่ยนกับซย่าน่าพยักหน้าพร้อมกันอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง สายตาที่มองออกไปในความมืดก็เริ่มดูตื่นเต้นขึ้นมา

ถึงแม้การลอบโจมตีจะสนุกมาก แต่เปลี่ยนวิธีมาเป็นเปิดประตูรอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาเองบ้างเป็นบางครั้ง ก็ดูเหมือนจะน่าสนใจอยู่ไม่น้อย!

หลังจากที่พาพวกซอมบี้วิ่งวนอยู่หลายรอบ ในที่สุดระหว่างวิ่งไล่กวดกันจำนวนของซอมบี้พวกนี้ก็เริ่มลดลง

ซอมบี้ทารกเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายลง มันกรีดร้องเต็มเสียง แต่ปรากฏว่ามันกลับถูกซย่าน่าเอาเศษผ้าสกปรกยัดปากทันที

เดิมหลิงม่อคิดว่ามันออกจะโหดร้ายเกินคนไปหน่อย แต่พอเขายื่นมือไปดึงผ้าก้อนนั้นออกมา กลับมองเห็นปากที่กำลังอ้ากว้างของซอมบี้ทารกพอดี

หลอดที่เหลือเพียงครึ่งเดียวนั่นกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในนั้น ฟันแหลมคมสองแถวล่างบนงับมาที่ข้อมือของเขาโดยตรง

ดวงตาที่สะท้อนแววดุร้ายและกระหายเลือดคู่นั้น กลับจ้องมองมายังเส้นเลือดบนลำคอของหลิงม่ออย่างปรารถนาแรงกล้า

“กับซอมบี้ประเภทนี้…ไม่ต้องมีความเป็นคนก็ได้โว้ย!” หลิงม่อยัดผ้าก้อนนั้นกลับไปอีกครั้ง

ในขณะนั้น อวี๋ซือหรานและเฮยซือได้มาถึงบริเวณใกล้เคียงพวกเขาแล้ว

ซอมบี้โลลิหลบอยู่ข้างหลัง เงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวข้างหน้า พลางยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “ถ้าหากพวกนั้นกำลังสู้กันอย่างดุเดือดล่ะก็ พวกเราค่อยราดน้ำมันใส่เข้าไปอีกกันดีกว่า…รู้แล้วน่า ฉันรู้ว่าแกไม่มีทางลงมือเองแน่ ถ้าอย่างนั้นแกก็ปล่อยให้ฉันลงมือเองได้ไหม? พวกเราเป็นร่างร่วมกันนะอย่าลืม…”

“รับปากแล้วนะ? อิอิ อย่างนี้ค่อยใกล้ชิดกันขึ้นมาหน่อย”

อวี๋ซือหรานย่อกายลงครึ่งตัว พลางพุ่งไปข้างหน้าตามแนวผนัง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง

อวี๋ซือหรานที่นั่งหลบอยู่ใต้โต๊ะกำลังจ้องออกไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นสุดๆ สายตาของเธอกำลังสแกนหาบางสิ่งท่ามกลางฝูงซอมบี้

“เห็นแล้ว!”

คนที่หลบอยู่ข้างหลังซอมบี้สาวนั่น มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเจ้ามนุษย์ไส้กรอกจอมเจ้าเล่ห์นั่นแน่ๆ!

ขณะที่ซอมบี้พวกนั้นกระโจนเข้าไป การเคลื่อนไหวของพวกมันก็ตะแปลกไป จากนั้นซอมบี้สาวสองตัวนั้นก็จะฉวยโอกาสกระโจนเข้าใส่ ลงมือแค่สองสามครั้งก็จัดการเรียบร้อยแล้ว

“ปั๊ดโธ่ ช่างเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันที่ไร้สมองจริงๆ เลยพวกนี้นี่!” อวี๋ซือหรานเห็นท่าไม่ดี หากเป็นอย่างนี้ต่อไป หลิงม่อต้องชนะแน่ๆ

เธอกวาดมองอีกครั้ง แล้วในที่สุดก็มองเห็นวัตถุสีขาวกลมๆ

“เสี่ยวป๋าย!”

—————————————————————————–