ตอนที่ 68-4 โกรธแล้ว!

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“แต่จริงสิ ชิ่นเอ๋อร์…” รัชทายาทยิ้มตาหยี ก่อนพูดใหม่

 

 

โอ๊ะ รัชทายาทนี่ คำไหนจริง คำไหนหลอกกันแน่ เพิ่งจะบอกว่าล้อเล่นชัดๆ! อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า

 

 

“รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันเพิ่งพบพระองค์เป็นครั้งแรก ถ้าอยู่ในห้องส่วนตัว ทรงเรียกหม่อมฉันอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหา แต่เกรงว่าจะทรงเรียกจนติดปาก พอคนนอกได้ยิน จะคิดกันไปใหญ่”

 

 

รัชทายาทส่งเสียง อ้อ ออกมาคำหนึ่ง ก่อนวางท่าทีเคร่งขรึม

 

 

“ชิ่นเอ๋อร์ใช้เรา แก้ไขปัญหาครอบครัวตัวเอง แต่กลับไม่ยอมสนิทกับเรา”

 

 

หา? อวิ๋นหว่านชิ่นคิดทบทวนไปรอบหนึ่ง ค่อยนึกถึงเรื่องลู่ชิงฝูขึ้นมา ตอนนั้น เพราะต้องการให้ลู่ชิงฝูร่วมมือด้วยในการเล่นงานอวิ๋นหว่านเฟย จึงหาโอกาสให้นางได้พบกับรัชทายาทในวัด…

 

 

จึงเหลือบมองญาติผู้พี่ สวี่มู่เจินกระแอมไอสองครั้ง ค่อยลุกขึ้น หันกาย เดินออกไป

 

 

ญาติผู้พี่นี่ก็ปากมาก บอกความจริงรัชทายาทอย่างหมดเปลือก    

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มแหะๆ “คุณหนูลู่งดงามยิ่ง รัชทายาทไม่เสียเปรียบหรอกเพคะ”

 

 

“แม่สาลิกาลิ้นทอง” ชายหนุ่มโน้มตัวเข้ามา โดยมีชุดชากั้นขวาง เขาจึงเท้าคางงามๆ มองนาง เห็นชัดว่า เขาไม่ถูกใจหน้าสวยๆ ของลู่ชิงฝู

 

 

ปลายจมูกของชายหนุ่มอยู่ในระดับเดียวกันกับแก้มนาง นางจึงแทบจะเห็นตัวเองในดวงตาทั้งสองข้างของเขา

 

 

ในแวววงคุณชาย นอกจากมู่หรงไท่ สวี่มู่เจิน และฉินอ๋อง สามบุรุษรูปงามแล้ว เขาหลุดวงโคจรไปได้อย่างไร? อาจเป็นเพราะตำแหน่งรัชทายาทสูงส่ง ไม่อนุญาตให้เอาไปทำอะไรพลการ ผู้คนจึงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ตามอำเภอใจ

 

 

และสมองของนางก็ปรากฏภาพของชายหนุ่มอีกคน

 

 

พวกเขาเป็นพี่น้องกัน หน้าตาบางส่วนจึงคล้ายกัน…แต่ดวงตากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

รัชทายาทมีความใสที่ทำให้ผู้คนผ่อนคลายสบายใจ ความทะเล้นเล็กๆ ทำให้ผู้คนไม่มีอคติด้วย

 

 

ทว่าคนผู้นั้น ดวงตาใสแต่สงบนิ่ง เหมือนน้ำนิ่งในบ่อ ที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ

 

 

ถ้าบอกว่าหางตาที่โค้งลงของรัชทายาท สามารถควบคุมคนข้างกายให้พลอยทุกข์หรือสุขไปกับเขา

 

 

คนผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรมากลับไม่ไยดีว่าผู้อื่นจะทุกข์หรือสุขกับการกระทำของเขา

 

 

“กลับมาเรื่องรัชทายาทเสด็จมาดูละคร ไฉนจึงไม่เหมาโรงละครว่านไฉ่ทั้งโรงล่ะเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นดึงสติให้คืนกลับ

 

 

