ตอนที่ 68-3 โกรธแล้ว!

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อนุฟางกระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา ยื่นให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยซับหน้า

 

 

“ท่านพี่ผู้คุ้มกันอย่าเพิ่งร้อนรน นายบ้านท่านเป็นใครกันหรือ ฮูหยินเราไม่รู้จริงๆ ถึงได้พูดผิดไป”

 

 

“รัชทายาทองค์ปัจจุบัน” ผู้คุ้มกันตอบเสียงเข้ม

 

 

นอกจากอวิ๋นหว่านชิ่นแล้ว ผู้หญิงคนอื่นๆ ล้วนยืนซึมกะทือ

 

 

รัชทา…ยาท? ไม่ใช่มั้ง!

 

 

อนุฟางยิ้มค้าง ผ้าเช็ดหน้าในมือร่วงหล่นลงบนพรมปูพื้น

 

 

แม้บอกว่าคนในราชวงศ์ทุกระดับคือผู้สูงศักดิ์ แต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ยังไม่เคยเห็นสักคน วันนี้บทจะได้เห็น ก็ได้เห็นรัชทายาทเลย จึงหน้าซีด พูดไม่ออกอยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าจะเค้นออกมาได้คำหนึ่ง

 

 

“รัช…รัชทายาท…”

 

 

รัชทายาทคือญาติฝ่ายไหนของฮ่องเต้หรือ หวงน้าสี่สนใจอยู่แต่ละครร้องบนเวที ไหนเลยจะอยากเห็นตัวจริงเสียงจริงของใคร แต่พอรู้ว่า ท่านเป็นรองแค่คนคนเดียว แต่เป็นนายคนเรือนหมื่น และอยู่ใกล้แค่เอื้อม แม้รู้สึกกลัว แต่ก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง กอดลูกทั้งสองไว้แน่น นั่งยองๆ ลง แล้วพูดเสียงเบากับลูก

 

 

“ลูกแม่ คนที่อยู่ข้างใน คือองค์รัชทายาท คนที่จะเป็นฮ่องเต้ในวันข้างหน้าน่ะ! เร็ว เข้าไปใกล้ประตู รับโชคลาภหน่อย! แม้เห็นแค่นิดเดียว กลับบ้านเรา เพื่อนบ้านก็อิจฉากันจวนจะแย่ เพราะคนที่เราเห็นคือฮ่องเต้ในอนาคตตัวเป็นๆ เชียวนา!”

 

 

เด็กสองคนก็ช่างกล้า วิ่งเข้าไปใกล้ประตูจริงๆ

 

 

ผู้คุ้มกันจึงชักกระบี่ออก ยกขึ้นในแนวขวาง กั้นเด็กทั้งสองไว้ “บังอาจไม่เคารพองค์รัชทายาท!”

 

 

พอแสงสีเงินสว่างวาบ อาเม่าที่อายุน้อยหน่อย ก็ตกใจร้องไห้จ้า

 

 

และร้องนี้ ก็ทำให้สถานการณ์แย่ลง

 

 

ผู้คุ้มกันเกรงว่าจะทำให้นายผู้สูงศักดิ์ตกใจ จึงจับอกเสื้ออาเม่า แล้วยกอาเม่าขึ้นสูง เหมือนจะใช้แรงโยนออกไป

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเบิ่งตามองกบในกะลาอย่างพี่สะใภ้ ช่างเป็นคนโง่ดักดานที่กล้าหาญจริงๆ ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน เห็นรัชทายาทเป็นพระพุทธรูปให้โชคลาภไปได้ แต่ดันไม่รู้จะรับโชคอย่างไร สับสนไปชั่วขณะ ส่วนตน คนในราชวงศ์ใหญ่สุดที่เคยเห็นในระยะใกล้ ก็คือท่านโหวอาวุโส ไหนเลยจะเคยเห็นรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ปานฉะนี้!

 

 

หวงน้าสี่มึนงง ทำไมผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงถึงโหดร้ายเช่นนี้ เอะอะก็จะฆ่าจะแกงกันแล้ว พอเห็นลูกชายถูกจับตัวแล้วยกขึ้นสูง ก็พูดจาสะเปะสะปะ

 

 

“โอ้ว ท่านรัชทายาท อย่าได้ฆ่าลูกข้าเลย เด็กมันยังเล็ก ก็เลยรักสนุกเท่านั้น…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรีบเข้าไปอุ้มอาจู้ออกมา มอบใส่อ้อมอกป้าสะใภ้ ก่อนหันมาพูดจาปกติกับผู้คุ้มกัน

 

 

“ป้าสะใภ้ของหม่อมฉันเพิ่งมาจากชนบท ไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ ญาติผู้น้องก็ยังเล็กไม่ประสีประสา ถึงได้

 

 

ล่วงเกินรัชทายาทไป ขอทรงอภัย ไม่ถือโทษโกรธผู้ไม่รู้! หม่อมฉันขอรับผิดแทนญาติผู้น้องเอง!”

