ตอนที่ 68-2 โกรธแล้ว!

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นแม่เลี้ยงของอวิ๋นหว่านชิ่น ถ้าพูดถึงสายสัมพันธ์ ก็ถือว่าเป็นญาติอาวุโสของสวี่มู่เจิน แต่หมอนี่ แม้ไม่โอภาปราศรัยกับตน พอเห็นหน้าตน อย่างน้อยก็น่าจะเรียกตนว่าฮูหยินสักคำ แต่ตอนนี้ นอกจากไร้มารยาท ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแล้ว ยังใช้วาทศิลป์ พูดเสียดสีตนกลายๆ อีก จึงหน้าเขียว แล้วว่า

 

 

“คุณชายน้องสวี่พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ในเมืองหลวงใต้ร่มพระบารมีเช่นนี้ ข้าไหนเลยจะรู้ว่า จะพบเจออันธพาลเข้า เวลาออกนอกบ้าน พาคนคุ้มไปมากมายทำไม ข้าไม่ใช่พระชายา ญาติผู้น้องเจ้าก็ไม่ใช่องค์หญิงสักหน่อย สกุลอวิ๋นเรา มิได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น กลับเป็นคุณชายน้องสวี่เองต่างหาก จะอย่างไรข้าก็เป็นผู้อาวุโส ไม่เคารพข้าก็แล้วกันไป หรือลูกชายที่สกุลสวี่อบรมมา ก็ล้วนไม่เคารพผู้ใหญ่แบบนี้ ขณะพูดยังไม่มองหน้าเลย!”

 

 

ไม่เคารพ? สวี่มู่เจินยกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่ง สตรีนางนี้ ทำร้ายอาหญิงของตน ใยตนต้องเคารพด้วย

 

 

สวี่มู่เจินทอประกายตา ก่อนหันหน้าหล่อๆ มามองนาง พลางกดเสียงลงต่ำ

 

 

“ข้ายังนึกเสียดายอยู่ว่า ตัวเองเป็นผู้ชาย ไม่สะดวกลงมือกับผู้หญิง หาไม่แล้ว ใบหน้าเจ้าน่าจะมีรอยมีดสักสองรอย! แต่ถ้าวันใด ข้าโหดเ**้ยมขึ้นมา คร้านที่จะเป็นวีรบุรุษลูกผู้ชายอะไรแล้วล่ะก็ อวิ๋นฮูหยิน อย่าหาว่าข้า…ยิ่งกว่าไม่เคารพผู้อาวุโสก็แล้วกัน”

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตะลึงงัน ไม่รู้มาก่อนว่า เวลาที่คุณชายน้องสวี่ขู่คน จะตรงไปตรงมา ไม่คดเคี้ยวเลี้ยวลดสักนิดเช่นนี้!

 

 

ญาติผู้พี่ ท่านตรงเกินไปแล้ว ไม่อ่อนโยนแม้แต่น้อย อวิ๋นหว่านชิ่นอยากยกมือก่ายหน้าผาก

 

 

เมื่อไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นว่าดวงตายิ้มๆ ของสวี่มู่เจินเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน ก็ถอยหลังสองก้าว จับมุมโต๊ะไว้ พลางว่า “ไป ไป กลับจวน”

 

 

หวงน้าสี่กอดลูกๆ ทั้งสองไว้แล้วย้ายไปหลบด้านข้าง ตั้งแต่ชายขี้เมาอาละวาดแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นว่าปลอดภัย ก็จูงมืออาจู้กับอาเม่าออกมา พอได้ยินว่าจะกลับ ก็รู้สึกว่ายังเที่ยวได้ไม่จุใจ

 

 

“หา? จะกลับแล้ว?”

 

 

“ทำไงได้!” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองนิ่ง “เพิ่งถูกไอ้ขี้เมาก่อกวนไป หรือพี่สะใภ้ยังมีใจเที่ยวอีก ถ้ามีใครรู้ว่าเราเป็นคนของจวนรองเจ้ากรม มิขายหน้ารึ! เด็กๆ ไปเอารถม้ามา ไป!”

 

 

ทำไมจะไม่มีใจเที่ยว ยากนักกว่าจะออกมาได้สักครั้ง ก็กะอีแค่ไอ้ขี้เมาคนหนึ่ง ลากตัวออกไป ก็จบเรื่องแล้วนี่ หวงน้าสี่บ่นพึมพำ

 

 

และในตอนนี้เอง เด็กรับใช้ในชุดสีน้ำเงินก็วิ่งลงมาจากชั้นบน คล้ายมาส่งข่าว เขย่งเท้ากระซิบที่ข้างหูสวี่มู่เจิน แล้วสวี่มู่เจินก็ยกมือปรามกลุ่มคน “ช้าก่อน!”