รัชทายาททำปากยื่นปากยาว ท่าทางที่ไม่เหมาะกับบุรุษเช่นนี้ กลับเหมาะกับเขามาก จากนั้นก็ยกนิ้วมือเรียวยาวขึ้น ส่ายไปมา

 

 

“ทำเช่นนั้นก็หมดสนุกสิ สนุกคนเดียว มิสู้ร่วมสนุกกับหลายๆ คน ดูละคร ก็เพราะต้องการความคึกคัก”

 

 

บนเวที เริ่มการแสดงชุดใหม่

 

 

พอดนตรีโหมโรง รัชทายาทก็นั่งตัวตรง สีหน้ากลับคืนดังเดิม คล้ายไม่สนใจที่จะคุยกับอวิ๋นหว่านชิ่นต่อ “ดีๆ เริ่มแล้ว!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นใบ้กิน แต่กลับเริ่มหวนรำลึกอดีต ถึงบทสรุปของรัชทายาทซย่าโหวซื่อจุนเมื่อชาติที่แล้ว

 

 

จากการที่ฉินอ๋องไต่เต้าจากอ๋องเป็นรัชทายาท แล้วขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ เหตุการณ์ระหว่างนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กินระยะเวลาสั้นมาก จนผู้คนแทบทำอะไรไม่ถูก รัชทายาทองค์ก่อน ซย่าโหวซื่อจุนถูกปลดออกจากตำแหน่ง ก่อนฉินอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาทเพียงสามเดือน โดยมิได้ประกาศสาเหตุให้รู้ทั่วกันอย่างชัดเจน แต่นางจำได้รางๆ ว่า ในพระราชโองการปลดออกจากตำแหน่งมีประโยคที่ว่า

 

 

“ไร้การยับยั้งชั่งใจ หยิ่งผยอง ไม่อยู่ในโอวาท อกตัญญูต่อมารดา ไม่เคารพบิดา ลูกสนมคิดก่อกบฏ”

 

 

คำเหล่านี้แม้ครอบคลุมวงกว้างและคลุมเครือมาก แต่ถ้าลูกของบ้านใดถูกกล่าวหา ย่อมเป็นความผิดร้ายแรงที่ผู้คนไม่อาจยกโทษให้

 

 

พอซย่าโหวซื่อจุนถูกปลด ฉินอ๋องก็ขึ้นแทนที่

 

 

หลังจากฉินอ๋องขึ้นครองราชย์ ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของรัชทายาทองค์ก่อนอีก อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่รู้ว่าเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง หรือถูกปลดให้เป็นสามัญชน กระทั่ง…ได้รับโทษประหาร

 

 

จะว่าไป ชะตากรรมของรัชทายาทเป็นเรื่องน่าเศร้า…ทว่า อวิ๋นหว่านชิ่นเหล่ตามอง ท่าทางของเขาในตอนนี้ ไม่มีวี่แววว่าจะเศร้าแม้แต่น้อย…

 

 

“ดี!” รัชทายาทปรบมือรัวๆ “จอมยุทธ์คนนั้นตีลังกากลับหลังได้ยอดเยี่ยมมาก ว่องไวและเฉียบขาด ไม่ยืดยาด! เดี๋ยวเราต้องตกรางวัลให้อย่างงาม! เอ๊ะ…เจ้าว่า ทำไมเราหัดในตำหนักบูรพาตั้งนานก็ยังหัดไม่ได้ เราไม่เชื่อ! ไม่ได้การ วันนี้กลับไป ต้องฝึกซ้อมให้จริงจังมากกว่าเดิม!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่น “…..” ที่แท้รัชทายาทนี่ นอกจากชอบดูละครแล้ว ยังชอบแสดงละครเองอีก

 

 

รัชทายาทก็รู้สึกได้ว่า สีหน้าของหญิงสาวข้างกายเปลี่ยนไป จึงเอียงคอเล็กน้อย มองบน แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ

 

 

“ไม่ปิดชิ่นเอ๋อร์ดีกว่า เราตั้งคณะละครคณะหนึ่งขึ้นในตำหนักบูรพา ไม่ว่าฉากบู๊หรือฉากอารมณ์อะไรล้วนแสดงได้หมด เราอยากบอกชิ่นเอ๋อร์ว่า ละครใหม่ๆ ที่จัดแสดงระหว่างงานเลี้ยงในวังนั้น เราเป็นคนควบคุมเองทั้งนั้น”

 

 

แม้เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่เหมือนสนิทกันมานาน เขาเป็นคนที่สนิทกับใครๆ ได้เร็ว ไม่ได้หน้าตาดีอย่างเดียว แต่มีจินตนาการสูง แม้ดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้วเป็นศิลปินคนหนึ่ง!

