ตอนที่ 5 ของขวัญขอโทษของอสูรรูปงาม

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เมื่อมู่เฉียนซีเห็นว่ามีเพียงท่านลุงในชุดสีขาวเท่านั้นที่เดินเข้ามาหา นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก… ‘ไม่ใช่ชายน่ากลัวผู้นั้นก็ดีแล้ว’

พ่อบ้านไป๋ก้าวเข้ามาใกล้และกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

“แม่นาง ข้าแซ่ไป๋ ทำหน้าที่พ่อบ้านดูแลที่นี่ แม่นางเรียกข้าว่าพ่อบ้านไป๋เถิด นายท่านเป็นคนรักสงบ ดังนั้นที่นี่นอกจากนายท่านแล้ว ก็มีเพียงข้าที่เป็นมนุษย์ หวังว่าแม่นางจะไม่ถือสานะขอรับ”

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุก …‘ชอบความสงบก็เลยให้โครงกระดูกที่พูดไม่ได้มารับใช้อย่างนั้นสินะ’… คนผู้นั้นสุดโต่งจนน่ากลัวเกินไปแล้ว นางจะต้องคิดหาหนทางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

มู่เฉียนซีนึกค่อนแคะเจ้าของบ้านในใจก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ที่นี่มีสมุนไพรเก็บไว้บ้างหรือไม่ หากมีห้องปรุงยาด้วยก็ยิ่งดี”

โดยปกติแล้ว ในคฤหาสน์ของตระกูลสูงศักดิ์ก็ล้วนมีนักปรุงยาประจำอยู่ แต่ดูจากความประหลาดของนายใหญ่ที่นี่นางไม่แน่ใจนักว่าจะมีหรือไม่ แค่มนุษย์ที่อาศัยอยู่ก็ยังมีน้อยเหลือเกิน อย่าหวังไปถึงนักปรุงยาเลย

พ่อบ้านไป๋ตอบ “แม้ในจวนของเราจะไม่มีนักปรุงยา แต่มีห้องปรุงยาขอรับ เชิญแม่นางมาทางนี้”

มู่เฉียนซีเดินเข้าไปในห้องปรุงยา ในห้องนี้มีสมุนไพรนานาชนิดจนเรียกได้ว่าครบครัน แม้แต่อุปกรณ์ปรุงยาก็ไม่ขาดแคลนแม้แต่อย่างเดียว นี่ถือเป็นสถานที่ปรุงยาที่สมบูรณ์และเพียบพร้อมอย่างแท้จริง …‘ชักอยากจะอยู่ในห้องนี้สักสิบวันหรือครึ่งเดือนเสียแล้วสิ’ ทว่าเมื่อนึกถึงบุรุษที่เหมือนอสูรร้ายผู้นั้น ความคิดนี้ของมู่เฉียนซีก็พลันสลายไป นางหันมาพูดกับพ่อบ้านไป๋

“ท่านกลับไปเถอะ”

“โอ้! สวรรค์ ที่นี่มีสมุนไพรเยอะจริง ๆ” หลังจากยืนรอจนกระทั่งพ่อบ้านไป๋ออกไปไกลแล้ว มู่เฉียนซีก็ร้องออกมาเนื้อตัวสั่น นางเก็บความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ไม่ได้

‘หญิงอัปลักษณ์ หัดทำจิตใจให้มั่นคงบ้าง แค่เห็นพวกสมุนไพรธรรมดา ๆ นี่เจ้าก็ดีใจขนาดนี้แล้ว ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก’ เสียงเหน็บแนมดังขึ้น

“เจ้าถิงน้อย อย่ายุ่งหน่า ยังไงซะที่นี่ก็ไม่มีผู้อื่น” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าว

ได้ยินนางเรียกเช่นนี้ ‘อาถิง’ ผู้เป็นเจ้าของวาจากระแนะกระแหนก็ควันออกหู

“ข้าชื่ออาถิง ไม่ใช่เจ้าถิงน้อย”

หญิงสาวสวนกลับทันควัน ด้วยเสียงดังไม่น้อยหน้า “ข้าก็ชื่อมู่เฉียนซี ไม่ได้ชื่อหญิงอัปลักษณ์อะไรนั่นเหมือนกันนั่นแหละ”

“หึ!”

“เหอะ!”