 

 

กลุ่มคนชะงักฝีเท้า สวี่มู่เจินยืนมือไพล่หลังพูดกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย

 

 

“ยากนักกว่าจะได้ออกจากบ้านสักครั้ง เพียงเจออันธพาลก่อกวนก็ล้มเลิกความคิดเสียแล้ว เสียดายแย่

 

 

ท่านที่อยู่ชั้นบนเชิญพวกเจ้าให้ขึ้นไปนั่ง ชั้นบนยังเหลือห้องพิเศษอีกหนึ่งห้อง มีที่นั่งพอสำหรับทุกคน รอบด้าน

 

 

ก็เงียบสงบ น้ำชาขนมนมเนยก็มีพร้อมไม่มีใครรบกวน ฮูหยินและคุณหนูสามารถดูละครได้อย่างสบายใจ”

 

 

“โอโห ดีจังเลย! น้องสะใภ้ ท่านเชิญเราขึ้นไปข้างบนน่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกก่อกวนแล้ว! เจ้าไม่ควรปฏิเสธน้ำใจของท่านนา”

 

 

หวงน้าสี่นั่งแหมะ ตัดสินใจไม่กลับไปก่อน เพราะหนึ่ง สามารถดูละครต่อ สอง สามารถขึ้นไปนั่งบนที่นั่งของชนชั้นสูง คนโง่เท่านั้นที่คิดกลับไป

 

 

ท่านที่อยู่ชั้นบน?

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหรี่ตา “ท่านไหนล่ะ”

 

 

สวี่มู่เจินเกิดในตระกูลค้าขาย จะรู้จักชนชั้นสูงอะไร อย่างมากก็หนีไม่พ้นพวกคนมีเงิน

 

 

ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นพอจะเดาสถานะของท่านผู้นี้ออกแปดเก้าส่วน แม้แปลกใจที่ท่านผู้นี้ไฉนลดตัวลงมาเที่ยวสถานที่เช่นนี้ได้ และยังเหมาทั้งชั้นอีก แต่ยังคงมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย พลางว่า

 

 

“เมื่อสหายของญาติผู้พี่เชื้อเชิญทั้งที ป้าสะใภ้ก็อยากดูละครด้วย น้ำใจจึงยากปฏิเสธ เรายังคงขึ้นไปชั้นบนเถิด เรื่องชายขี้เมา ความจริงก็ไม่มีอะไร เกิดขึ้นได้เป็นครั้งคราวในโรงละคร ไม่มีใครคิดมากหรอก ถ้ารีบจากไปนี่สิ อาจทำให้คนสงสัยและคาดเดาไปต่างๆ นานาดูละครต่อ ถึงจะไม่เสียทีที่เป็นเรา”

 

 

“ยังคงเป็นญาติผู้น้องข้าที่มีเหตุมีผล รู้จักถนอมน้ำใจคน เร็วเข้าๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ไปกันเถอะ”

 

 

สวี่มู่เจินโบกมือ เรียกให้คนมาต้อนรับกลุ่มคน แล้วจึงหันมายิ้มให้อวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

“ญาติผู้น้อง เจ้าเป็นผู้ใหญ่และมีสติกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย อย่างน้อยก็รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรายิ่งกว่าคนบางคนเสียอีก งานหลังเรือนบ้านเจ้าควรให้เจ้าดูแลมากกว่า!”

 

 

คำพูดนี้ก็ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเคืองอีก

 

 

กลุ่มขึ้นขึ้นไปบนชั้นสอง

 

 

ชั้นสองมีห้องพิเศษอยู่ห้าห้อง มีทางเดินทอดยาว เงียบสงบและแคบ ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความคึกคักชั้นล่าง สภาพแวดล้อมต่างกันราวฟ้ากับเหว

 

 

เด็กรับใช้ชุดสีน้ำเงินเมื่อครู่พาผู้หญิงบ้านสกุลอวิ๋นไปดูห้องพิเศษที่ว่างอยู่

 

 

ภายในห้องอากาศถ่ายเท พื้นปูพรมแดง เก้าอี้ไม้แดงมีพนักพิงวางเรียงราย พร้อมฟูกรองนั่งบุผ้าต่วน ด้านหน้าของทุกที่นั่งมีชาชุดเล็กและขนมสีเขียวๆ แดงๆ วางเอาไว้ ผนังด้านหน้าเจาะเป็นช่องหน้าต่างกว้างราวหนึ่งจั้ง (ประมาณ 2.5 เมตร) มองลงไปเห็นเวทีด้านล่างอย่างชัดเจน ชัดกว่าชั้นล่างมาก

 

 

สักครู่ ก็มีคนยกชาร้อนหอมกรุ่นเข้ามา เด็กรับใช้บอกว่า ขนมและน้ำชาเหล่านี้ แขกห้องข้างๆ เลี้ยง

 

 

ห้องห้องนี้เดิมทีเขาก็เป็นคนจอง ตอนนี้ยังอาสาเลี้ยงขนมนมเนยอีก ตามหลักและมารยาทแล้ว ไป๋เสวี่ยฮุ่ยต้องเป็นผู้พาสตรีในกลุ่มไปขอบคุณเจ้าภาพด้วยตัวเอง และนอกจากขอบคุณแล้ว นางยังสงสัยในใจด้วย

 

 

