ตอนที่ 12 ให้ความเมตตา

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 12 ให้ความเมตตา

อันที่จริงเรื่องหาเงิน เจียงป่าวชิงในยุคปัจจุบันไม่ได้มีช่องทางอะไร สำหรับ ‘เธอ’ การฝังเข็มเป็นช่องทางการหาเงินที่ใหญ่ที่สุด

ทว่าเพราะวิสัยทัศน์ของเจ้าของร่างเดิมมีจำกัด เจียงป่าวชิงจึงไม่รู้ว่าการฝังเข็มของยุคสมัยเก่านี้ พัฒนาไปถึงไหนแล้ว และไม่รู้ว่าเทคนิคการฝังเข็มของตนเองจะอยู่ในระดับใดในยุคสมัยเก่านี้

แต่ไม่ว่าเทคนิคการฝังเข็มของเจียงป่าวชิงจะอยู่ในระดับใด  เวลานี้ ‘เธอ’ ก็ไม่คิดที่จะให้คนอื่นรู้ว่าตนเองเป็นหมอผู้รู้เรื่องยาและสามารถฝังเข็มได้

เจียงป่าวชิงคนปัญญาอ่อนคนหนึ่งหายจากอาหารป่วยอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังรู้เรื่องวิชาแพทย์ และยังฝังเข็มเป็นโดยไม่ต้องมีอาจารย์

หากพูดออกไป เกรงว่าจะไม่มีใครเขาเชื่อ ไม่แน่พวกเขาอาจทำเหมือนเจียงป่าวชิงเป็นสิ่งอัปมงคล จากนั้นก็จับมัดไว้บนหิ้งและเผานางทั้งเป็นเลยก็ได้

อีกอย่าง ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน การถูกข่มขู่และถูกใช้ประโยชน์ มันสอนเจียงป่าวชิงให้รู้ว่า ‘เมื่อคุณไม่มีพละกำลังเพียงพอที่จะปกป้องตัวเอง คุณควรรวบรวมแสงสว่างของคุณขึ้นมา และทำให้ทุกคนจมหายไปถึงจะปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวคุณ’

เจียงป่าวชิงก้มหน้า จากนั้นก็คว้าเสื้อผ้าเก่า ๆ สองสามตัวที่อยู่ในตู้ขณะครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับช่องทางหาเงินอื่น ๆ

เพียงแต่ยังไม่ทันได้คิดถึงไหน ด้านนอกก็มีคนมาเคาะประตูอย่างเร่งรีบจนทำให้เสียงประตูไม้ของบ้านตระกูลเจียงดังสนั่นไปทั่ว

“เคาะ ๆ ๆ! เคาะอะไรกันนักหนา! มีใครตายรึยังไง ?!” หลีโผจื่อเดินผ่านข้างห้องของเจียงป่าวชิงพร้อมก่นด่าไปด้วย จากนั้นนางก็เดินไปเปิดประตูอย่างหงุดหงิดใจ

ตอนนี้หลีโผจื่อรู้แล้วว่าเจียงต้ายาก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเจียงป่าวชิงให้ช่วยเหลือตนเองได้ นางจึงอารมณ์เสียอย่างมาก

เจียงป่าวชิงเปิดหน้าต่าง แอบมองจากในร่องหน้าต่าง

นอกประตูไม้มีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ นางแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย เพียงแต่อายุปูนนี้แล้ว บนศีรษะกลับยังมีดอกไม้ผ้าไหมสีแดงปักไว้บนผม ดอกไม้สีแดงกับหญิงอายุปูนนี้… ดูเหมือนจะไม่เข้ากันเท่าไหร่นัก

เจียงป่าวชิงเก็บสายตากลับมา

ช่างบังเอิญจริง ๆ… เจ้าของร่างเดิมเคยเห็นหญิงชราคนนี้เช่นกัน หญิงชราคนนั้นคือแม่เฒ่ากัว นายหน้าที่พาเจ้าของร่างเดิมไปที่หมู่บ้านหลี และขายเจ้าของร่างเดิมให้กับเฉจื่อเจิ้งในราคาห้าตำลึงอย่างไรเล่า

