ตอนที่ 11 ไม่ง่ายเลย

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 11 ไม่ง่ายเลย

เจียงป่าวชิงไม่ได้โกรธ ทว่านางเพียงหัวเราะเบา ๆ

มีความงดงามที่อ่อนวัยอยู่บนใบหน้าเล็กผอมซูบ เวลานี้ใบหน้าเล็กที่อ่อนวัยเงยมองเจียงต้ายา จากนั้นก็ถามกลับไป “ข้าใจดำ แล้วเด็กในท้องของพี่ต้ายาเป็นเชื้อพันธุ์ของข้าหรืออย่างไร ? พี่เฉิงหยวนของพี่ทำให้พี่มีลูกก่อนแต่งงาน นี่ไม่เรียกว่าใจดำหรือ ? มีลูกแล้วแต่ไม่คิดจะรีบแต่งพี่เข้าบ้าน ทั้งยังต้องการสินสมรสเป็นเงินห้าตำลึงถึงจะยอมแต่งกับพี่ นี่ไม่เรียกว่าใจดำหรือเจ้าคะ ?”

“เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดจาสั่ว ๆ กับข้า!”

อารมณ์ของเจียงต้ายาฮึกเหิมขึ้นกว่าเดิม นางในตอนนี้ราวกับถูกใครเหยียบเท้าจนทำให้รู้สึกเจ็บ จากนั้นนางก็สบตากับเจียงป่าวชิงด้วยอารมณ์โกรธ “พี่เฉิงหยวนก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ครอบครัวเขายากจนถึงเพียงนั้น การที่พวกเขาต้องการสินสมรสเป็นเงินห้าตำลึงก็เพื่ออนาคตในภายภาคหน้าของเรา  อีกอย่าง เขาก็พยายามมากแล้ว เดิมทีแม่ของเขาไม่ชอบข้าและต้องการที่ดินสิบไร่เป็นสินสมรสถึงจะยอมปล่อยให้เราสองคนสมหวัง เขาพยายามอย่างมากกว่าจะสามารถทำให้แม่ของเขาเปลี่ยนจากที่ดินสิบไร่เป็นเงินห้าตำลึงได้  โอ้… พี่เฉิงหยวนของข้า… ไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่เราจะครองคู่”

เจียงต้ายาพูดเน้นย้ำซ้ำ ๆ ด้วยเสียงที่สูงมาก

เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะพลางคิดในใจ ‘…ไม่ง่ายเลยอย่างนั้นหรือ ?’

‘ถุย!’

เจียงต้ายากุมท้องตัวเอง นางแสดงสีหน้าเศร้าโศกและดึงเสื้อของเจียงป่าวชิงเพื่อไม่ให้เจียงป่าวชิงกลับออกไป “ป่าวชิง ถือว่าข้าขอร้องเจ้าเถอะ ถ้าหากไม่มีสินสมรสเป็นเงินห้าตำลึง พ่อแม่ของพี่เฉิงหยวนก็จะไม่ให้ข้าเข้าบ้าน ปู่กับย่าก็จะตีข้าจนตาย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยข้าได้  ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ช่วยข้ากับลูกเถอะนะ… เจ้าคลำดูสิ ลูกอยู่ในท้องข้า เขาจะเป็นหรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว… เจ้าคงจะไม่อยากให้เขาตายใช่ไหม ?” พูดจบ นางก็จับมือเจียงป่าวชิงเพื่อที่จะนำไปวางบนท้องของตัวเอง

ทว่าครั้งนี้เจียงป่าวชิงทนไม่ไหวแล้ว นางเกลียดการถูกผู้อื่นขู่เข็ญมากที่สุด

เจียงป่าวชิงควบคุมแรงของตัวเอง จากนั้นก็ดึงมือออกมาจากเจียงต้ายา นางไม่สนใจอะไรอีกต่อไป และได้ทำการชี้หน้าด่าเจียงต้ายาทันที

“พี่ต้ายาพอได้แล้ว อย่าเอาเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกมาบีบบังคับข้า  ข้านั้นจะเสียดายทำไมกัน ? พี่ก็แค่ไปมีอะไรกับชายอื่นโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา ตอนนั้นพี่ไม่คิด แต่ตอนนี้กลับกลัวว่าจะถูกตีจนตายอย่างนั้นหรือ ? เหตุใดพี่ถึงไม่ไปขอร้องเจียงเอ้อยาเล่า ?  อ้อ เพราะรู้ว่าเจียงเอ้อยาไม่ได้หลอกง่ายเหมือนข้างั้นรึ ? และเพราะรู้อีกว่าการเสียสละเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่อย่างข้าเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะเสียสละเจียงเอ้อยารึ ?!  ข้าแนะนำให้พี่ตื่นและล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ เหตุใดข้าต้องเสียสละทั้งชีวิตเพื่อพี่ด้วย ?  พี่จะอยู่หรือจะตายมันเกี่ยวอะไรกับข้า ?!”

เจียงป่าวชิงก่นด่าอย่างไม่เกรงใจ สุดท้ายนางก็มองเจียงต้ายาอย่างเหยียดหยามและได้จบการออกความคิดเห็นของนางด้วยคำสั้น ๆ สองคำ

“เจ้าโง่!”