 

 

ข้างต้น คือความประทับใจที่อวิ๋นหว่านชิ่นมีต่อรัชทายาทในตอนนี้

 

 

ก่อนหน้านี้นางยังคิดเตือนญาติผู้พี่ว่า อย่าเสียเวลาไปกับรัชทายาท แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว รัชทายาทกลับเป็นสหายที่ไม่เลวคนหนึ่ง

 

 

ขณะกำลังคิด หน้าประตูก็มีเสียงเล็กๆ ของพวกผู้หญิงดังมา

 

 

พวกไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งเดินกลับไปดูละครในห้องต่อ

 

 

แต่อนุฟางกลับมีความคิดอะไรบางอย่าง ตอนแรก พอรู้ว่าท่านที่อยู่ชั้นบนคือองค์รัชทายาท ก็ตกตะลึงก่อน ค่อยดีใจทีหลัง ชำเลืองมองลูกสาวที่อยู่ข้างกาย แล้วรีบดีดลูกคิดในใจ

 

 

นางคิดมาตลอดว่า จะเป็นแม่สื่อหาผู้ชายดีๆ สักคนให้ถงเอ๋อร์ เผื่อทางหนีทีไล่สำหรับอีกครึ่งชีวิตที่เหลือของตนกับลูก แต่คิดไปคิดมา ไหนเลยจะมีโอกาส จากสถานะลูกอนุของถงเอ๋อร์ ถ้าแต่งเข้าบ้านที่มีฐานะดีหน่อย ก็น่าจะเป็นได้แค่อนุ แต่ถ้าคิดเป็นฮูหยิน ก็ได้แต่หาเอาจากขุนนางชั้นล่างแล้ว…ซึ่งนางไม่อยากจริงๆ

 

 

วันนี้ พอออกจากบ้านมา ก็บังเอิญได้พบคุณชายน้องสวี่ และผู้ที่อยู่ข้างกายเขา ก็เป็นถึงรัชทายาทองค์ปัจจุบัน!

 

 

นี่นับเป็นโอกาสฟ้าประทานที่ดีเยี่ยม! ถ้าพลาดครั้งนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีอีกแล้ว!

 

 

รัชทายาทก็คือ ฮ่องเต้ในอนาคต ถ้าถงเอ๋อร์ของตนสามารถถวายตัวให้รัชทายาท เรื่องฮูหยินหรืออนุอะไรก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอีก ถ้าในวันข้างหน้า ลูกได้เข้าวัง ก็มีตำแหน่งสนม นางใน นางกำนัล ที่เป็นเจ้าคนนายคนรออยู่ ถึงตอนนั้น ตนก็จะพลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย

 

 

หัวใจอนุฟางเต้นโครมคราม ดึงตัวอวิ๋นหว่านถงไว้ แล้วบอกไป๋เสวี่ยฮุ่ยว่า ปวดท้อง จะไปเข้าห้องน้ำ แต่กลัวหาไม่เจอ จึงให้ถงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อน

 

 

บนเวที ละครกำลังสนุก…ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูอย่างใจจดใจจ่อ จึงคร้านที่จะสนใจ โบกมือ แล้วพูดแค่ว่า รีบไปรีบกลับ อนุฟางจึงลากอวิ๋นหว่านถงออกจากห้อง ก่อนหามุมหนึ่งตรงทางเดิน เล่าแผนให้ลูกสาวฟัง

 

 