แม่เฒ่ากัวมาที่นี่ในเวลานี้ เจียงป่าวชิงสามารถเดาจุดประสงค์ของแม่เฒ่ากัวได้อย่างเลือนรางแล้ว นางรู้สึกว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องมีเรื่องสนุก ๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน  นางแสยะยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ปิดหน้าต่างช้า ๆ และไม่สนใจเรื่องนี้อีก

เป็นไปตามคาด เมื่อหลีโผจื่อเห็นแม่เฒ่ากัว สีหน้าของนางแย่ลงเล็กน้อย

แม้จะบอกว่าแม่เฒ่ากัวผู้นี้เป็นนายหน้า ทว่าอันที่จริงคนอื่น ๆ เพียงแค่ให้หน้านาง และยกยอนางให้สูงขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องที่แม่เฒ่ากัวทำจริง ๆ คือเรื่องสกปรกที่ไม่สามารถนำมาวางบนโต๊ะได้ นางเฒ่าผู้นี้เพียงเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมประทังชีวิตไปวัน ๆ ก็เท่านั้น

เหมือนกับเรื่องที่ขายเจียงป่าวชิงให้กับเฉจื่อเจิ้งในราคาห้าตำลึง ถ้าหากแม่เฒ่ากัวเป็นคนเปลี่ยนมือ นางจะเรียกเก็บค่าผลประโยชน์เป็นเงินห้าสิบทองแดง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หลีโผจื่อเจ็บใจไปหลายวันเลยทีเดียว

“เจ้ามาทำไม ?” หลีโผจื่อมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าบนถนนในหมู่บ้านไม่มีคน และเพื่อนบ้านข้าง ๆ ก็ไม่มีใครอยู่ในบ้าน นางถึงจะดึงแม่เฒ่ากัวเข้ามาในบ้านอย่างเร่งรีบ “เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”

มีการติดต่อกับแม่เฒ่ากัว นั่นหมายความว่าบ้านหลังนี้มีเรื่องสกปรกอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถให้ผู้คนรับรู้ได้ คนที่หน้าใหญ่คับฟ้าอย่างหลีโผจื่อจะไม่ยอมให้คนอื่นรู้เด็ดขาดว่าตระกูลเจียงของตนมีการติดต่อกับแม่เฒ่ากัว

ก่อนหน้านี้หลีโผจื่อยังเคยคิดจะถามแม่เฒ่ากัวเกี่ยวกับเรื่องซื้อยาทำแท้งอยู่เลย เพื่อที่นางจะได้นำมากรองให้เจียงต้ายาดื่ม จากนั้นค่อยหาบ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปให้กับเจียงต้ายา นางหวังจะให้เจียงต้ายาแต่งออกไปอยู่ไกล ๆ

แม่เฒ่ากัวอายุปูนนี้แล้ว กลับยังพกผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองขนห่านอยู่ นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าเสมือนคนสาว ๆ จากนั้นก็นำมาปิดปากและหัวเราะคิกคัก “ฮิ ๆ เรื่องนี้ไม่สามารถนำไปพูดข้างนอกได้ล่ะสิท่า”

สีหน้าของหลีโผจื่อแย่มาก นางลอบก่นด่าแม่เฒ่ากัวว่า ‘ไอ้แก่’ อยู่ในใจ  จากนั้นนางก็พาแม่เฒ่ากัวไปที่ห้องใหญ่

วันนี้ท่านปู่เจียงออกไปขุดดินกับเจียงอีหนิว เขาไม่อยู่บ้าน

หลีโผจื่อนั่งลงบนเตียงอิฐในห้องใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นนางก็เหล่ตามองแม่เฒ่ากัว “เจ้าพูดมาเลยว่าตกลงแล้วมันคือเรื่องอะไรกันแน่ ?”