 

 

แล้วจึงหันไปเอ็ดหวงน้าสี่ “การที่รัชทายาทเชิญเราให้ขึ้นมาดูละครที่ชั้นบน ก็แสดงว่าท่านเป็นคนใจกว้าง จะประหารเด็กเล็กที่ร้องไห้งอแงได้อย่างไร แต่ถ้าป้าสะใภ้ยังพูดมั่วซั่วไม่หยุด ก็อาจทำให้รัชทายาทเสื่อมเสียชื่อเสียง!”

 

 

สักพัก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านใน “ผู้พูดก็คือคุณหนูอวิ๋นคนนั้น คนที่เป็นญาติผู้น้องของสวี่มู่เจินใช่ไหม…เจ้ามีชื่อว่าอะไร”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตอบเสียงเรียบ “ทูลรัชทายาท ญาติผู้พี่ของหม่อมฉันคือสวี่มู่เจินเพคะ”

 

 

ภายในห้อง ชายหนุ่มหันมองสวี่มู่เจิน “ญาติผู้น้องของเจ้าอายุแค่สิบสี่สิบห้า แต่กลับเหมือนผ่านชีวิตมามาก”

 

 

สวี่มู่เจินเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ท่านอ๋องต้องดูก่อนว่าญาติผู้พี่ของนางเป็นใคร”

 

 

ชายหนุ่มเลิกคิ้วมอง พลางคิด เด็กสาวเป็นคนฉลาดและมีสติคนหนึ่ง เพิ่งจะแก้ไขสถานการณ์ ช่วยชีวิตเด็กไปหยกๆ ตอนนี้ยังตอบคำถามได้นิ่ง แบบกุลสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการศึกษามา ไม่บอกชื่อตนให้กับชายแปลกหน้าง่ายๆ บอกเพียงสถานะ โดยไม่ตกหลุมพรางคำถามตน

 

 

เงียบไปพักหนึ่ง คนในห้องจึงว่า “ปล่อยเด็กเถิด”

 

 

พอผู้คุ้มกันคลายมือลง อาเม่าจึงล้มลุกคลุกคลานวิ่งเข้าสู่อ้อมอกของหวงน้าสี่ แล้วทุกคนก็ไม่กล้าพูดมากอีก ขณะกำลังคิดขอตัวลา ผู้ที่อยู่ด้านในก็ส่งเสียง

 

 

“คุณหนูอวิ๋นพอจะให้เกียรติเรา เข้ามาชมละครด้วยกันหรือไม่”

 

 

ชายหนุ่มเรียกแทนตนเองแบบเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของต้าเซวียน

 

 

พอได้ยินรัชทายาทเรียกญาติผู้น้องเข้ามา สวี่มู่เจินก็ดีใจยิ่ง การแต่งเข้าจวนกุยเต๋อโหวของนางถูกยกเลิกเรียบร้อย ตอนนี้นางจึงเป็นอิสระ แต่ถ้าได้แต่งเข้าจวนอ๋อง ย่อมดีกว่าจวนโหวไม่รู้กี่พันเท่า

 

 

เมื่อหญิงในสกุลอวิ๋นได้ยิน ความหวาดกลัวในใจเมื่อครู่ก็มลายหายสิ้น

 

 

เรียกอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปชมละครด้วย? ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นคนแรกที่กัดฟัน เหตุใดโชคถึงเข้าข้างยัยเด็กนี่เสมอ…คราวนี้เป็นถึงรัชทายาทเชียว ผู้ที่คุณหนูในเมืองล้วนหมายปอง ข่าวว่าคุณหนูจำนวนไม่น้อยถึงกับซื้อตัวคนข้างกายรัชทายาท เพื่อจะได้รู้กิจวัตรประจำวันของพระองค์

 

 

และพอรัชทายาทออกจากวัง พวกนางก็จะดักอยู่ตามถนนและสถานที่ที่เสด็จผ่าน แล้วแกล้งทำเป็นพบโดยบังเอิญ แบบนี้ก็มีอยู่มาก…

 

 

ทว่าชายหนุ่มจากฟากฟ้าที่เอื้อมไม่ถึง กลับเอ่ยปากขึ้นก่อน เรียกยัยตัวดีให้เข้าไปดูละครด้วย!

