มู่เฉียนซียิ้มเย็น ‘คู่หญิงชั่วชายเลว ช่างเหมาะสมกันโดยแท้! วางแผนชั่วช้า ถือโอกาสเปลี่ยนตัวเจ้าสาวในพิธีศพนาง แล้วยังเสแสร้งปั้นหน้าใสซื่อ กล่าวว่าตนเป็นผู้มีคุณธรรมได้อีก’

“หึ ๆ ๆ หลี่อ๋อง ยังไม่ทันได้ถอนหมั้น ท่านก็จะเลือกคู่ใหม่แล้วหรือ ใจร้อนไปหน่อยกระมัง”

วาจาเหน็บแนมดังขึ้น เสียงนั้นเย็นเยียบและฟังดูร้ายกาจจนน่าขนลุก หลี่อ๋องไม่อาจฟังออกว่าเป็นเสียงของผู้ใด

“นั่นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้ โถงตั้งศพของซีเอ๋อร์ไม่ใช่ที่ให้เจ้ามาล้อเล่น”

มู่เฉียนซีเยื้องย่างออกมาจากมุมมืดด้านหลังโลงศพของตน เมื่อคนในโถงเห็นใบหน้าอันแสนคุ้นเคยนั่น ก็พลันหน้าเปลี่ยนสี

“ผีหลอก!”

“ศพเดินได้!”

“…”

เพียงไม่นาน โถงตั้งศพของสกุลมู่ก็โกลาหลไปหมด มู่หรูอวิ๋นเบิกตากว้าง นางจ้องมู่เฉียนซีอย่างตะลึงงัน ปากคอสั่นพูดจาไม่เปนภาษา

“ซีเอ๋อร์… เจ้าคือซีเอ๋อร์…”

“ลู่อี้ สั่งสอนมู่หรูอวิ๋นให้ข้าที ชื่อเล่นของข้า ให้นางเรียกได้หรือ” มู่เฉียนซีเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าวาจานั้นบาดลึกราวคมมีด

“เจ้าค่ะ…”

ลู่อี้กำลังจะลงมือตบตีมู่หรูอวิ๋น แต่กลับถูกซวนหยวนหลี่เทียนขวางไว้ พร้อมเอ่ยอย่างกราดเกรี้ยว

“หยุดนะ! มู่เฉียนซี ก่อกวนพอหรือยัง เจ้าแกล้งตายทำให้อวิ๋นเอ๋อร์เสียใจร้องไห้ใจแทบขาด ถึงขนาดนี้แล้วยังกล้ารังแกนางอีกหรือ”

“ยามปกติ เจ้ามันหยิ่งยโสจองหอง เอาแต่ฟุ้งเฟ้อไร้แก่นสาร ทำตัวไร้ค่า ไร้ยางอายไปวัน ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจจริงแท้ก็ยังร้ายกาจ กล้าทำกับพี่น้องถึงเพียงนี้”

มู่เฉียนซียิ้มหยัน

“หลี่อ๋อง อยากปกป้องหญิงงาม ก็อย่ามาทำในบ้านข้า… ที่นี่ ข้ามู่เฉียนซีเป็นใหญ่ที่สุด ส่วนมู่หรูอวิ๋น หากนับให้ดีนางก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น”

มู่หรูอวิ๋นหน้าซีดเผือด ตั้งแต่ครั้งแรกที่มู่เฉียนซีปรากฏตัวในบ้านสกุลมู่ เพราะทั้งสองวัยใกล้เคียงกันจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นเพื่อนเล่นกันได้ แต่ไหนแต่ไร เสื้อผ้าอาภรณ์ของกินของใช้ที่มู่เฉียนซีมีนางเองก็ได้รับ และทั้งหมดก็ล้วนสามารถเทียบเคียงได้กับองค์หญิงแห่งแคว้นจื่อเยี่ย ทว่านั่นกลับไม่ได้ช่วยลบล้างความจริงที่ว่า แม้ท่านปู่ของนางจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เฒ่าสกุลมู่ แต่ก็เป็นเพียงบ่าวที่คอยรับใช้สกุลมู่เป็นวัวเป็นควายเท่านั้น ดังนั้นสถานะของนางจึงเป็นได้เพียงบ่าวรับใช้ของที่นี่ตลอดไป

มู่หรูอวิ๋นนึกชิงชังยิ่งนัก เหตุใดกัน ทั้งที่นางเป็นเลิศกว่ามู่เฉียนซีทุกด้าน แต่กลับต้องอยู่ต่ำกว่ามู่เฉียนซีเพียงเพราะชาติกำเนิด

