สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และขนปุกปุยตัวหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ในมุมผนัง มองแวบแรกเหมือนปอมปอมยักษ์สีขาวมากจริงๆ…ถ้าหากไม่ใช่ว่าหางกลมๆ ตรงก้นของมันส่ายไปส่ายมาสะดุดตาขนาดนั้นล่ะก็นะ

“ทำไมฉันรู้สึกว่าเสี่ยวป๋ายดูท่าไม่ค่อยดีเลยล่ะ?” อวี๋ซือหรานชะโงกหน้าไปข้างหน้าอย่างห้ามใจไม่ได้ พร้อมกับถามขึ้นเสียงเบา

หลายวินาทีผ่านไป สีหน้าของซอมบี้โลลิก็ดูแย่ลงถนัดตา ขณะเดียวกันก็กำหมัดแน่นแล้วสบถเสียงดัง “เฮ้ย! ถึงแม้ฉันจะเป็นคนตัดสินใจให้มันเป็นคนจุดชนวนสงคราม แต่อย่าลืมนะว่าแกก็เป็นร่างร่วมของฉันน่ะ! แกจะห้ามฉันก็ได้นี่!…อย่าเชียวนะ! อย่ามาเล่นลูกไม้ ‘ฉันเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง’ กับฉันเชียวนะ ฉันก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งเหมือนกันเหอะ!”

“ไม่! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเป็นอัจฉริยะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันเป็นเด็กเล่า! ฉันเป็น…อัจฉริยะเด็กไงเล่า!”

อวี๋ซือหรานทำท่ากระฟัดกระเฟียดขณะ “พูดกับตัวเอง” อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยมองไปทางเสี่ยวป๋าย “มันดูไม่เหมือนบาดเจ็บนะ…”

สภาพของเสี่ยวป๋ายในตอนนี้ดูอ่อนแรงมากจริงๆ ถึงแม้จากผลการสังเกต จะทำให้มั่นใจได้ว่ามันจะไม่กลายร่างเป็นศพน้ำเพราะติดเชื้ออย่างแน่นอน แต่เมื่อคิดว่าเชื้อไวรัสสัตว์กลายพันธุ์กำลังต่อสู้กับเมือกขุ่นๆ ชนิดนี้อยู่ในร่างกายของมัน แถมในไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มันก็เพิ่งถูกกระชากซอมบี้ทารกออกมาจากคอหอย จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทำไมมันถึงอยู่ในสภาพนี้

น่าเสียดายที่ทั้งอวี๋ซือหรานและเฮยซือต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นซอมบี้โลลิจึงคิดเชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่นทันที

“ซือหราน ช่วยฉันด้วย แบ๊!”

“แบ๊! ฉันได้รับบาดเจ็บภายใน!”

“แบ๊~ แบ๊~”

“ไม่ๆๆๆ” อวี๋ซือหรานสะบัดหน้าไปมา เพื่อสลัดจินตนาการเหล่านี้ออกจากหัวไป

ทว่าสีหน้าของเธอยังดูแปลกไปอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอกัดริมฝีปากแรงๆ แล้วบริหารนิ้วมือสองสามที

“ไม่เป็นไร ขอแค่ช่วยมันออกมาจากเงื้อมมือของเจ้ามนุษย์คนนั้นได้ พวกเราก็จะถือว่าหายกันแล้ว!”

ไม่นานเธอก็หาทางออกที่เหมาะสมได้ และหลังจากได้ข้อสรุปนี้อวี๋ซือหรานก็ดูผ่อนคลายลงมาก

“ฟู่ว! น่าแปลกจริงๆ…” ซอมบี้โลลิยกมือขึ้นลูบหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง แล้วพูดอย่างสงสัย “เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่ามันอึดอัดอยู่ตรงนี้ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ดีขึ้นแล้วล่ะ? ไม่ใช่เพราะหมดแรงหรอกหรอ? แปลกจัง…”

หลังจากล็อกตำแหน่งของเสี่ยวป๋ายแล้ว อวี๋ซือหรานก็รีบมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็แนบตัวชิดกำแพงแล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้มัน