ในเมืองมีคนทำการค้าจนมั่งคั่งร่ำรวยมากมาย เศรษฐีที่เหมาโรงละครว่านไฉ่ทั้งโรงก็มีอยู่มาก แต่ตามปกติ คนมีเงินในเมืองมักจองห้องห้องเดียวบนชั้นสองก็เพียงพอแล้ว ทว่าคนที่สวี่มู่เจินรู้จักนี้ จองทั้งชั้น แต่กลับใช้เพียงห้องเดียว ห้องที่เหลือล้วนว่างเปล่า จึงน่าสนใจอยู่บ้าง เดาไม่ออกว่าเป็น “ท่าน” ผู้ใดกันแน่ จึง

 

 

อยากไปเห็นด้วยตาตนเอง

 

 

พอเดินไปบนทางเดินไม่กี่ก้าว ก็เห็นผู้คุ้มกันคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าประตู

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นชุดของผู้คุ้มกัน เหมือนกับของชายสองคนที่กุมตัวชายขี้เมาออกไป ตอนอยู่ชั้นล่าง

 

 

ส่วนไป๋เสวี่ยฮุ่ยพอเห็นว่าประตูปิดมิดชิด โดยท่านผู้นั้นไม่มีวี่แววว่าจะออกมา ก็ลอบยิ้มเยาะ หันหน้าเข้าหาประตู แล้วพูดอย่างผู้สูงส่ง

 

 

“ข้าคือนายหญิงของบ้านสกุลอวิ๋น ต้องขอขอบคุณท่านมาก ที่มีน้ำใจกว้างขวาง แบ่งห้องให้เรา แล้วเชิญเราให้ขึ้นมาชั้นบน ตอนนี้ข้าได้แต่กล่าวขอบคุณท่านไว้ก่อน ไม่ทราบว่าท่านเป็นคุณชายบ้านไหน ถ้าข้ากลับถึงจวน จะได้บอกท่านพี่สามีข้า ขุนนางชั้นสาม รองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย ให้ส่งบ่าวไปขอบคุณท่านที่บ้านอีกครั้ง”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่หน้าห้อง รู้ว่าประตูสลักลายก้านดอกไม้เกี่ยวกระหวัดนี้ กำลังกั้นระหว่างตนกับผู้ที่อยู่ด้านใน

 

 

นางเคยเตือนญาติผู้พี่แล้วว่า อย่าไปมาหาสู่กับคนผู้นี้ นางมิได้หวังว่าการพูดเพียงครั้งเดียวจะทำให้ญาติผู้พี่เชื่อ แต่พอพบว่า ญาติผู้พี่สนิทสนมกับคนผู้นี้มาก ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

 

 

คำพูดของไป๋เสวี่ยฮุ่ยเน้นหนักที่คำว่า “ท่าน” เห็นชัดว่าดูแคลน ไม่เชื่อว่าสวี่มู่เจินจะรู้จักคนสูงส่งอะไร แถมยังพูดตำแหน่งหน้าที่การงานของบิดาออกมาเพื่อโอ้อวดและข่มขวัญคนผู้นี้อีก? อวิ๋นหว่านชิ่นจึงขมวดคิ้ว

 

 

เสียงตอบกลับจากในห้อง น้ำเสียงสดใสผิดปกติ ไม่เหมือนคนค้าขายที่มีความทะเยอทะยาน

 

 

“อวิ๋นฮูหยินเป็นคนมีน้ำใจ ข้ากับคุณชายสวี่ ญาติบ้านสกุลอวิ๋น สนิทสนมกัน ครั้งนี้ถือว่าแบ่งห้องให้พวกท่านใช้เท่านั้น ไม่นับเป็นอะไรได้ กล่าวขอบคุณก็เพียงพอแล้ว”

 

 

น้ำเสียงอบอุ่นเหมือนหยก ลื่นไหลเหมือนน้ำ สะท้อนไปมาอยู่บนทางเดินแคบๆ เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ไพเราะเสนาะหูยิ่ง

 

 

จากคำตอบของคนผู้นี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินน้ำเสียงที่ทั้งใสและเรียบง่าย ไม่เหมือนคนชอบวางท่าที นางจึงผ่อนคลายลง ความสงสัยก็ลดน้อยลง คนผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในสหายคุณชายที่อยู่แวดวงการค้าเดียวกับบ้านสกุลสวี่ จึงยิ้ม แล้วว่า

 

 

“ที่แท้ก็เป็นคุณชายท่านหนึ่ง คิดว่าต้องเป็นคุณชายในแวดวงการค้าเช่นเดียวกับคุณชายน้องสวี่ของเราเป็นแน่แท…”

 

 

แต่ยังไม่ทันพูดจบ ผู้คุ้มกันหน้าประตูก็ทำหน้าดุ “บังอาจ พูดจาไร้สาระ! กล้าดีอย่างไรนำนายท่านไปเปรียบกับคุณชายพ่อค้าวาณิช!”

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถูกพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้า จึงหน้าแดงสลับเขียว ด้วยไม่เคยถูกคนชั้นล่างตะคอกใส่เช่นนี้