มู่เฉียนซีอยากแต่งงานกับใคร เพียงทูลขอฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้ก็ได้แต่ง ส่วนนางกลับทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนมองชายอันเป็นที่รักตบแต่งกับหญิงอื่น

มู่เฉียนซีสิ้นลมไปแล้วแท้ ๆ เหตุใดนางถึงฟื้นชีพขึ้นมาได้ แล้วยังจะกลับมาแย่งท่านพี่หลี่เทียนไปอีก

ในตอนนั้น ซวนหยวนหลี่เทียนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “มู่เฉียนซี อวิ๋นเอ๋อร์เห็นเจ้าเป็นพี่น้องแท้ ๆ มาตลอด แต่แท้จริงแล้วในสายตาเจ้ากลับมองนางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ข้ามองคนผิดไปจริง ๆ”

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย วันนี้ข้าขอบอกเจ้า ข้าไม่มีวันแต่งกับเจ้าเป็นอันขาด ข้าจะแต่งกับอวิ๋นเอ๋อร์ ต่อให้ชาติกำเนิดของนางไม่สูงส่งเหมือนเจ้า แต่นางก็มีความรู้ มากพรสวรรค์ และอ่อนโยนรู้จักดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น ทั้งหหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าไม่มีทางเทียบได้”

ผู้คนในโถงต่างส่งเสียงฮือฮา เดิมทีการที่ได้รู้ว่าท่านผู้นำตระกูลยังมีชีวิตอยู่นับเป็นเรื่องดี แต่การได้เห็นฉากถอนหมั้นในตอนนี้กลับเลวร้าย ไม่คาดคิดว่าหลี่อ๋องจะถอนหมั้นในเวลาเช่นนี้ได้

ท่านผู้นำตระกูลหลงใหลหลี่อ๋องถึงเพียงนั้นจะยอมรับเรื่องถอนหมั้นได้อย่างไร นางจะไม่โมโหจนเสียสติไปเลยหรือ ?

ทว่ามู่เฉียนซีกลับยิ้มเยาะ แล้วเอ่ยเสียงขบขัน “หลี่อ๋องอยากถอนหมั้นเพื่อแต่งกับหญิงอื่น คิดว่าท่านสามารถทำได้หรือ ต่อหน้าข้าท่านไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น”

ซวนหยวนหลี่เทียนเงียบสนิทไร้วาจา การแต่งงานครั้งนี้ เสด็จพ่อทรงเป็นผู้พระราชทานให้แม้ว่าเขาจะมียศถาเป็นถึงองค์ชาย แต่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ องค์ชายผู้หนึ่งย่อมไม่อาจเทียบกับผู้นำตระกูลมู่ที่เป็นผู้กุมชีพจรเศรษฐกิจของแคว้นจื่อเยี่ยได้

ในตอนนั้นเอง มู่หรูอวิ๋นก็ปั้นหน้าแน่วแน่เดินเข้าหามู่เฉียนซีอย่างอาจหาญ “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมองข้าเช่นนั้นมาตลอด เป็นข้าเองที่ไม่เจียมตัวถึงได้นับคนอย่างเจ้าเป็นพี่น้อง ข้ารักท่านพี่หลี่เทียนจริง ๆ โปรดหลีกทางให้พวกเราได้สมหวังด้วย”

กล่าวจบ มู่หรูอวิ๋นก็เล่นบทน่าสงสารต่อ นางกำลังจะคุกเข่าลงแสร้งทำท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ ทว่าซวนหยวนหลี่เทียนกลับรุดเข้ามารั้งร่างนางไว้ก่อน

“หรูอวิ๋น อย่าไปขอร้องหญิงต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้ ต่อให้นางเป็นผู้นำตระกูลมู่แล้วจะอย่างไร ข้ารักเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้น!” ซวนหยวนหลีเทียนมองมู่หรูอวิ๋นด้วยแววตารักใคร่ลึกซึ้ง

“ท่านพี่หลี่เทียน…”

มู่หรูอวิ๋นมองเขากลับอย่างลึกล้ำเช่นกัน พร้อมกันนั้นก็ทำทียืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะมองไปยังมู่เฉียนซีอีกครั้ง

“ซีเอ๋อร์ มีบางคำที่ข้าไม่เคยเอ่ยกับเจ้า กลัวจะทำให้เจ้าต้องเจ็บช้ำ แต่วันนี้เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าจำเป็นต้องพูด”