อวิ๋นหว่านถงหน้าแดง ความจริงแล้ว ตอนที่ได้ยินว่าคนในห้องคือรัชทายาท นางก็มีความทะเยอทะยานขึ้นมา แต่ของสูงเช่นนี้ นางไหนเลยจะกล้าไขว่คว้า ต่อมาตอนพี่ใหญ่เข้าไป พอประตูเปิดออก นางก็เหลือบมองอย่างอกสั่นขวัญแขวน และพอเห็นรัชทายาทที่หน้าตาหล่อเหลา และยังหนุ่มยังแน่น ก็ชื่นชมทันที

 

 

พอได้ยินว่าท่านแม่มีแผน อวิ๋นหว่านถงก็ก้มหน้าลง บิดผ้าเช็ดหน้าอย่างเขินอาย

 

 

“ท่านแม่ นั่นคือรัชทายาทนา จะเห็นลูกอนุอยู่ในสายตาหรือ”

 

 

ก็เพราะว่าคนผู้นี้คือรัชทายาท เจ้าก็ยิ่งต้องสู้ตาย! เค้กที่ตกลงมาจากฟากฟ้าชิ้นนี้ ถ้าวันนี้ไม่กิน ก็ยากที่จะได้กินแล้ว อนุฟางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จึงจับมือลูกสาวไว้ พลางว่า

 

 

“ทำไมจะไม่เห็น เจ้าอย่าได้ดูถูกตัวเองเชียว ลองดูสาวๆ ในวังหลังของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสิ มีลูกอนุไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่ได้เป็นนางสนมนางกำนัล อย่างมเหสีรองเหวย คนโปรดในตอนนี้ ก็เป็นลูกอนุในบ้านสกุลเหวยนะ ฮ่องเต้ในรัชสมัยก่อน แม้แต่นางโลมที่โด่งดังในหอโคมเขียวก็ยังถูกรับตัวเข้าวังเลย ส่วนเจ้าน่ะ ขาวใสบริสุทธิ์ เป็นคุณหนูจวนรองเจ้ากรมที่สง่าผ่าเผย ด้อยกว่าผู้อื่นที่ไหนกัน ชาติกำเนิดเจ้าดีเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกกว่า รัชทายาทเห็นแล้วจะรังเกียจเจ้า เดี๋ยวหลังจากเจ้าเข้าไป แม่จะสอนให้…”

 

 

พูดถึงตรงนี้ อนุฟางก็เบาเสียงลง แล้วกระซิบงึมๆ งำๆ ที่ข้างหูอวิ๋นหว่านถง

 

 

อวิ๋นหว่านถงฟังพลาง หน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ผลักมารดาเบาๆ

 

 

“เฮ้อ! น่าอายชะมัด ไม่ได้ๆ ถ้ามีคนเห็นเข้า จะทำอย่างไรดี…”

 

 

“โง่จริง!”

 

 

ทุกสิ่งที่ได้มา ต้องแลกกับอะไรบางอย่าง แม้เสียเปรียบอยู่บ้าง แต่เดิมพันยิ่งมาก ผลตอบแทนก็มากตาม โอกาสมีมาครั้งเดียว ต้องจู่โจมให้เข้าเป้าในทีเดียว จะทำพลาดไม่ได้! อนุฟางจึงพูดต่อ

 

 

“มีคนเห็นก็ยิ่งดีสิ เจ้าจะได้เป็นคนของรัชทายาทอย่างเลี่ยงไม่ได้! ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนี่ แค่ให้รัชทายาทเห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าเท่านั้น อย่างไรเสีย เจ้าทำตามวิธีของแม่ก็แล้วกัน ขอเพียงเป็นผู้ชาย ต้องถูกเจ้ากระชากวิญญาณออกจากร่างทั้งนั้น แล้วพอกลับถึงบ้าน แม่ค่อยเล่าให้พ่อเจ้าฟัง ถึงตอนนั้นบางทีเรื่องอาจสำเร็จลุล่วงไปแล้ว”

 

 

ปากบอกเขิน แต่พอได้ยินว่าสามารถเข้าตำหนักบูรพาเป็นผู้หญิงของรัชทายาทได้ อวิ๋นหว่านถงก็ยังคงกัดฟันสู้ หน้าแดงขณะพยักหน้าหงึกๆ