พูดจบเจียงป่าวชิงก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจใยดี

เจียงต้ายาถูกด่าจนหน้าซีด พูดอะไรไม่ออก เมื่อเจียงป่าวชิงออกไปได้สักพัก ขาของนางก็อ่อนแรงทำให้ร่างทรุดลงกับพื้น จากนั้นนางก็ร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่

แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังมาจากทางด้านหลัง แต่นางไม่ได้หยุดฝีเท้าลงและไม่สนใจ ทำเป็นไม่ได้ยินก็เท่านั้น

เมื่อออกมาจากห้องของเจียงต้ายาแล้ว เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าอากาศภายนอกนั้นสดชื่นขึ้นไม่น้อย นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นสายตาพลันเห็นว่าตรงรั้วไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากคอกหมูมีหัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ยื่นออกมา และดูเหมือนจะกำลังมองมาทางนี้ด้วย

นั่นเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีผมเปียสองข้างซึ่งหวีอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าเจียงป่าวชิงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างขาดสารอาหาร ถึงได้หน้าตาเหลืองซูบเช่นนั้น

ดวงตาของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นเป็นประกายทันทีเมื่อเห็นเจียงป่าวชิง นางดีใจระคนประหลาดใจในคราวเดียวกัน จากนั้นก็โบกมือให้เจียงป่าวชิงก่อนจะตะโกนเรียกด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา “ป่าวชิง”

เจียงป่าวชิงจำนางได้  นางคือน้องอาซิ่ง

เมื่อวาน ในตอนที่เจียงหยุนชานกลับมา เขายังพูดกับนางอยู่ว่าต้องขอบคุณน้องอาซิ่ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางแอบมาดึงเจียงหยุนชานไปที่อื่น แล้วบอกกับเขาว่าเจียงป่าวชิงถูกขายให้เฉจื่อเจิ้ง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็มิอาจทราบได้

เจียงป่าวชิงวิ่งไปหานาง จากนั้นก็วิ่งอ้อมคอกหมูและพูดคุยกับหวังอาซิ่งโดยมีรั้วไม้กั้นระหว่างกลาง “อาซิ่ง เรื่องเมื่อวานข้าขอบใจเจ้ามาก”

หวังอาซิ่ง เข้าไปจับตัวเจียงป่าวชิงด้วยความดีใจและพูดเสียงเบา “เมื่อสักครู่ข้ายังไปถามหยุนชานอยู่เลยว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หยุนชานบอกว่าอาการป่วยของเจ้าหายดีแล้ว ข้ายังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่มันเป็นจริง วิเศษมาก!”

หวังอาซิ่งตื่นเต้นจนเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว อาจเป็นเพราะนางเพิ่งเสร็จจากงานทำนาของที่บ้าน มือเล็กจึงค่อนข้างดำ และในเล็บก็ยังมีโคลนติดอยู่เล็กน้อย แต่เจียงป่าวชิงไม่สนใจ นางปล่อยให้หวังอาซิ่งจับแขนนางอย่างมีความสุขต่อไป

เจียงป่าวชิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความดีของเด็กหญิงผู้นี้

เพียงแต่ทั้งสองคนยังพูดคุยกันได้ไม่เท่าไหร่ ทางฝั่งบ้านของหวังอาซิ่งก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาเสียก่อน “อาซิ่ง เจ้าไปเล่นกับเจ้าปัญญาอ่อนบ้านตระกูลเจียงอีกแล้วรึ ?! ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ไปเล่นกับนาง!”

สีหน้าของหวังอาซิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็รีบหันไปอธิบายโดยที่เสียงของนางค่อนข้างติดขัด “ทะ… ท่านแม่ ป่าวชิงนางไม่ปัญญาอ่อนแล้ว นาง… นางหายจากอาการป่วยแล้วเจ้าค่ะ”

ทว่าเสียงนั้นกลับดุดันขึ้นเรื่อย ๆ “พูดจาไร้สาระอะไรของเจ้า โรคปัญญาอ่อนรักษาไม่หายหรอก!  ต่อให้รักษาหาย ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าไปเล่นกับเจ้าปัญญาอ่อนจากบ้านนั้น  บ้านนั้นน่ะไม่มีใครดีเลยสักคน เลี้ยงหมูแต่เอาคอกหมูมาตั้งไว้แถว ๆ ห้องครัวบ้านเรา  เหม็นจะตายอยู่แล้ว! เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!”

