ตอนที่ 68-1 โกรธแล้ว!

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ยินดีด้วยที่ท่านได้ตั๋วชมการแสดงตลอดทั้งเดือน

 

 

ที่แท้อวิ๋นหว่านถงนั่งอยู่ริมทางเดิน และชายผู้ได้รางวัลต้องเดินไปรับรางวัลบนเวที ขณะเดินผ่านผู้ชมที่นั่งกันอย่างหนาแน่นตรงชั้นล่าง ทางก็แคบ ไม่ทันระวัง เสียดสีถูกนางเข้า นางจึงร้องออกมาคำหนึ่งอย่างตกใจ

 

 

ชายผู้นี้เป็นคนเดินถนนที่ดื่มสุรามาบ้าง จึงมึนเล็กน้อย เดิมทีกำลังจะด่ากลับ แต่พอเห็นแม่นางน้อยหน้าตาไม่เลว ก็ยื่นมือออกกะจะลูบหน้านางเพราะฤทธิ์สุรา

 

 

บ่าวในบ้านที่ติดตามมาก็รีบกระโจนเข้า รวบตัวไว้ บิดแขนไปด้านหลัง

 

 

เห็นชัดว่า อนุฟางแม้ไม่กล้าบ่นคนปากจัดอย่างไป๋เสวี่ยฮุ่ยและพี่สะใภ้ซึ่งหน้า แต่พอลูกสาวได้รับความไม่เป็นธรรม ก็อดรนทนไม่ไหว

 

 

“น้องว่าแล้ว โรงละครเป็นที่ที่แออัด ผู้คนที่ชั้นล่างก็ผสมปนเปกันไปหมด ล้วนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เรามันแต่งงานแล้วก็แล้วกันไป แต่คุณหนูใหญ่ยังไม่ออกเรือน ไม่ควรพามาที่นี่!”

 

 

แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ชอบที่นี่ แต่พอเห็นอวิ๋นหว่านถงถูกแต๊ะอั๋ง แล้วอนุฟางโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก็ลอบดีใจ สมน้ำหน้า ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เจ้าเล่นข้าล่ะ

 

 

แต่พออนุฟางพูดจบ กลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าก็ส่งเสียงดังโหวกเหวก

 

 

ชายขี้เมาหลุดจากการถูกจับกุมเมื่อครู่ กระโจนกลับเข้ามาในโรงละคร

 

 

ตอนเขาถูกกุมตัวออกไป ถูกบ่าวบ้านสกุลอวิ๋นด่าว่าสองสามคำ สุราก็ออกฤทธิ์ จึงฮึดสู้ขึ้นมา บวกกับเขาเป็นนักเลงอันธพาลในเมืองที่ไม่กลัวตาย พอเมาสุรา แรงก็ยิ่งมาก เหวี่ยงหมัดใส่บ่าวที่รูปร่างผอมบางไปสองหมัด แล้วกระโจนกลับเข้ามา ก้าวเข้าไปที่โต๊ะ จับข้อมืออวิ๋นหว่านถงไว้ พร้อมถลึงตามองนางด้วยดวงตาอันแดงก่ำจากฤทธิ์สุรา พลางด่าทอ

 

 

“มารดาเจ้า สูงส่งอะไรนักหนา! ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ลูกพี่ลองมาหมดแล้ว ขนาดนางโลมชั้นหนึ่งบนเรือสำราญว่านชุน ลูกพี่ก็ลองมาแล้ว! คุณหนูลูกผู้ดีแล้วไง หา เพราะลูกพี่ไม่ได้ให้เงินหรือไง! ถึงได้กล้าอัดลูกพี่!”

 

 

คำพูดหยาบโลนเช่นนี้ อวิ๋นหว่านถงที่ถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในเรือน ไหนเลยจะเคยฟังมาก่อน พอได้ยินนักเลงหัวไม้เอาตนไปเปรียบกับนางโลมในหอโคมเขียว ก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ รีบร้องตะโกน

 

 

“ใครก็ได้ มาลากตัวมันไปเร็ว…”

 

 

คนเมาพยศดั่งช้างสาร พอบ่าวที่ถูกต่อยเมื่อครู่ โถมตัวเข้าไป ก็ถูกโยนออกมาทันที

 

 