หลังจากการต่อปากต่อคำจบลง เด็กหนุ่มผู้หยิ่งทะนงก็ไม่สนใจมู่เฉียนซีอีกเลย ส่วนมู่เฉียนซีนั้นก็สบายหูมากขึ้นไม่น้อย และเริ่มจดจ่ออยู่กับการปรุงยา

ในโลกนี้มี ‘หมอยา’ และ ‘นักปรุงยา’ อยู่มากมาย หมอยาสามารถรักษาโรคทั่วไปและปรุงยาง่าย ๆ ได้ส่วนนักปรุงยานั้นสามารถหลอม ‘เม็ดโอสถ’ ซึ่งเป็นยาที่นับได้ว่าหายากและล้ำค่ามากในโลกนี้ ฉะนั้นแล้วสถานะของนักปรุงยาจึงสูงส่งกว่าหมอยาเป็นอย่างมาก

มู่เฉียนซีรู้สึกสนใจวิธีการหลอมเม็ดโอสถของโลกนี้อย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการหนีออกไปจากสถานที่บ้า ๆ ที่เต็มไปด้วยผีและคนน่ากลัวนี่ให้ได้เสียก่อน หากนางสามารถปรุงยาตามตำราและสร้างยาพิษขึ้นมาได้ ของพวกนี้จะเป็นสิ่งวิเศษที่ช่วยให้นางหนีออกไปได้

คิดแล้วก็ลงมือทันที…

มู่เฉียนซีทุ่มเททั้งกายใจเพื่อปรุงยา ทั้งยาน้ำและยาพิษ ส่วนพ่อบ้านไป๋เองก็ไม่ได้มารบกวนนางแต่อย่างใด เขาเพียงแค่สั่งมนุษย์โครงกระดูกรับใช้ให้คอยส่งข้าวปลาอาหารให้เท่านั้น สามวันสามคืนผ่านไป ในที่สุดกระบวนการปรุงยาก็เสร็จสิ้น

มู่เฉียนซีกวาดตาดูโต๊ะที่มียาจำนวนมากวางอยู่ ทั้งยาน้ำ ยาพิษ และผงพิษ…

มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนร้ายกาจ

“ฮิ ๆ พ่อหนุ่มรูปงาม ข้าเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้ท่านเชียวนะ หวังว่าท่านจะชอบ”

เมื่อเก็บยาน้ำและยาพิษของตนเองเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็เดินออกไปจากห้องนั้น

พ่อบ้านไป๋เห็นนางจึงเดินเข้ามาทัก “แม่นาง ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ท่านอุดอู้อยู่แต่ในห้องยาถึงสามวัน ข้ากลัวนักว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ข้าต้องการไปจากที่นี่” นางมียาพิษเป็นที่พึ่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมาก

ทว่าพ่อบ้านไป๋กลับตอบว่า “แม่นางเป็นผู้ที่นายท่านพามา หากแม่นางต้องการจะไป ก็ต้องให้นายท่านอนุญาตก่อนขอรับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยพาข้าไปพบเขาที”

“ขอรับ”

เวลานี้ จิ่วเยี่ยกำลังจิบชาอยู่ในลานกว้าง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าตรงมายังที่นี่ เขาเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังมู่เฉียนซีที่กำลังเดินตรงมา เมื่อเปลี่ยนจากกระโปรงสีทองที่เปื่อยและขาดวิ่นมาสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนเช่นนี้ นางก็แลดูสง่าโดดเด่นขึ้นไม่น้อย ผิวพรรณของนางขาวดั่งหิมะ เครื่องหน้างามประณีต ดวงตาหลักแหลมคู่นั้นคล้ายจะเป็นประกายไหวระริก

มู่เฉียนซีเองก็พิจารณาบุรุษน่ากลัวอยู่เช่นกัน ในคืนที่พบกันนั้น ท้องฟ้ามืดสลัวไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน ตอนนี้เมื่อได้เห็นชัด ๆ นางยอมรับว่าเขาช่างเป็นอสูรที่รูปงามจริง ๆ ความเย็นชาในสายตาของเขาเย็นเยียบราวกับรูปปั้นน้ำแข็งอายุหมื่นปี และทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าเข้าใกล้

“ข้าอยากออกไปจากที่นี่ตอนนี้ ท่านต้องปล่อยข้าไป” มู่เฉียนซีเอ่ยขึ้นเสียงแข็งกร้าว

ตอนแรกมู่เฉียนซีคิดว่าบุรุษผู้นี้จะปฏิเสธ เพราะในตัวนางมีของวิเศษล้ำค่าอย่างศาลานิรันดร์ ‘ศาลาเลือนรางเก้าชั้น’ อยู่ ทว่านางกลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะขยับริมฝีปากเอ่ยคำว่า “ได้” ออกมา

มู่เฉียนซีชะงักไป เขายอมปล่อยนางไปง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ ยังไม่ทันจะได้เอายาพิษหม้อใหญ่ที่นางอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจเตรียมไว้มาประเคนให้เขาดื่มเลย