“เรื่องฝึกตนบำเพ็ญตบะเจ้าก็ทำไม่ได้ พรสวรรค์เจ้าก็ไม่มี หน้าตารึก็…”

“ฮึ! คนที่ทำได้แค่ขายรอยยิ้มในหอคณิกาอย่างเจ้า จะสามารถเทียบกับข้าได้อย่างนั้นหรือ!” มู่หรูอวิ๋นเอ่ยอย่างเย้ยหยัน เดิมทีนางต้องการปรามาสใบหน้าของมู่เฉียนซีแต่เมื่อได้เห็นใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้น ประโยคหลังของสตรีผู้คิดว่าตนเหนือกว่าทุกด้านจึงแผ่วเบาไม่มั่นใจ ทั้งยังฟังฮึดฮัดขัดใจเต็มที

คำพูดของมู่หรูอวิ๋นทำให้ทุกคนจ้องมองไปยังมู่เฉียนซี ใบหน้าซึ่งไร้การแต่งแต้มนั้น ช่างโดดเด่นงามล้ำเหนือผู้ใด

เมื่อก่อนใบหน้าของท่านผู้นำตระกูลมักถูกแต้มทาด้วยแป้งผัดหน้าจนหนา เครื่องสำอางก็หลากสีสันชวนวิงเวียน มองแล้วขัดตา ไม่นึกว่ายามที่ล้างออกจะงดงามถึงเพียงนี้ รูปโฉมของนางในยามนี้งดงามเลิศล้ำไร้ที่ติ ดวงตาดำขลับคู่นั้นมีประกายไหวระริก ทำให้ผู้พบเห็นมิอาจละสายตาได้

‘นางยังใช่ผู้นำตระกูลของพวกเขาอยู่หรือไม่’

ซวนหยวนหลี่เทียนเองก็พิศมองหญิงงามตรงหน้า รูปโฉมนี้เมื่อบวกรวมกับท่วงท่าสูงศักดิ์แฝงแววร้ายกาจของนางแล้ว ก็ทำเขาตกตะลึงไม่แพ้กัน

มู่หรูอวิ๋นจิกเล็บลงในฝ่ามืออย่างเจ็บช้ำ นางรู้มาตลอดว่ามู่เฉียนซีนั้นเป็นหญิงงาม จึงได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อลวงให้นางใช้สารพัดเครื่องแป้งมาปิดบังรูปโฉมโดดเด่นนั้นไว้ เหตุผลหนึ่งก็เพื่อไม่ให้หลี่อ๋องถูกตาต้องใจ

ไม่คิดว่าวันนี้นางจะเผยใบหน้าแท้จริงออกมา ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากใบหน้าอันงดงามของนางแล้ว ยังมีเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าหาอีกด้วย

มู่หรูอวิ๋นหันมาก็พบว่าซวนหยวนหลี่เทียนจิตใจล่องลอยไปแล้วจริง ๆ

สตรีผู้กำลังคิดริษยาจึงรีบส่งเสียงเรียกเขาอย่างน่าสงสาร “ท่านพี่หลี่เทียน…”

ซวนหยวนหลี่เทียนหวนคืนสติได้ จึงเอ่ยเสียงเย็นชา

“รูปโฉมงดงามอย่างเดียวก็เป็นได้เพียงแจกันดอกไม้ ความสามารถของเจ้าไม่มีวันเทียบอวิ๋นเอ๋อร์ได้หรอก”

“เหอะ! ไม่มีวันเทียบได้อย่างนั้นหรือ ?”

แววตาของมู่หรูอวิ๋นมีประกายเย็นเยียบปรากฏขึ้นชั่ววูบ ก่อนจะแสร้งถามด้วยเสียงอ่อนโยน

“ซีเอ๋อร์ไม่ยอมรับหรือ ?”

นางรู้จักมู่เฉียนซีดี มีหรือคนผู้นี้จะรอดพ้นคำยั่วยุได้ ผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ชอบเอาชนะแก่งแย่งชิงดีเป็นที่สุด หากบีบให้มู่เฉียนซีประลองสักตั้ง ถึงเวลานั้นนางก็ค่อยทำทีว่าพลั้งมือฆ่ามู่เฉียนซีทิ้งเสีย งานศพอันสมเกียรตินี้ก็จะดำเนินต่อไปได้แล้ว

อีกทั้งยังมีร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นเจ้าของงานพักผ่อนอยู่ในโลงจริง ๆ เสียด้วย

.