เล่มที่ 1 บทที่ 10 เซี่ยยวี่หลัวจะร้องไห้ได้อย่างไร

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

แม้ตอนนี้ยังไม่อาจซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เซียวจื่อเมิ่งได้ แต่หากแก้เสื้อผ้าที่ตนเคยใส่ เด็กคนนั้นก็ยังพอใส่ได้ โชคดีที่เซี่ยยวี่หลัวเคยเรียนงานเย็บปักถักร้อยมาบ้าง จึงพอจะเย็บปักได้อย่างไม่มีปัญหา

เซี่ยยวี่หลัวเทียบขนาดกับเสื้อผ้าของเซียวจื่อเมิ่ง ใช้กรรไกรตัดออกไปส่วนหนึ่ง ปุยฝ้ายด้านในยังใหม่อยู่ เมื่อเย็บแก้เสร็จเพียงตากแดดก็นำไปสวมใส่ได้แล้ว

หลังจากเย็บแก้เสื้อผ้าเสร็จหนึ่งชุด เทียบขนาดกับเสื้อผ้าเดิมของเซียวจื่อเมิ่ง สวมใส่ได้แน่นอน เซี่ยยวี่หลัวปวดหลัวหลังจากนั่งมานาน แต่ยังดีที่ทำเสร็จแล้ว

นำเสื้อและกางเกงที่เย็บแก้เสร็จไปตากแดดด้านนอก หลังจากเดินตากแดดอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยยวี่หลัวจึงนึกอยากเดินเล่นในหมู่บ้าน และดูว่าสองพี่น้องเก็บผักป่าอยู่ที่ไหน

ในขณะที่กำลังจะไป จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ จึงหันกลับเข้าเรือน นำขนมสองชิ้นออกมาจากตู้ ห่อด้วยผ้าสะอาดและเก็บตรงอกเสื้อ แต่ในขณะที่ปิดประตู อยู่ๆ ก็มีเสียงย่องฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ เซี่ยยวี่หลัวประหลาดใจยิ่งนัก แต่เมื่อหันไปกลับไม่มีใครสักคน

 “เสียงฝีเท้าชัดๆ!”

แต่คงเป็นคนในหมู่บ้านเดินผ่านกระมัง เมื่อคิดเช่นนั้นจึงเบาใจ แต่กระนั้นเซี่ยยวี่หลัวกลัวจะมีหัวขโมย จึงใช้โซ่กุญแจคล้องปิดประตูใหญ่ไว้ และมุ่งหน้าไปยังทุ่งนา

ผักจี้ช่ายจะขึ้นตามคันนา นางเห็นหญิงชาวบ้านและเด็กจำนวนไม่น้อยกำลังย่อตัวเก็บผัก แต่เมื่อเซี่ยยวี่หลัวกวาดตามองดูจนทั่ว กลับไม่เห็นสองพี่น้องเซียวจื่อเซวียน จึงเดินไปอีกด้านหนึ่ง

เมื่อเดินไปในนาอีกด้านหนึ่ง มีวัวที่ใช้ไถนาสองตัวกำลังกินหญ้าอย่างเอื่อยเฉื่อย และมีเด็กอีกห้าหกคนกำลังย่อตัวเก็บผักป่า เสียงหัวเราะของเด็กๆ แว่วมากับสายลมเป็นระยะ ท่ามกลางทุ่งนาอันกว้างขวาง ไม่ห่างนักเป็นภูเขาเขียวต้นไม้งาม เมื่อสายลมฤดูใบไม้ผลิใต้แสงตะวันในเดือนสองพัดมากระทบหน้า ช่างรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งยิ่งนัก

เซี่ยยวี่หลัวสูดลมหายใจเข้าลึก ความเหนื่อยล้าของร่างกายหายไปเป็นปลิดทิ้ง เมื่อกวาดตามองดูรอบๆ ก็พบเซียวจื่อเมิ่งกำลังก้มตัวเก็บผัก จึงตะโกนเรียกออกไป

เซียวจื่อเมิ่งตกใจจนรีบลุกขึ้น เมื่อหันกลับมาก็เห็นเซี่ยยวี่หลัว

เด็กคนอื่นๆ ต่างก็มองมาทางนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นเซี่ยยวี่หลัว จึงมีเสียงหัวเราะลั่นพร้อมกล่าว “เซียวจื่อเมิ่ง พี่สะใภ้ของเจ้ามาแล้ว!”

