ตอนที่ 6 พบชายหญิงไร้ยางอาย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่มู่เฉียนซีหายไปที่สุสานไร้ญาติ ดูเหมือนว่าคนในสกุลมู่จะคิดว่านางได้ตายไปแล้ว แม้แต่ห้องโถงตั้งศพก็สร้างจนแล้วเสร็จ เหลือแค่เพียงนำนางไปฝังดินให้ตายอย่างสงบเท่านั้น

มู่เฉียนซีเดินเข้าไปภายใน นางอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าผู้เฒ่าพวกนั้นจะจัดพิธีศพของนางที่เป็นถึงผู้นำตระกูลมู่อย่างไร ผู้คนที่อยู่ด้านนอกร่ำไห้ด้วยความโศกสลด แต่เมื่อไปถึงภายในบริเวณโถงตั้งศพกลับเงียบวังเวงเป็นที่สุด แท้จริงแล้วก็มิได้วังเวงนัก เพราะยังมีหญิงรับใช้ข้างกายนางคอยเฝ้าอยู่กลางโถงตั้งศพไม่ห่าง ทว่าเพียงพริบตาหญิงรับใช้ที่สวมชุดสีชมพูกลับค่อย ๆ เปิดโลงศพและยื่นมือเข้าไปล้วงของข้างในออกมาเงียบ ๆ

“ท่านผู้นำตระกูล ท่านสิ้นซากไร้กระดูก ท่านผู้เฒ่าจึงต้องตั้งสุสานฝังของใช้ให้ท่าน ข้างในมีแต่ของดีมีค่าที่ท่านใช้ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ทั้งนั้น หากท่านไม่เสียไปก่อนท่านก็มอบของพวกนี้เป็นรางวัลให้แก่ข้าอยู่แล้ว หากต้องนำไปฝังกลบดินให้เสียของ มิสู้ให้ข้าไว้ใช้เสียไม่ดีกว่าหรือ”

ปากของนางพูดไป มือก็พลอยหยิบเครื่องเงินเครื่องทองไข่มุกของมีค่ายัดใส่อกเสื้อตัวเอง ทันใดนั้นเสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้น

“ในเมื่อนายของเจ้าดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าก็จงฝังร่างตนเองไปพร้อมนางเสียเลยดีกว่า เมื่อไปอยู่ในนรกกับนายของเจ้าแล้ว อยากได้เท่าไรก็ย่อมได้มิใช่หรือ ?”

เมื่อ ‘ลู่อี้’ ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย นางก็พลันรู้สึกขนลุกขนพองไปทั่วตัว

— ตุบ ! —

นางรีบคุกเข่าลงและโขกหัวคำนับพื้นทันที

นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำตาว่า “นายท่าน ข้าไม่อยากตาย ข้ายังไม่อยากตายเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้ลากข้าไปฝังพร้อมท่านเลย ข้าไม่ได้ทำร้ายท่านจนตายนะเจ้าคะ หากท่านจะมาก็น่าจะไปหาคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลโอวหยางนะเจ้าคะ ฮือ”

“อืม เจ้าอยากจะให้ข้าตายขนาดนั้นเลยหรือ ?” ร่างในชุดสีม่วงอ่อนของมู่เฉียนซีลอยพลิ้วลงมายืนอยู่เบื้องหน้านาง

ลู่อี้เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้น ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ “ผีหลอก!”

“แค่ก แค่ก แค่ก…”

มือเรียวบางคู่หนึ่งบีบเข้าที่คอของนาง มู่เฉียนซียิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “อย่าร้องตะโกนเชียวนะ ถ้าร้องอีกทีข้าจะหักคอเจ้าเสีย”

— ตึง! —

มู่เฉียนซีผลักหญิงรับใช้ไปให้พ้นทางราวกับโยนผ้าขี้ริ้ว

ลู่อี้รู้สึกเจ็บปวดจนมิอาจลุกขึ้นได้ นางขดตัวอยู่ที่มุมห้องและมองไปยังมู่เฉียนซีอย่างหวาดผวา ร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ตอนที่นางถูกบีบคอมือของนายหญิงยังอุ่นอยู่… ‘เช่นนั้นก็แสดงว่านายหญิงยังไม่ตายน่ะสิ!’