เสียงผู้คนในโรงละครหวีดร้อง เมื่อนักแสดงบนเวที ร้องเพลงได้ถูกใจ โดยไม่ทันสังเกตเห็นคนไม่กี่คนที่มีเรื่องกันอยู่ด้านล่าง หรือต่อให้สังเกตเห็น ในที่ที่ฝูงชนมารวมตัวกัน การชกต่อยเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเห็นกันชนชินตาแล้ว

 

 

ในเมืองหลวงที่หรูหราทันสมัย ใจคนกลับเย็นชา ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามสักคน

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถอยออกไปยืนอยู่อีกด้านแต่แรกแล้ว และกำลังจับหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ดีที่นาง

 

 

มองการณ์ไกล ส่งลูกสาวตัวเองกลับไปก่อน แต่พอเห็นลูกเมียน้อยถูกลบหลู่ นางผู้เป็นนายหญิงของบ้านจะนิ่งดูดายก็กระไรอยู่ แต่พอเหลือบตามองอนุฟางที่หน้าขาวซีดราวกระดาษ ก็แอบสะใจ ก่อนเอ็ดตะโรบ่าว

 

 

“แต่ละคนเลี้ยงเสียข้าวสุกหรือไง ยังไม่รีบเข้าไปช่วยคุณหนูสาม ลากเจ้าขี้เมาออกมาอีก!”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ออกมายืนขวางอยู่หน้าคุณหนูของตนแต่แรก ด้วยเกรงว่าชายขี้เมาจะกระโจนเข้ามา

 

 

อาจเพราะอวิ๋นหว่านถงสะอื้นไห้ไม่หยุด ชายขี้เมาจึงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ พอหันไปมองด้านข้าง ก็สะดุดตาแถวเมี่ยวเอ๋อร์ เนื่องจากเห็นว่าด้านหลังของนางมีแม่นางน้อยอีกคนหนึ่ง คล้ายโตกว่าและสูงกว่านิดหน่อย หน้าตาก็สมบูรณ์แบบ ดูใสและโดดเด่นมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังสงบนิ่งได้ มิหนำซ้ำดวงตากลมโตยังจ้องมองมาที่ตนอย่างเยือกเย็น มีความระแวดระวังอยู่เจ็ดส่วน อีกสามส่วนกำลังดูแคลนตน น่าสนใจยิ่ง

 

 

ชายขี้เมาสะอึกไปทีหนึ่ง ดวงตาคล้ายติดตะขอ เกี่ยวกระหวัดอวิ๋นหว่านชิ่นขณะจ้องมอง

 

 

อวิ๋นหว่านถงตื่นตระหนกจนสติแตก พยายามหาวิธีสลัดตนเองให้หลุด จึงฉวยโอกาสขณะที่ชายขี้เมาจ้องมองพี่สาว ร้อง “อ๊าก” ออกมาคำหนึ่ง พลางดิ้นอย่างสุดแรงเกิด ผลักชายขี้เมาเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่น แล้ววิ่งเข้าหาอนุฟาง

 

 

ซึ่งจริงๆ แล้วชายขี้เมาสามารถขืนตัวให้ยืนอยู่ได้ แต่พอเห็นว่ากำลังจะได้ใกล้ชิดกับสาวงามตรงหน้า ก็จงใจปล่อยตัว แกล้งโผเข้าล้มทับ…

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นได้กลิ่นสุรารุนแรงอยู่ก่อนแล้ว จึงฉวยโอกาสก่อนชายขี้เมาโผเข้าหา ขยับร่างพร้อมลากเมี่ยวเอ๋อร์ไปด้วย เลี่ยงการถูกแต๊ะอั๋งไปได้

 

 

พอชายขี้เมาโผเข้าหาความว่างเปล่า ก็ยั้งตัวไว้ไม่อยู่ ศีรษะกระแทกเข้ากับเสาอย่างจัง ก่อนบวมปูดเท่าลูกซาลาเปา อับอายขายหน้ายิ่ง พอหันกายก็ตะโกนขึ้นอย่างโกรธแค้น

 

 

“ดีล่ะ…เมื่อพวกเจ้าลงมือก่อน…ก็จ่ายค่าเสียหายมา! มิเช่นนั้นก็ไปอำเภอกัน!”

 

 

อวิ๋นหว่านถงหลบตัวลีบอยู่หลังมารดา พอเห็นว่าจับนางไม่ได้ ชายขี้เมาก็หันมาจับอวิ๋นหว่านชิ่นแทน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงร้อง “ญาติผู้พี่!”