 “พวกเจ้ารีบดูหน้าของเซียวจื่อเมิ่งสิ ฮ่าฮ่า ตกใจเหมือนเห็นผีก็มิปาน!”

มีคนพูดจาเหน็บแนมเซียวจื่อเมิ่ง นางไม่กล้าโต้ตอบอันใด ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม มองดูเซี่ยยวี่หลัวเดินเข้ามาหาตัวเองทีละก้าวด้วยอาการหวาดกลัว นางไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้กำลังกลัวจนตัวสั่น

 “จื่อเมิ่ง…” ทันใดนั้นเซียวจื่อเซวียนก็กระโจนออกมาขวางหน้ากันเซียวจื่อเมิ่งไว้ จ้องมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยแววตาหวาดกลัวและร้อนใจ

เซียวจื่อเซวียนตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางมาแต่ไหนแต่ไร

เซี่ยยวี่หลัวหยุดชะงัก มองผักป่าที่เซียวจื่อเมิ่งเก็บมา “พวกเจ้ากำลังเก็บผักจี้ช่ายอย่างนั้นหรือ? ข้ามาช่วย!”

ไม่รอให้สองพี่น้องกล่าวอันใด เซี่ยยวี่หลัวถกแขนเสื้อขึ้นก็เริ่มเก็บผักป่า

ในช่วงเดือนสอง เป็นเวลาที่ผักจี้ช่ายเติบโตได้ดีที่สุด สีเขียวชอุ่มน่าชมยิ่งนัก ภพที่เซี่ยยวี่หลัวจากมานั้นได้สัมผัสพืชไร่เป็นประจำ ในวัยเด็ก เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิ นางจะกลับชนบทไปเก็บผักจี้ช่ายกับท่านปู่และท่านย่า ผักจี้ช่ายหน้าตาเป็นอย่างไร นางย่อมรู้ดี

เซียวจื่อเซวียนมองดูเซี่ยยวี่หลัวหาผักป่า กำลังจะถามว่าเคยเห็นผักป่าหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าต้องเก็บผักป่าอย่างไร?

ก็ได้เห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวหาผักจี้ช่ายพบแล้ว ใช้มือซ้ายจับเข้าตรงราก ใช้มีดเล็กในมือขวาตวัดตรงรากเบาๆ รวดเร็วและคล่องแคล่ว เซี่ยยวี่หลัวขุดผักป่าที่สมบูรณ์มีดินติดอยู่เล็กน้อยออกมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อปัดเศษดินที่ติดอยู่บนนั้นจนสะอาด ก็โยนเข้าไปในตะกร้า

ต้นที่สอง ต้นที่สามจึงตามมาเรื่อยๆ ผ่านไปเพียงครู่เดียว เซี่ยยวี่หลัวก็เก็บมาได้ไม่น้อยแล้ว ทุกต้นที่เก็บล้วนเป็นผักตีนไก่ ไม่ผิดแม้แต่ต้นเดียว

ดูจากท่าทางคล่องแคล่วของนาง เหมือนเคยทำมาแล้วนับไม่ถ้วน

ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรือให้ใครสอน

ทั้งยังขุดเก็บผักป่าได้เร็วกว่าเซียวจื่อเซวียนเสียอีก

เซียวจื่อเซวียนไม่ค่อยเข้าใจนัก ขมวดคิ้วพลางก้มตัวเก็บผักป่า เซียวจื่อเมิ่งมองดูเซี่ยยวี่หลัว และมองพี่รองของตน จก่อนจะโน้มตัวลงเก็บผักป่าต่อ

เด็กเหล่านั้นประหลาดใจยิ่งนักเมื่อเห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ด่าว่าสองพี่น้องเซียวจื่อเซวียน พวกเขาจึงไม่กล้ากล่าวอะไร ตอนที่เซี่ยยวี่หลัวอาละวาดขึ้นมาก็ด่าผู้คนไปทั่ว พวกเขาเอาแต่หัวเราะเยาะสองพี่น้องเซียวจื่อเซวียน แต่เมื่อเห็นว่านางสงบปากสงบคำ พวกเขาก็ยังไม่ไป เพราะไม่แน่อีกเดี๋ยวนางก็คงด่าขึ้นมา