“เช่นนั้นข้าไปแล้วนะ” มู่เฉียนซีงุนงงจึงได้แต่เอ่ยคำลา ทว่าในขณะที่หญิงสาวกำลังหันหลังกลับนั้น จิ่วเยี่ยก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น

“ช้าก่อน”

ร่างบางพลันหยุดชะงัก นางรู้แล้วว่าชายผู้นี้ไม่มีทางยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่ ในมือข้างหนึ่งกำผงพิษแน่น เตรียมพร้อมลงมือจู่โจม

จิ่วเยี่ยเดินตรงเข้าหาสตรีที่เขาพาตัวกลับมายังจวน ก่อนจะคว้ามือขาวผ่องขึ้นแล้วเอาแหวนสลักลายดอกไม้สีฟ้าใสออกมาสวมเข้าที่นิ้วนางของมู่เฉียนซี

“ข้าให้เจ้า ของขวัญแทนคำขอโทษจากข้า” การกระทำประหลาด และเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อเป็นที่สุด ‘ขอโทษอย่างนั้นหรือ ?!’ มู่เฉียนซีชะงัก เตรียมจะถอดแหวนวงนั้นออก

“คำขอโทษของท่าน ข้าจะรับไว้ แต่ของขวัญนี้ข้ารับไม่ได้จริง ๆ”

ทว่า ณ เวลานี้ เสียงของอาถิงกลับกรีดร้องก้องในหัว

“หญิงโง่! อย่าโง่นักสิ! รีบรับไว้เร็วเข้า แหวนวงนี้คือหนึ่งใน ‘วัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์’ มันคือแหวนนิรันดร์ ‘แหวนมังกรเทพวารี’ เชียวนะ”

‘อะไรนะ!!! นี่คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เชียวรึ ?’

มู่เฉียนซีตะลึงลาน คนน่ากลัวผู้นี้มอบมันให้ผู้อื่นง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ แล้วคืนวันนั้นใครกันที่คิดจะฆ่านางเพื่อเอาศาลานิรันดร์ไป แต่วันนี้กลับมามอบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ทัดเทียมกับศาลานิรันดร์ให้นางเสียอย่างนั้น …‘ให้มาง่าย ๆ… ให้มาโดยที่นางมิต้องออกแรง… ช่างเป็นคนที่ยากจะหยั่งถึงโดยแท้’

เวลานี้มู่เฉียนซีชักเริ่มอยากจะเปิดกะโหลกของคนตรงหน้าออกดูแล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

“ห้ามปฏิเสธ มิเช่นนั้น ตาย”

‘รังสีสังหาร’ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาสีฟ้าเหมือนน้ำแข็งคู่นั้น ไม่ได้เกิดจากการแสร้งทำเพื่อข่มขู่นางเลยสักนิด เจตนานั้นเป็นของจริงอย่างแน่นอน ส่วนอาถิงก็ร้องตะโกนแทรกขึ้น

‘หากเจ้าไม่รับไว้ ข้าจะตายต่อหน้าเจ้าเลยคอยดู’ ของดีอย่างนี้ยังไม่ยอมรับไว้อีก หญิงบ้าผู้นี้โง่เง่าหรือไรกัน

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุก ยิ่งนานเข้านางก็ยิ่งพบว่าตนทนต่อบุรุษสองคนนี้ไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

หญิงสาวผู้ทั้งงุนงงและเอือมระอาเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “ไม่ว่าท่านจะมอบแหวนวงนี้ให้ข้าด้วยเหตุผลใด แต่อย่างไรเสีย ก็ขอขอบคุณท่านมาก”

เมื่อจิ่วเยี่ยยอมปล่อยตัวนาง มู่เฉียนซีก็ออกจากจวนของเขาไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวอาศัยความทรงจำในสมองค้นหาหนทาง และในที่สุดนางก็หาตำแหน่งจวนสกุลมู่จนพบ

หลังจากปีนกำแพงเข้าไปภายใน เสียงร้องไห้โหยหวนก็ดังเข้ามากระทบโสตประสาทในทันที นางเห็นว่ามีทั้งธงขาวและผ้าขาวแปะและแขวนอยู่เต็มจวน ณ ลานกว้างหลักของบ้านถูกจัดเป็นห้องโถงที่ตั้งศพ มีเสียงร้องห่มร้องไห้ดังออกมาจากด้านในอยู่ตลอดเวลา

“ฮือ ๆ ๆ ท่านผู้นำตระกูล ท่านตายอย่างน่าเวทนานัก” เมื่อได้ยินดังนี้ ใบหน้าอันงดงามของมู่เฉียนซีก็พลันบูดบึ้งขึ้นทันตา

.