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “วันนี้หม่อมฉันออกมาพร้อมท่านแม่ ทุกอย่างจึงต้องให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ”

 

 

เมื่อนางยังไม่ออกเรือน เกรงว่าถึงตอนนั้นอาจถูกไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเล่นงาน แต่ถ้าไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นผู้ส่งเสียงอนุญาตเอง ก็ไม่มีปัญหา

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอึ้ง

 

 

“แล้วอวิ๋นฮูหยินล่ะ ว่าอย่างไร” เสียงคนในห้องยังคงอ่อนโยน แต่แฝงนัยว่าไม่อยากให้ปฏิเสธ

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงได้แต่ว่า “เมื่อมีญาติอย่างคุณชายน้องสวี่อยู่ด้วย หม่อมฉันจะไม่วางใจได้อย่างไร”

 

 

พอประตูเปิดออก อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์จึงก้าวเข้าไป

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยฉวยโอกาสชะเง้อมองด้านใน แล้วก็อ้าปากค้าง หุบไม่ลงอยู่อย่างนั้น

 

 

ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมยาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่สลักลายดอกไม้ สวมเครื่องประดับเอวสีม่วง สวมหยกครอบมวยผม หันหน้าเข้าหาผนังแบบเปิดกว้างครึ่งบน มองไปยังเวทีชั้นล่าง หน้าตาด้านข้างหล่อเหลาไร้ที่ติ คิ้วเรียวยาวเกือบถึงจอนผม หางตาโค้งลงเล็กน้อย อ่อนโยนตามธรรมชาติ ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ดวงตาทอประกายสดใส จะว่ายิ้มก็ยิ้ม จะว่าโกรธก็โกรธ

 

 

รัศมีที่เปล่งออกทั่วร่าง ไม่ให้ความรู้สึกเคร่งเครียดแบบผู้สืบราชบัลลังก์ แต่กลับมีความบ้าบิ่นและเรียบง่ายในตัว

 

 

เมื่อประตูปิดลง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ถอยไปยืนอีกด้าน

 

 

“คุณหนูอวิ๋น นั่งสิ” ชายหนุ่มกะพริบขนตายาว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นทำตาม นั่งลงบนเก้าอี้สลักลายดอกไม้อีกตัวข้างๆ เขา พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นรัชทายาทยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งมาให้ด้วยตัวเอง หางตายังคงโค้งลงขณะมองนาง

 

 

“ชาต้าหงเผา เป็นชาดีที่สุดที่ใช้ดื่มขณะชมละคร”

 

 

ผู้มีสายโลหิตของผู้สูงศักดิ์จริงๆ ย่อมไม่เย่อหยิ่งจองหอง ดังเช่นเขาที่มีตำแหน่งใหญ่โต แต่กลับก้มลงมองทุกสรรพสิ่งอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

 

 

ทว่า…เขาในฐานะรัชทายาท มายื่นถ้วยน้ำชาให้ด้วยตนเอง ไม่เป็นไรจริงหรือ ใกล้ชิดกับสามัญชนง่ายเกินไปแล้ว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรีบรับไว้ “ลำบากรัชทายาทแล้ว หม่อมฉันรินเองจะดีกว่า”

 

 

แล้วจึงส่งสายตาให้สวี่มู่เจินที่นั่งอยู่อีกด้านของรัชทายาท อย่าเอาแต่นิ่งสิ ข้าไม่สนิทกับรัชทายาท พี่เข้ามาคุยด้วยกันหน่อย แบบนี้อึดอัดแย่

 

 

สวี่มู่เจินสบตากับญาติผู้น้อง กลอกตาไปมา แล้วเมินหน้าหนี หญิงสาวนางใดไม่อยากสัมผัสรัชทายาทบ้าง เจ้ามีโอกาสดีเช่นนี้ ยังไม่รีบฉวยไว้อีก เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่หยิบยื่นโอกาสให้

 

 

“เวลาพักผ่อนส่วนตัวขณะอยู่นอกวัง รัชทายาทไม่จำเป็นต้องมาก่อน แล้วหญิงสาวทีหลังหรอก ทำตัวตามสบายเถิด” รัชทายาทเอ่ย

 

 

“ตามสบาย?” จะตามสบายอย่างไร

 

 

รัชทายาทกลั้นหัวเราะ ก่อนพูดจริงจัง “เจ้าเรียกข้าว่าซื่อจุน ส่วนข้าก็เรียกเจ้าว่าชิ่นเอ๋อร์”

 

 

น้ำชาที่เพิ่งเข้าปาก เกือบพ่นออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นรีบกลืนลงคอ จึงไอแรงๆ ออกมา

 

 

รัชทายาทจึงทำสีหน้าจริงจัง “เราล้อเล่นน่ะ”

 

 

ค่อยยังชั่ว อวิ๋นหว่านชิ่นโล่งอก ปิดถ้วยน้ำชา อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาที่สง่างามจะมีอุปนิสัยเช่นนี้ คล้ายๆ กับญาติผู้พี่อย่างไรอย่างนั้น คบคนพาล พาลไปหาผิดจริงๆ มิน่าเล่าทั้งสองถึงไปไหนมาไหนด้วยกันได้