ซอมบี้ที่ไล่ตามมากำลังสู้อยู่กับพวกหลิงม่อ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่มีเวลาหันมาสนใจเธอ

ไม่นานอวี๋ซือหรานก็เข้าใกล้เสี่ยวป๋ายได้อย่างราบรื่น ระยะห่างระหว่างทั้งสองกระชั้นชิดขึ้นจนเหลือไม่ถึงห้าเมตร

เธอซ่อนอยู่หลังชั้นวางสินค้าที่หักไปครึ่งท่อน แล้วโผล่หัวออกไปแอบดูพวกหลิงม่ออย่างระวังสุดขีด

“ไม่ถูกจับได้!”

ซอมบี้โลลิฉีกยิ้ม จากนั้นก็หันไปส่งสัญญาณให้เสี่ยวป๋าย “ชู่ว! ชู่วๆ!”

เสี่ยวป๋ายยกศีรษะอันหนักหน่วงขึ้นมองอย่างระแวง พลางยกเปลือกตาเหลือบมองมาทางต้นตอเสียง

“ชู่วๆ! ทางนี้!”

ซอมบี้โลลิยกมือขึ้นโบกไปมา “ชู่ว! ฉันมาช่วยแกแล้ว!”

“แบ๊?” เสี่ยวป๋ายขยับสะโพกเล็กน้อย แล้วเอียงคอมองมาอย่างงุนงง

“อย่าขยับสิ…” ซอมบี้โลลิทำท่ากดมือลง เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พลางสังเกตพวกหลิงม่ออย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปด้วย

“พวกเพื่อนๆ ให้ฉันช่วยพวแกซักครั้งนะ” อวี๋ซือหรานยิ้มประหลาด จากนั้นก็ล้วงบางสิ่งออกมาจากประเป๋าเป้

ในฐานะสมาชิกในกลุ่มของหลิงม่อ ซอมบี้โลลิย่อมหนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องแบกกระเป๋าเป้ด้วย

และเนื่องจากหลิงม่อต้องการระวังพวกมู่เฉินด้วย ดังนั้นสิ่งของมีประโยชน์ส่วนมาก จึงถูกเก็บไว้กับอวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋าย

ทว่าหากเทียบกระเป๋าเป็บนตัวอวี๋ซือหรานกับกระเป๋าเป้ของเสี่ยวป๋าย ขนาดและน้ำหนักเบากว่ามากทีเดียว

“คิกคิก เจ้ามนุษย์ไส้กรอก…”

ซอมบี้โลลิล้วงมีดเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ จากนั้นก็เล็งเป้าไปทางหลิงม่อ

เดิมเธอไม่ค่อยเคยชินกับการใช้อาวุธเท่าไหร่นัก แต่เพื่อจัดการกับหลิงม่อ เธอจะยอมฝืนใจตัวเองซักแป๊บหนึ่ง

“เหอๆๆ…”

ซอมบี้โลลิกระชับมีดไว้ในมือแน่น พลางซ่อนตัวอยู่อีกฝั่งเพื่อจ้องหาช่องโหว่ในการโจมตีเงียบๆ

สำหรับซอมบี้ตัวอื่นๆ หลิงม่อแนบตัวประชิดผนัง แล้วยังหลบอยู่ข้างหลังซอมบี้สาวชนชั้นสูงสองตัวอย่างมิดชิดขนาดนี้ แถมยังมีวิธีการโจมตีที่ยากจะหลบเลี่ยงได้อีก ความเป็นไปได้ที่จะสามารถเข้าใกล้ตัวเขาแทบจะหลายเป็น 0

แต่หากมองออกไปจากมุมที่อวี๋ซือหรานยืนอยู่ กลับสามารถมองเห็นด้านข้างของหลิงม่อได้อย่างเหมาะเจาะ

ยิ่งบวกกับระยะห่างระหว่างทั้งสอง อวี๋ซือหรานมั่นใจว่าตัวเองต้องโจมตีสำเร็จแน่นอน

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลิงม่อไม่มีทางคาดเดาได้แน่นอน ว่าเธอจะเกลี้ยกล่อมเฮยซือสำเร็จ…