แม่เฒ่ากัวหัวเราะคิกคัก นางไม่ทำตัวเป็นคนนอกกับหลีโผจื่ออีกต่อไป นางนั่งขัดสมาธิลงข้างเตียงอิฐด้วยตัวเองพลางแคะขี้ฟันอย่างสบายใจ “ข้าว่านะ คนอย่างเราพูดกันตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยดีกว่า เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ เฉจื่อเจิ้งซื้อเมียด้วยเงินห้าตำลึง ยังไม่ทันได้เข้าปาก หลานสาวของเจ้ากลับกระโดดแม่น้ำหนี ทั้งยังจะฟ้องศาลอีกต่างหาก นั่นทำให้เฉจื่อเจิ้งตกใจจนไม่กล้าเอาเมียแล้ว… วันนี้เฉจื่อเจิ้งคนนั้นขอร้องคนให้มาหาข้า และบอกข้าว่าจะเอาเงินห้าตำลึงที่ซื้อเมียคืน”

ก่อนหน้านี้หลีโผจื่อก็เดาได้แล้วว่าที่แม่เฒ่ากัวมาที่นี่เพราะเรื่องนี้  มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ! นางมาเพื่อต้องการเอาเงินห้าตำลึงคืน

สีหน้าของหลีโผจื่อย่ำแย่มาก นางระบายความทุกข์กับแม่เฒ่ากัวอย่างขมขื่น “ไอ้หยาแม่เฒ่ากัว! นี่ไม่ใช่เรื่องชั่วร้ายที่ข้าทำไว้สักหน่อย เป็นเจ้าเท้าเล็กปัญญาอ่อนนั่นต่างหาก ไม่รู้ทำอีท่าไหน หลังจากที่กระโดดลงแม่น้ำแล้วถึงได้หายจากโรคปัญญาอ่อนแบบนั้น นางบอกว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับเฉจื่อเจิ้ง  แล้วข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า ? คนในบ้านก็พูดกล่อมนางเป็นหลายตะกร้าแล้ว แต่นางนั้นเป็นหมาป่าตาขาวเนรคุณชั่วช้า นางไม่ยอมล้มเลิกความคิดง่าย ๆ…”

หลีโผจื่อยังพูดไม่ทันจบคำ ก็เห็นแม่เฒ่ากัวเอนตัวมาด้านหน้าด้วยความสนใจเสียก่อน นัยน์ตาของนางเป็นประกาย จากนั้นนางก็พูดขัดคำพูดของหลีโผจื่อ “โผจื่อ… เฉจื่อเจิ้งนั้นพูดจริง ๆ หรือ ? ที่บอกว่าหลานสาวของเจ้าไม่ปัญญาอ่อนแล้ว ?”

หลีโผจื่อตบขาดังฉาดด้วยความโกรธ “ก็ใช่น่ะซี่! ก่อนหน้านี้ตอนขายนาง นางยังปัญญาอ่อนอยู่เลย ให้นางทำอะไรนางก็ทำหมด เชื่อฟังมากเชียวนา  แต่ตอนนี้ข้าอยากจะตีนางให้ตายจะได้หมดเรื่องยุ่งยากเสียที”

“อย่าสิโผจื่อ เด็กมันไม่เชื่อฟังเราก็สอนมันดี ๆ ก็ได้ เหตุใดต้องตีให้ตายด้วยเล่า ?” แม่เฒ่ากัวกลอกลูกตาไปมา จากนั้นนางก็พูดโน้มน้าวหลีโผจื่ออย่างไม่จริงใจ “โผจื่อ ไม่อย่างนั้นลองเรียกหลานสาวของเจ้ามาที่นี่หน่อย ข้าจะลองพูดโน้มน้าวนาง”

หลีโผจื่ออยากให้แม่เฒ่ากัวพูดโน้มน้าวนางได้ใจจะขาด จึงรีบตอบรับทันที จากนั้นนางก็แยกม่าน และออกไปเรียกเจียงป่าวชิง

เจียงป่าวชิงกำลังนั่งจัดเสื้อผ้าขาด ๆ ที่ถูกค้นจนระเกะระกะอยู่บนเตียงอิฐ หลีโผจื่อไม่เคาะประตู นางถือวิสาสะเดินเข้ามาทันที จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ “เจ้า! ไปพบใครคนหนึ่งกับข้าที่ห้องใหญ่”

เจียงป่าวชิงมองหลีโผจื่อยิ้ม ๆ “ท่านย่าสองจะให้ข้าไปพบใครหรือเจ้าคะ ? เมื่อสักครู่พี่ต้ายาบอกกับข้าว่านางท้อง ข้าตกใจมาก ถ้าถึงตอนนั้นถ้าข้าไม่ระวัง เผลอพูดเรื่องที่พี่ต้ายาท้องกับคนคนนั้นไปจนหมด จะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ ?”