 

 

“เรียกลูกพี่ว่าญาติผู้พี่รึ? ต่อให้เรียกนายท่านก็ไร้ประโยชน์! สาวน้อย ต้องพูดว่า สามี…ข้าผิดไปแล้ว ลูกพี่ถึงจะยกโทษให้!” ชายขี้เมาถูจมูก พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์

 

 

แต่ยังไม่ทันหุบยิ้ม หลังศีรษะก็คล้ายมีของแข็งลอยมากระแทกดัง ‘โครม’

 

 

เก้าอี้ยาวตัวหนึ่งหล่นอยู่บนพื้น หักเป็นสองท่อน

 

 

ชายขี้เมาถูกคนขว้างเก้าอี้ใส่จนมึน หมุนตัวล้มลงกับพื้น ไม่ได้สติไปครึ่งค่อนวัน

 

 

สวี่มู่เจินยืนปรบมือตรงชานพักบันได ก่อนถกชุดยาวก้าวลงบันไดมา จับคอเสื้อด้านหลังของชายขี้เมาขึ้น แล้วหันไปบอก

 

 

“นางเรียกข้าว่าญาติผู้พี่ต่างหาก! เจ้าสะเออะมาทำไม”

 

 

ชายขี้เมาค่อยได้สติ “ช่างญาติผู้พี่ญาติผู้น้องเจ้า! วันนี้ตีเจ้าให้ตายก็สิ้นเรื่อง!” ว่าแล้วก็เหวี่ยงหลังหมัดไปด้านหลัง

 

 

สวี่มู่เจินปฏิกิริยาไว รับไว้ได้พอดี ทว่าแม้กันหมัดไม่ให้ต่อยถูกใบหน้าได้ แต่พลังหมัดยังคงพัดผ่านใบหน้า

 

 

กล้าชกใบหน้า เขตหวงห้ามข้ารึ!

 

 

สวี่มู่เจินหน้าเปลี่ยนสี คร้านที่จะเล่นสนุกแล้ว จึงบีบหมัดเขาไว้ ยืมพลังหมัดของเขา เหวี่ยงเขาไปด้านหลัง แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “รางวัลหมัดนี้ ส่งไปที่อำเภอ”

 

 

ชายสองคนรีบลงจากบันได มากุมตัวชายขี้เมาไว้ “ขอรับ คุณชายสวี่”

 

 

“อ้อ จริงสิ เวลาชก ต้องชกมาที่ใบหน้าให้มากหน่อย!”

 

 

สวี่มู่เจินเสริมทิ้งท้ายอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนใช้ง่ามนิ้วโป้งและนิ้วชี้จับใบหน้าขยับไปมา ตรวจดูว่าเสียหายตรงไหนหรือไม่

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามชายสองคนไป เครื่องแบบผู้คุ้มกันของพวกเขาสวยงามมาก กระทั่งแอบหรูด้วยซ้ำ หน้าตาแบบนี้ ไม่ใช่คนบ้านสกุลสวี่

 

 

คนทั้งสองสวมเครื่องแบบราคาแพง มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนของญาติผู้พี่ เพราะญาติผู้พี่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ นายของพวกเขาต้องเคารพนับถือญาติผู้พี่มาก…

 

 

ผู้ที่อยู่ชั้นบนคือ…

 

 

ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังขบคิด สวี่มู่เจินก็ก้าวเข้ามา

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงก้าวเข้าไป “ที่แท้ก็คุณชายน้องสวี่นี่เอง วันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก หาไม่แล้วคุณหนูใหญ่ก็ถูก…” แล้วจึงหันหาอวิ๋นหว่านชิ่น จับมือนางไว้ “ชิ่นเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่ไหม”

 

 

สวี่มู่เจินไม่แม้แต่จะมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย ตอบอย่างเย็นชา “สตรีกลุ่มใหญ่ออกนอกบ้าน อีกทั้งยังมาสถานที่อึกทึกครึกโครมเช่นนี้อีก ควรพาคนคุ้มกันมามากหน่อย ลำพังบ่าวธรรมดาเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน! วันนี้ที่ออกจากบ้านมา ใครเป็นคนจัดการ ไม่รู้จักแยกแยะแม้แต่น้อย!”