“หึหึ เจ้ามนุษย์หน้าโง่ ปล่อยให้ซอมบี้ตัวหนึ่งกับสัตว์กลายพันธุ์ตัวหนึ่งอยู่ด้วยกันทุกวันอย่างนี้ ฝ่ายที่ชนะย่อมต้องเป็นซอมบี้ที่ฉลาดกว่าแน่นอนอยู่แล้ว!” อวี่ซือหรานลอบหัวเราะหยันในใจ

และในขณะนี้ การต่อสู้เบื้องหน้าก็กำลังดำเนินไปสู่ช่วงที่ดุเดือดที่สุด

ร่างซอมบี้ที่ล้มลงไปอย่างต่อเนื่องไม่เพียงไม่ได้ทำให้ซอมบี้ที่เหลือกลัวจนถอยหนี กลับกัน ยิ่งไปกระตุ้นความปรารถนาในการต่อสู้ให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นซอมบี้กลายร่างที่เพิ่งเกิด แต่หากวัดกันเรื่องพลัง พวกมันรับมือยากกว่าซอมบี้ระดับกลายพันธุ์มาก

แน่นอนว่าในยุคสมัยที่มีซอมบี้กลายพันธุ์เกลื่อนไปหมดทุกที่อย่างนี้ การที่พวกมันจะแกร่งล้ำหน้าซอมบี้กลายพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อย่างน้อยในด้านจำนวน พวกมันยังห่างชั้นอีกไกล

จุดเด่นที่น่ากลัวที่สุดของซอมบี้กลายร่างคือพลังในการเจริญเติบโตของพวกมัน ซึ่งมันคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่ทำให้พวกมันมีบทบาทสำคัญในหมู่ซอมบี้

แต่น่าเสียดาย ที่ในวินาทีนี้ อาวุธชิ้นนี้กลับไร้ประโยชน์

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ชนชั้นสูงสองตัว แล้วยังมีปีศาจหนวดในร่างคนอีกหนึ่งคน พวกมันไม่มีโอกาสให้เจริญเติบโตได้อีกต่อไป

“ฉึบ!”

เคียวดาบของซย่าน่าฟันออกไปในแนวขวาง เพื่อกันซอมบี้สองตัวที่เพิ่งถูกหลิงม่อฉุดรั้งไว้กลางทางให้ถอยออกไปอีกครั้ง

และขณะเดียวกับที่พวกมันถอยหลัง เย่เลี่ยนก็ได้ยกปืนขึ้นเล็งและลั่นกระสุนออกไปติดๆ กันสองนัด

หลังเสียงลั่นไกดังสนั่นติดกันสองครั้ง ศีรษะของหนึ่งในซอมบี้สองตัวนั้นก็กระจุยหายไปกับอากาศในพริบตา เลือดพุ่งออกมาจากลำคอของมันเหมือนน้ำพุ จากนั้นมันก็ล้มลงไป ส่วนซอมบี้อีกตัวก็ขาขาดไปข้างหนึ่ง

ซอมบี้ตัวที่สองยังคงคำราม “กรร” และหมายจะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง แต่มันกลับไม่คุ้นเคยกับการต้องเดินขาเดียว เพิ่งจะกระโจนไปข้างหน้าได้นิดเดียว มันก็พุ่งชนพวกเดียวกันล้มลงไปด้วยตัวหนึ่ง

ถึงแม้จะพุ่งชนผิดตัว แต่ซอมบี้ตัวนี้กลับไม่คิดจะยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย

กลิ่นคาวเลือดฉุนๆ แล้วยังมีเงาแห่งความตายที่เกิดจากภาวะเสียเลือดมาก ทำให้ซอมบี้ขาด้วนตัวนี้เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งอย่างรวดเร็ว

มันนอนทับอยู่บนตัวซอมบี้ผู้โชคร้ายตัวนั้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปควักสมองของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“ซอมบี้…ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพรสวรรค์ด้านการทิ้งเพื่อนจริงๆ…” หลิงม่อรำพึงรำพัน แล้วฉวยโอกาสหันไปชื่นชม “เด็กโง่! ทำดีมาก!”