เด็กเหล่านั้นตามอยู่ไม่ห่างนัก รอคอยให้เซี่ยยวี่หลัวอาละวาด

แต่ไหนเลยเซี่ยยวี่หลัวจะรู้ว่ามีคนรอให้นางอาละวาด นางเอาแต่ขุดผักป่าอย่างขะมักเขม้น

นางจำช่วงที่เคยตามท่านย่าไปเก็บผักจี้ช่ายในวัยเด็กได้อย่างชัดเจน หากนางเหนื่อย ท่านย่าจะนำน้ำที่พกมาด้วยล้างมือให้นางจนสะอาด จากนั้นจึงปูเสื่อบนพื้นที่โล่ง ให้นางนั่งเล่นและกินของกินเล่นอยู่บนเสื่อ

เซี่ยยวี่หลัวชอบกินเกี๊ยวหมูใส่ผักจี้ช่าย หลังจากขุดผักจี้ช่ายกลับไป เรื่องแรกที่ท่านย่าทำก็คือห่อเกี๊ยวให้นาง จนท่านย่าอายุมากแล้ว และในชนบทก็ไม่มีผักจี้ช่ายอีก นางจึงไปซื้อผักจี้ช่ายที่เพาะปลูกขายในตลาด แม้ว่ารสชาติจะต่างกับตอนเด็กอยู่มาก แต่นั่นล้วนเป็นความรักจากท่านย่า เซี่ยยวี่หลัวคิดถึงเรื่องในอดีตเหล่านี้ พอคิดว่าตัวเองจะไม่ได้พบท่านย่าอีกแล้ว จะไม่ได้กินเกี๊ยวหมูใส่ผักจี้ช่ายที่ท่านย่าทำให้อีก ก็รู้สึกแสบจมูก อยากร้องไห้ขึ้นมา

หยาดน้ำตาไหลรินลงสองข้างแก้ม เซี่ยยวี่หลัวสูดลมหายใจทีหนึ่ง รีบใช้แขนเสื้อเช็ดขอบตา ก่อนเก็บผักป่าต่อ

เซียวจื่อเซวียนอยู่ไม่ห่างจากเซี่ยยวี่หลัวมากนัก เพราะเขาคอยเฝ้าจับตามองการเคลื่อนไหวของนางอยู่ตลอด จึงได้เห็นภาพที่นางร่ำไห้เช็ดคราบน้ำตาพอดี

คล้ายว่านางกำลังร้องไห้!

ความคิดแปลกประหลาดผุดขึ้นในหัว เซียวจื่อเซวียนรีบสลัดความคิดนี้ทิ้งไป จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่นางทำคนอื่นร้องไห้ นางจะร้องไห้ได้อย่างไร!

แต่เสียงสะอื้นเมื่อครู่…

เซียวจื่อเซวียนได้ยินอย่างชัดเจน

เซียวจื่อเซวียนง่วนอยู่กับการสังเกตเซี่ยยวี่หลัว สองวันมานี้ เซี่ยยวี่หลัวทำให้เขาตกตะลึงมากเกินไป เขาสนใจแต่งานในมือตัวเอง สนใจแต่การเฝ้าจับตามองเซี่ยยวี่หลัว ไม่ทันสังเกตเลยว่า เด็กคนอื่นๆ ที่กำลังเก็บผักป่ากำลังสุมหัวซุบซิบอะไรกันอยู่

เด็กเหล่านั้นไม่ได้เห็นเซี่ยยวี่หลัวอาละวาด ต่างรู้สึกว่าขาดความรื่นเริง ปกติพวกเขาชอบดูตอนเซี่ยยวี่หลัวสั่งสอนเซียวจื่อเมิ่งกับเซียวจื่อเซวียนเป็นที่สุด ยิ่งเสียงดังพวกเขายิ่งรู้สึกมีความสุข

แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่ได้เห็นล่ะ?

เด็กชายอายุประมาณสิบขวบ เป็นวัยกำลังซุกซน จะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ไปได้อย่างไร พวกเขารวมตัวกันซุบซิบอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีแผนการแล้ว

หนึ่งในเด็กเหล่านั้นเดินย่องมาอยู่ตรงหน้าเซียวจื่อเมิ่ง จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง “เซียวจื่อเมิ่ง ข้างเท้าเจ้ามีงู…”

เด็กชายผู้นั้นตะโกนลั่นทั่วหุบเขาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