เรื่องที่เจียงต้ายาท้องก่อนแต่งนั้นเป็นจุดด้อยของหลีโผจื่อโดยสิ้นเชิง ทันในนั้น เส้นเลือดบนหน้าผากของหลีโผจื่อปูดนูนขึ้นมา  นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ และก่นด่าเจียงป่าวชิงในใจ จากนั้นก็ถ่มน้ำลายลงพื้นและหมุนตัวเดินจากไปทันที

หลีโผจื่อไม่อยากให้แม่เฒ่ากัวรู้เรื่องที่เจียงต้ายาท้องก่อนแต่ง นางจึงพยายามอดกลั้นและคิดในใจว่ารอให้เจียงต้ายาแต่งออกไปก่อน แล้วนางจะจับเจ้าเท้าเล็กเจียงป่าวชิงมาถลกหนังเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

เจียงป่าวชิงมองน้ำลายที่มีเสมหะสีเขียวตรงพื้นจากทางด้านหลังของหลีโผจื่อก็รู้สึกสะอิดสะเอียน นางรีบเดินไปที่เตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นตักขี้เถ้าด้านล่างเตาซึ่งเหลือจากการเผาฟืนกลับมา และทำการกลบน้ำลายที่น่าขยะแขยงนั้นให้หนา ๆ

หลีโผจื่อกลับมาที่ห้องใหญ่ ก็เห็นแม่เฒ่ากัวกำลังดึงขอบหน้าต่างครึ่งหนึ่งออก และกำลังมองอะไรบางอย่าง นางจึงส่งเสียง ‘เฮ้อ!’ ออกมา ปากก็บ่นกับแม่เฒ่ากัวทันที “เจ้าเท้าเล็กนั่นยืนหยัดในความคิดของตัวเอง นางไม่มา นางไม่ฟังข้าเลย”

“แต่ข้าจะสั่งสอนนางในไม่ช้าก็เร็ว!” หลีโผจื่อเสริมอย่างโหดเหี้ยม

แม่เฒ่ากัวปิดหน้าต่างด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางกลับมานั่งขัดสมาธิตามเดิม ดวงตาสีโคลนคู่นั้นเต็มไปด้วยแสงประกาย “โผจื่อ เจ้าฟังข้าสักครั้ง หลานสาวคนนั้นของเจ้าน่ะอย่าขายนางเลย และคืนเงินห้าตำลึงให้กับเฉจื่อเจิ้งเถอะ”

หลีโผจื่อตกตะลึง นางจ้องแม่เฒ่ากัวเขม็งและลืมคำพูดที่ต้องการจะพูดไปชั่วขณะ

แม่เฒ่ากัวใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองห่านปิดปากและหัวเราะ “โผจื่อ ข้าว่าวาสนาของบ้านเจ้าน่ะอยู่ข้างหลัง เมื่อสักครู่ข้าเห็นหลานสาวของเจ้าเดินออกมาจากทางหน้าต่าง หลังจากที่หายจากโรคปัญญาอ่อนแล้ว นางก็แตกต่างจากเมื่อก่อนมากจริง ๆ”

เมื่อเห็นว่าหลีโผจื่อยังคงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเพราะนางเอ่ยชมเจียงป่าวชิง นางก็หัวเราะคิกคักทันที “ฮิ ๆ เจ้าทำไมไม่คิดบ้างล่ะ ? เจ้าเลี้ยงเจียงป่าวชิงอีกสักสองปี ถึงตอนนั้นหน้าตาของนางก็คงจะโตขึ้น และรูปร่างของนางก็จะผายออกมาอย่างเต็มที่ ถึงตอนนั้นค่อยขายนางก็ได้ ราคาคงสูงมากน่าดู อย่างน้อยก็…” นางพลิกฝ่ามือไปมาสี่ครั้ง

เมื่อหลีโผจื่อเห็นมือของแม่เฒ่ากัว ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นทันที นางคำนวณไม่ออกว่าตกลงแล้วมันราคาเท่าไหร่กันแน่ แต่ที่รู้ ๆ คือคงเป็นเงินก้อนโตแน่  คิดได้ดังนั้นนางก็ตกตะลึงจนไม่เป็นท่าเลยก็ว่าได้

“หืม…? เยอะ เยอะขนาดนั้นเลยจริง ๆ หรือ ?”