“แหะ…” เย่เลี่ยนเม้มปาก ดวงตากลมโตจ้องมองหลิงม่อพลางกระพริบปริบๆ

ส่วนซย่าน่าพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง “ฉวยโอกาสตอนที่น่าน่ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่…ฉันต้องบอกว่า นี่เป็นเพียงกฎการเอาตัวรอดที่รุนแรงที่สุดเท่านั้น”

“อย่างนั้นหรอ…”

ขณะที่พูดอยู่ ซอมบี้ขาด้วนตัวนั้นได้คว้าแขนของพวกเดียวกันที่กำลังดิ้นขัดขืน จากนั้นก็ดึงจนหลุดออกมาเป็นๆ

“ก็ใช่น่ะสิ มนุษย์อาจคิดว่ามันเป็นภาพที่น่ากลัว แต่สำหรับพวกเรา การเสียสละพวกเดียวกันที่อ่อนแอ การต่อสู้กันภายในที่เหมาะสม ล้วนสามารถส่งเสริมให้วิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วได้มากกว่า” ซย่าน่า หรือก็คือเฮยน่าพูดพร้อมหัวเราะคิกคัก

“นักเรียนดีเด่น…” หลิงม่อถูกคำพูดของเธอทำให้ตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไม่นานสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นดูแคลน “เธอแน่ใจหรอกว่าพวกมันไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง?”

ขณะเดียวกัน ซอมบี้อีกสองตัวก็ได้เข้ามาร่วมวงก่อการจลาจล ทว่าพวกมันกลับจับตัวซอมบี้ขาด้วนจากทางซ้ายและขวา ไม่ทันเห็นว่าพวกมันลงมือทำอะไร เห็นเพียงเลือกและเศษชิ้นเนื้อกระจายไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง

เศษอวัยวะภายในที่ถูกโยนขึ้นกลางอากาศร่วงตกลงบนพื้นภายใต้แสงสว่างจากไฟฉายของหลิงม่อดัง “แปะๆ” ตอนนี้เหมือนพวกเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางโรงเชือดสัตว์อันโหดร้ายอย่างไรอย่างนั้น

“เอิ่ม…” ซย่าน่าลังเลอยู่ครูหนึ่ง จากนั้นก็ต้องยอมรับอย่างรันทด “เอาเถอะ พี่พูดถูก พวกมันก็แค่หิวน่ะ…อีกอย่าง…พวกมันก็ต้องการเชื้อไวรัสด้วย…แต่แล้วยังไงล่ะ! มันก็เป็นสัญชาตญาณนี่นา! อีกอย่างสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้เป็นความคิดของน่าน่าทั้งนั้นแหละ!”

หึหึหึ พอน่าน่าไม่อยู่ก็ฉวยโอกาสป้ายสีเธอเลยหรอ?” หลิงม่อยิ้มประหลาด

“แล้วทำไม เธอเป็นคนคนเดียวกับฉันนะ! ฉันก็คือเธอ เธอก็คือฉัน อย่างมากเธอก็แค่โดนตัวเองใส่ร้ายเท่านั้นเอง…” เฮยน่าเริ่มเถียงข้างๆ คูๆ ไปเรื่อย…

“ยังมีเวลาคุยกันอีก…” ท่ามกลางเงามืด ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งกำลังจ้องพวกเขาสามคนด้วยแววตาประสงค์ร้าย

“สวบ!”

คมมีดทอแสงวูบวาบขึ้นกลางอากาศเคล้าด้วยเสียงหัวเราะเยือกเย็นของซอมบี้โลลิ แขนเรียวเล็กของเธอง้างไปด้านหลัง โดยเล็งเป้าไปที่เงาร่างหนึ่งในนั้น …

“คิกคิก ถึงแม้นายจะดูใจจดใจจ่อมาก แต่ว่า…”

องศาปลายมีดของเธอเบี่ยงออกไปเล็กน้อย พร้อมกับที่สายตาของเธอเบนออกจากตัวหลิงม่อ ไปยังซย่าน่าแทน

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันฉลาด!”

—————————————————————————–