แต่นายหญิงในยามนี้ช่างแตกต่างกับเมื่อก่อนเหลือเกิน ไร้ความอ่อนแอขี้ขลาดเหมือนวันวาน มีเพียงความเหี้ยมโหดอันตราย… ‘นี่คือผู้นำตระกูลมู่ของพวกนางจริง ๆ น่ะหรือ ?’

“นายหญิงได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ในยามปกติข้าก็แค่ลักขโมยเครื่องประดับมุกของท่านเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ข้าไม่เคยทำอะไรที่เป็นการทำร้ายท่านมาก่อนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา

มู่เฉียนซีทำท่าบอกไม่ให้หญิงรับใช้ส่งเสียงก่อนจะพูดเสียงเบาราวกระซิบ “เจ้าร้องไห้อยู่ในนี้ต่อไป ทำเป็นไม่เห็นว่าข้ามาที่นี่ ข้าจะคอยดูว่าวันนี้ยังจะมีใครมีใจมาเคารพศพผู้นำตระกูลอย่างข้าบ้าง”

มู่เฉียนซีเข้าไปแอบอยู่ที่หลังโลงศพ ส่วนลู่อี้มีหรือจะกล้าขัดคำสั่งนาง

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ สตรีผู้สวมอาภรณ์สีชมพูก็กระโจนเข้ามาพร้อมเอ่ยขึ้นว่า… “ซีเอ๋อร์ ฮือ ๆ ๆ เจ้าทิ้งข้าไปได้อย่างไร เราทั้งสองเปรียบเสมือนพี่น้องกัน เมื่อเจ้าตายไปแล้วข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”

‘เหอะ! ช่างร้องห่มร้องไห้ได้น่าเวทนาเสียจริง’ มู่เฉียนซีอุดหูของตัวเองไว้แน่นจะได้ไม่ต้องถูกเสียงร้องไห้นี้บาดแก้วหู เสียงคร่ำครวญของสตรีผู้นี้ฟังดูจอมปลอมเกินไป ทำราวกับคนรักเก่าสิ้นชีพกระนั้น

นางจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมมีใจรักมั่นเพียงท่าน ‘หลี่อ๋อง’ ผู้เป็นคู่หมั้นเท่านั้น ไม่มีรสนิยมชมชอบเพศเดียวกันแต่อย่างใด

ถัดจากนั้น บุรุษในเสื้อคลุมหรูหราผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วค่อย ๆ โอบประคองหญิงสาวอาภรณ์สีชมพูผู้ร่ำไห้ปานจะขาดใจขึ้นอย่างอ่อนโยน เพียงได้มองหญิงสาวที่น้ำตาเอ่อคลอตรงหน้า ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูน่าเวทนาขนาดนั้น หัวใจชายหนุ่มก็แทบจะละลายแล้ว

เขาปลอบโยนนางด้วยเสียงแผ่วเบา “อวิ๋นเอ๋อร์ คนตายไปแล้วมิอาจฟื้นคืน เจ้าอย่าได้ร้องไห้จนทำให้สุขภาพของตัวเองต้องย่ำแย่เลย”

“ฮือ ๆ ๆ แต่ข้าจะไม่ได้เจอเสี่ยวซีอีกแล้วตลอดชีวิต แม้พวกเราจะไม่ใช่พี่น้องร่วมอุทรมารดา แต่เราก็สนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ ๆ เสียอีก มาวันนี้นางกลับต้องมาตายจากไป ข้า…ข้า…” มู่หรูอวิ๋นคร่ำครวญปนสะอึกสะอื้นจนหายใจหายคอไม่ทัน ใบหน้านั้นซีดขาวดูราวกับจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ

‘ซวนหยวนหลี่เทียน’ นึกเวทนาสตรีในอ้อมกอดเป็นที่สุด เขาจ้องไปยังโลงศพนั้นอย่างดุร้าย สายตาเต็มแน่นด้วยความเคียดแค้น ในใจนึกเกลียดชังคนในโลงศพยิ่งนัก

มู่เฉียนซีคนไร้ค่าเปล่าประโยชน์ผู้นี้ ตายไปแล้วก็ยังไม่ยอมให้ผู้อื่นได้สงบสุข ยังจะทำให้อวิ๋นเอ๋อร์ต้องมาร้องไห้เพราะการตายของนางอีก

ทว่า ชายหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ก็ผู้ใดใช้ให้อวิ๋นเอ๋อร์เห็นคุณค่าของมิตรภาพมากเกินไปเล่า

หลังปลอบประโลมสตรีในอ้อมแขนครู่หนึ่ง ซวนหยวนหลี่เทียนก็ตะโกนขึ้น “ทหาร! นำของกำนัลที่องค์ชายผู้นี้จัดหามาไปมอบให้กับผู้นำตระกูลมู่”

สิ้นคำสั่ง ชายฉกรรจ์แปดคนหามโลงศพมรกตเข้ามา ด้านนอกโลงศพฝังด้วยมุกและพลอยมากมายนับไม่ถ้วน มูลค่าเทียบได้กับทองพันชั่งทีเดียว

ท่านผู้เฒ่าใหญ่และผู้เฒ่ารองที่อยู่ด้านข้างพากันมองไปยังซวนหยวนหลี่เทียนอย่างตื่นตะลึงพร้อมกับถามขึ้น “ท่าน หลี่อ๋อง นี่…”

“ซีเอ๋อร์ชมชอบของสวยงามและโอ่อ่าเช่นนี้ โลงหยกเนื้อเย็นนั่นธรรมดาไปหน่อย โลงมรกตนี้ดูจะเหมาะกับซีเอ๋อร์มากกว่า อย่างไรเสียซีเอ๋อร์ก็เป็นคู่หมั้นข้า ต่อให้นางตายไปแล้ว ข้าก็อยากให้นางมีสถานที่งดงามที่นางจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย”

ผู้เฒ่าทั้งสองได้ยินดังนี้ก็ตอบอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบพระคุณท่านอ๋องมากพ่ะย่ะค่ะ”

มู่หรูอวิ๋นมีท่าทีซาบซึ้ง “ท่านพี่หลี่เทียน ท่านช่างดีกับซีเอ๋อร์เหลือเกิน หากเสี่ยวซีที่อยู่ในปรโลกได้รับรู้ก็จะต้องซาบซึ้งมากเป็นแน่”

มู่เฉียนซีที่ควรอยู่ในปรโลกและต้องซาบซึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น บัดนี้ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและได้แต่แสยะยิ้มเย็นชา หากวันนี้นางตายไปแล้วจริง ๆ เมื่อโลงมรกตที่ประดับประดาด้วยของมีค่ามากมายถูกหามออกจากจวนสกุลมู่ เรื่องที่ว่าผู้นำตระกูลมู่ตายแล้วก็ยังมิวายฟุ่มเฟือย ผลาญสมบัติ คงจะได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นจื่อเยี่ยเป็นแน่

‘มอบขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้มาให้ หลี่อ๋องผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาดีอย่างแน่นอน’ มู่เฉียนซีคิด

ซวนหยวนหลี่เทียนเอ่ยขึ้น “ท่านผู้เฒ่ามู่ สามปีที่แล้วข้าและซีเอ๋อร์ตกลงหมั้นหมายกัน แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ยังไม่ทันได้เป็นพระชายาของข้า นางก็ต้องมามีชะตากรรมเช่นนี้เสียแล้ว ข้าเศร้าเสียใจนัก”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์และเศร้าโศก ชวนให้คนฟังเชื่อว่าเขาอยากจะแต่งงานกับมู่เฉียนซีเสียเหลือเกิน

“ตอนนี้ซีเอ๋อร์สิ้นชีวิตแล้ว แต่ข้าไม่อยากจะเป็นคนไร้สัจจะ สัญญาหมั้นหมายนี้ข้าจะไม่ยอมยกเลิกโดยเด็ดขาด อย่างไรซีเอ๋อร์และอวิ๋นเอ๋อร์ก็มีไมตรีดั่งพี่น้อง หากอวิ๋นเอ๋อร์แต่งงานกับข้าแทนซีเอ๋อร์ได้ ซีเอ๋อร์ย่อมต้องดีใจ และอวยพรให้แก่พวกเราเป็นแน่”

มู่หรูอวิ๋นเมื่อได้ยินดังนั้น แม้คราบน้ำตายังไม่ทันแห้งสนิทก็เอ่ยขึ้นน้ำเสียงจริงใจว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าสัญญาจะรักและดูแลท่านพี่หลี่เทียนแทนเจ้าเป็นอย่างดีเอง”

.