หญิงผู้มีเสียงดุดันคนนั้นเดินออกมาจากในกระท่อมเล็ก ๆ นางจ้องเจียงป่าวชิงเขม็ง จากนั้นก็เข้าไปดึงหูของหวังอาซิ่ง และลากหวังอาซิ่งเข้าไปในบ้าน ดูเหมือนจะพาอาซิ่งเข้าไปสั่งสอนสักเล็กน้อย

หวังอาซิ่งเขย่งปลายเท้าเพื่อไม่ให้ตนเองถูกลากอย่างเจ็บปวดเกินไป นางส่งยิ้มให้เจียงป่าวชิงอย่างเก้อเขิน และขยับปากบอกใบ้ว่า “ฉันไม่เป็นไร”

เจียงป่าวชิงยืนอยู่ข้างรั้ว นางมองหวังอาซิ่งที่ถูกแม่ของนางดึงหูและลากเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็มีเสียงก่นด่าดังขึ้นอย่างเลือนราง ต่อมาก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อีก

ตอนนี้เจียงป่าวชิงถึงจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก  นางหมุนตัวกลับไปมองรอบ ๆ และเห็นเงาของเจียงหยุนชานที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปพอดี

เจียงป่าวชิงโล่งใจเล็กน้อย นางหมุนตัวกลับไปที่ห้องดินเหนียวของตัวเองโดยตั้งใจจะไปจัดเก็บทรัพย์สินในห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

แม้จะบอกว่าทรัพย์สินในห้อง แต่แท้ที่จริงแทบไม่มีอะไร มีเพียงเตียงอิฐกับตู้ที่ชำรุดอย่างละหลังเท่านั้นเอง

บนเตียงอิฐปูด้วยเสื่อกก แล้วยังมีผ้าห่มที่เผยให้เห็นใยฝ้ายสีขาวอีกหนึ่งผืน

ในตู้ฝั่งหนึ่งมีถ้วยชำรุดสองสามถ้วยที่ตรงขอบมีรอยแตกวางอยู่ หนึ่งในนั้นนำมาใส่ถุงข้าวเน่า ๆ ที่ในถุงเต็มไปด้วยข้าวสาร อีกฝั่งก็มีเสื้อผ้าเก่า ๆ สองสามตัวที่ถูกซักจนสีซีด และถูกเย็บจนมีรอยปะมากมายวางอยู่เช่นกัน  ฝั่งสุดท้ายมีหนังสือที่กระดาษหนังสือเป็นสีเหลือง และตัวหนังสือก็เลือนจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ววางอยู่สองสามเล่ม ทั้งหมดนี้เป็นหนังสือเก่า ๆ ที่เจียงหยุนชานเก็บมาได้หรือไม่ก็ได้รับมาจากบุคลากรในโรงเรียน

นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาสองพี่น้อง

เจียงป่าวชิงประคองใบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจออกมา  สิ่งของเหล่านี้… นางอายที่จะบอกว่าตนเองยากจนถึงขั้นที่เคาะหม้อจนเกิดเป็นเสียงได้ เพราะแม้แต่เคาะหม้อให้เกิดเสียง นางยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

อันที่จริง ก่อนหน้านี้ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เหมือนจะเคยเก็บเหรียญทองแดงไว้อยู่บ้างเล็กน้อย  นั่นเป็นเหรียญทองแดงที่เหลืออยู่จากการที่เจียงหยุนชานไปทำงานเป็นเด็กจัดเก็บหนังสือข้างนอกบ้าง หรือที่ได้จากการไปทำความสะอาดโรงเรียนบ้าง ทุกครั้งที่เจียงหยุนชานกลับมาจากเลิกเรียน เขามักจะให้เหรียญทองแดงกับเจียงป่าวชิง

ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะปัญญาอ่อน แต่นางกลับรู้อย่างเลือนรางว่าแผ่นที่มีรูกลม ๆ นี้เป็นสิ่งของที่ยอดเยี่ยม

ทุกครั้งที่เจียงหยุนชานให้สิ่งนั้นกับนาง นางก็จะนำไปวางไว้ตรงบริเวณส่วนลึกของตู้อย่างระมัดระวัง

แต่มีครั้งหนึ่ง เรื่องนี้กลับถูกพบโดยเจียงเอ้อยา เจียงเอ้อยาจึงไล่เจียงป่าวชิงออกจากห้อง จากนั้นนางก็ทำการค้นตู้และรีดไถฉวยเอาเหรียญทองแดงเหล่านั้นไปจนหมด

ตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมยังปัญญาอ่อนและฟ้องไม่เป็น นางจึงปล่อยให้เจียงเอ้อยารีดไถเหรียญทองแดงครั้งแล้วครั้งเล่า

เจียงหยุนชานดีใจมาก เขาคิดว่าน้องสาวใช้จ่ายเงินเป็นแล้ว

ต่อมาเจียงป่าวชิงก็ไม่ยอมรับเหรียญทองแดงที่เจียงหยุนชานเอามาให้อีก ทุกครั้งที่เจียงหยุนชานจะเอาให้ นางก็จะนำเหรียญทองแดงเหล่านั้นยัดใส่กลับไปในอ้อมกอดของเจียงหยุนชานตามเดิม

ทุกครั้งที่เจียงหยุนชานกลับจากเลิกเรียน เขาก็จะนำเหรียญทองแดงไปแลกเป็นอาหาร เพื่อเพิ่มสารอาหารให้กับร่างกายของเจียงป่าวชิง ทว่ามันก็ทำให้สถานการณ์ด้านการเงินของพวกเขาสองพี่น้องสามารถพูดได้ว่ายากจนถึงที่สุด