แม่เฒ่ากัวมั่นใจมาก “ก็จริงน่ะซี่ ข้าจะบอกอะไรให้ฟัง ในอำเภอมีพวกพ่อค้าจำนวนมากที่มาจากทั่วสารทิศ พวกเขาเห็นสาวงามจนชินแล้ว แต่พวกเขากลับชอบหญิงแบบหลานสาวของเจ้า หญิงที่ทั้งงดงามทั้งอ่อนวัย ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าราคาค่าตัวจะสูงเท่าไหนเชียวล่ะ”

หลีโผจื่อใจเต้นแรง  ขณะที่นางนึกถึงเงินพวกนั้น นางก็รู้สึกแห้งผากในลำคอเล็กน้อย นางกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ “แล้วถึงตอนนั้นถ้านางหนีอีกล่ะ ข้าจะทำอย่างไร ?”

“ฮืม…” แม่เฒ่ากัวฮึมฮำในลำคอพลางสะบัดผ้าเช็ดหน้าเล็กน้อย นางไม่สนใจเรื่องนี้โดยเพียงแค่พูดขึ้นยิ้ม ๆ “พ่อค้าพวกนั้นตะลุยไปมาทั่วสารทิศ ข้างกายก็มีผู้ติดตามรับใช้มากมาย ถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขาจับหลานสาวเจ้ามัดแล้วไปให้ไกลก็ได้ ดูซิว่านางจะยังหนีไปไหนได้อีก ? รับรองได้เลยว่าถึงตอนนั้นต่อให้หลานสาวของเจ้าจะมีปีก นางก็บินกลับมาไม่ได้  ข้าเองก็เคยขายหญิงสาวบริสุทธิ์ในชนบทเช่นนี้ให้กับพวกพ่อค้ามาหลายครั้งแล้ว ข้าบอกได้เลยว่าราคานั้นสามารถทำให้ครอบครัวของเจ้ามีชีวิตที่สุขสบายไปตลอดชีวิต”

หลีโผจื่อรู้สึกคอแห้งอีกครั้ง ราวกับนางมองเห็นวันที่นางจะได้อยู่บ้านหลังใหญ่และเรียกหาคนใช้อย่างสุขสบาย

“เช่นนั้น ตอนนี้ข้าก็คืนเงินห้าตำลึงให้กับเฉจื่อเจิ้งงั้นหรือ ?” หลีโผจื่อถาม

“ใช่!” แม่เฒ่ากัวพูดขึ้นอย่างเด็ดขาด “คนที่มีความสามารถอย่างหลานสาวของเจ้า แต่งกับเฉจื่อเจิ้งไปก็น่าเสียดายเปล่า โผจื่อเจ้าลองคิดให้ดี ๆ ว่าเงินห้าตำลึงตอนนี้สำคัญ หรือเงินก้อนโตในอีกสองปีข้างหน้าสำคัญ…”

ยังต้องเทียบอีกรึ ?

หลีโผจื่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ก็ได้ ข้าจะไปหยิบเงินห้าตำลึงมาให้เจ้าประเดี๋ยวนี้เลย”

เมื่อเทียบกับวันที่จะได้ร่ำรวยในชีวิตที่เหลืออยู่แล้ว หลานสาวคนโตที่กำลังท้องจะเป็นไรไป  หลีโผจื่อตัดสินใจแล้ว ถึงตอนนั้นถ้ามันไม่ดี ก็ค่อยกรองยาทำแท้งใส่ลงคอไป เจียงต้ายาจะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตัวนางเอง

นางทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นมา คนในบ้านไม่จับนางถ่วงบ่อน้ำก็ถือว่าให้ความเมตตาต่อนางมากแล้ว หรือต้องสูญเสียเกียรติและความมั่งคั่งในช่วงครึ่งชีวิตหลังของตระกูลเจียง เพื่อเจียงต้ายาเพียงคนเดียว ?

ไม่! พวกเขาไม่จำเป็นต้องปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเลย