บทที่ 5 เกือบซวยไปด้วยแล้ว

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 5 เกือบซวยไปด้วยแล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนตัดสินใจไปหาฉินเกา

การจะตามหาใครสักคนในพระราชวังที่กว้างใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าหากคุ้นเคยกับขันทีใหญ่ที่รับผิดชอบกรมวังฝ่ายใน ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา

สิ่งที่บังเอิญคือ เสิ่นเทียนไม่สนิทคุ้นเคยกับกรมวังฝ่ายใน

ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะทั้งพระราชวังยังไม่มีใครกล้าล่วงเกินเสิ่นเทียน

หลังจากทราบจุดประสงค์ของเสิ่นเทียน ขันทีใหญ่คัดตารางงานของขันทีทั้งหมดออกมาในเวลาไม่กี่นาที และบอกที่อยู่ของฉินเกาให้เสิ่นเทียนทราบ

จากนั้นก็ส่งเสิ่นเทียนออกจากกรมวังฝ่ายในด้วยความเคารพราวกับส่งเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง

ช่วยไม่ได้ เขากลัวว่ากรมวังฝ่ายในจะพังถล่มลงมาเหมือนสถานศึกษาหลวงนี่

……

สิ่งที่คู่ควรให้กล่าวถึงคือ ฉินเกาเป็นคนของตำหนักองค์ชายหก

องค์ชายหกเสิ่นเอ้าผู้นี้เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ด้านการบําเพ็ญเซียนสูงสุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด

สามารถฝึกบำเพ็ญถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้าในวัยเพียงสิบแปดปี และกำลังอยู่ในช่วงปูรากฐานวิถีเซียน เป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคนของอาณาจักรต้าเหยียน

กล่าวกันว่า ผู้อาวุโสผู้สูงศักดิ์สักคนจากแดนเทวาดาวประกายพรึกถูกใจเขาและรับไว้เป็นลูกศิษย์สืบทอดแล้ว

พึงรู้ก่อนว่า สำนักบำเพ็ญเซียนในดินแดนบูรพาถูกแบ่งออกเป็นสามสิบหกแดนเทวา เจ็ดสิบสองแดนผาสุก และแดนเทวาดาวประกายพรึกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของแดนเทวา

มีผู้สูงศักดิ์ของแดนเทวาดาวประกายพรึกถูกใจในฝีมือ นี่คือโชคลิขิตที่ประเสริฐอย่างยิ่ง

ถ้าหากไม่มีเหตุขัดข้องอะไร ผลสำเร็จต่ำสุดในอนาคตของเสิ่นเอ้าก็คือผู้จริงแท้ในระดับแก่นพลังทอง

หากโชคดีพบเจอโชคลิขิตครั้งใหญ่ ก็อาจถึงขั้นมีหวังจะทลายแก่นพลังทองก่อเป็นดวงจิตดรุณ กลายเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการยกย่องจากผู้คนนับหมื่นก่อนอายุห้าร้อยปี

เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เป็นตำแหน่งของจักรพรรดิเหยียนก็เทียบอะไรไม่ได้แล้ว

ถึงอย่างไรผู้สูงศักดิ์วิถีเซียนที่อ่อนแอที่สุดก็มีอายุขัยมากกว่าหนึ่งพันปีขึ้นไป เพียงโบกมือก็ถล่มขุนเขาทลายผืนดิน ทำลายท้องนภา มหาสมุทรเดือดพล่าน

หากเปรียบกันแล้ว อำนาจจักรพรรดิในทางโลกช่างเปราะบางยิ่งนัก

และก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน ฐานะของเสิ่นเอ้าในพระราชวังอาณาจักรต้าเหยียนจึงอยู่เหนือสามัญ

แม้เขาจะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเหยียนอีกมากเพียงใด ก็ไม่มีองค์ชายคนใดริษยาหรือคิดร้าย เพราะว่าไม่มีความจำเป็น

เสิ่นเอ้าถูกกำหนดให้เป็นเซียนที่แสวงหาความเป็นอมตะบนเส้นทางการบำเพ็ญเซียนอันยาวไกลไปทั้งชีวิต

เรื่องชิงบัลลังก์จักรพรรดิไม่อยู่ในสายตาเขาเลย

……

‘ไม่รู้ว่าวงรัศมีแห่งโชคที่อยู่เหนือศีรษะของพี่หกจะเป็นอย่างไร’

เสิ่นเทียนเดินตามเส้นทางสายเล็กในอุทยานหลวงไป ไม่นานก็มาถึงละแวกใกล้เคียงตำหนักขององค์ชายหก

ในตอนนั้นเอง เสียงกรีดร้องลอยเข้ามาในหูของเสิ่นเทียน และยังมีเสียงด่าทอที่ไร้ความปรานีดังตามหลังมา

“ตาเจ้าบอดหรือไร เจ้าทาสสมควรตาย!

เจ้ารู้หรือไม่ว่าหญ้าเซียนเก้าใบกระถางนั้นล้ำค่ามากแค่ไหน ถึงเจ้ามีเก้าชีวิตก็เทียบไม่ได้แม้กระทั่งรากเดียวของมัน!

คนอื่นจงดูให้ดี คราวหน้าถ้าใครไม่ตั้งใจตอนทำงาน นี่ก็คือสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องเจอ!”

……

เสิ่นเทียนมองไปตามทิศทางของเสียง เห็นคนกลุ่มหนึ่งรายล้อมอยู่ข้างบ่อน้ำของอุทยานหลวง

มีไม้กางเขนตั้งอยู่กลางวงของคนกลุ่มนี้ ขันทีน้อยคนหนึ่งที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลโดนมัดอยู่ด้านบน ถ้าไม่ใช่ฉินเกาแล้วจะเป็นใครกันเล่า

จุดที่ควรกล่าวถึงคือ วงรัศมีเหนือศีรษะของฉินเกาในเวลานี้เปลี่ยนไปแล้ว

แม้ยังคงเป็นสีแดง แต่แสงหม่นลงกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก บางจุดถึงขั้นมีแสงสีเขียวจางๆ ปรากฏให้เห็น

สีที่มีจุดด่างพร้อย มองแล้วไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเสียเท่าใด

‘ฉินเกาก็ประสบเหตุเภทภัยด้วย? เขาเป็นบุตรแห่งโชคชะตาไม่ใช่หรือ‘

ขณะมองฉินเกาที่ถูกแส้เฆี่ยนตี เสิ่นเทียนอึ้งไปเล็กน้อย

เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว

นึกถึงหนังสือนิยายที่ตนเองเคยอ่านเมื่อภพก่อน ดูเหมือนว่าเส้นทางชีวิตของพระเอกก็ไม่ได้ราบรื่นไปเสียหมด บางครั้งพวกเขาก็ประสบเคราะห์ภัย หลังจากรอดพ้นมาได้ก็ย้อนกลับมาแก้แค้น…

เดี๋ยวก่อน!

รอดพ้นจากเภทภัย ย้อนกลับมาฆ่าคู่อาฆาต!

เสิ่นเทียนรู้สึกหนังศีรษะชาวาบโดยพลัน คู่อาฆาตของฉินเกาเป็นใคร เป็นขันทีที่รับผิดชอบเฆี่ยนตีเขา เสิ่นเอ้าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง หรือว่า…

ทั้งราชวงศ์ของอาณาจักรต้าเหยียน?

เสิ่นเทียนยังจำได้ว่าสุดท้ายราชันมารสู่สุริยันที่กุ้ยกงกงเคยกล่าวถึงจัดการอาณาจักรต้าคุนอย่างไร

เพราะโดนเจ้านายในอาณาจักรต้าคุนข่มเหงรังแกมากเกินไป หลังจากจอมมารผู้นั้นกลายเป็นจอมมารสำเร็จ เขาก็สังหารหมู่ทั้งราชวงศ์ของอาณาจักรต้าคุน

วันนั้น ดอกทานตะวันสีแดงสดบานสะพรั่งทั่วทั้งพระราชวังอาณาจักรต้าคุน

ศพนอนเกลื่อนพื้น โลหิตไหลเป็นสายน้ำ!

……

‘เสิ่นเอ้า นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่นะ!’

มุมปากของเสิ่นเทียนกระตุก เขาลองคำนวณดูสักครู่ ถ้าหากตนเองไม่ได้แย่งโชคลิขิตของฉินเกามาก่อน เรื่องราวต่อจากนี้จะพัฒนาต่อไปในทิศทางใด

ฉินเกาโดนเฆี่ยนตีอย่างหนัก เพราะเหตุผลบางประการจึงรอดตายมาได้

หลังจากนั้น เขาพบหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ ในหออักษรหลวงโดยบังเอิญ และค้นพบ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ ที่ซ่อนอยู่ด้านใน

ฉินเกาที่ถูกความเคียดแค้นครอบงำจิตใจหนีออกจากพระราชวัง เริ่มฝึกบําเพ็ญวิชามารอย่างพากเพียร

รอจนกระทั่งฝึกบำเพ็ญสำเร็จ ฉินเกาถึงกลับพระราชวังอาณาจักรต้าเหยียนมาสังหารเสิ่นเอ้า กระทั่งสังหารหมู่คนทั้งวัง

ส่วนเสิ่นเทียนคนอับโชคที่มีวงแหวนสีดำอยู่เหนือศีรษะ เกือบร้อยละร้อยจะตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

อัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 99.9999

ส่วนเรื่องที่ว่าฉินเกาได้ครอบครองสุดยอดวิชาแล้วจะกลับมาล้างแค้นหรือไม่

เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย หากเขาไม่ล้างแค้นต้องรู้สึกผิดต่อชื่อของตนเองเป็นแน่!

……

‘ข้าทำตัวขี้ขลาดขนาดนี้แล้วยังเกือบซวยไปด้วย เสิ่นเอ้าเจ้าเป็นพวกเพื่อนร่วมกลุ่มสมองหมูหรืออย่างไร’

พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะด่าทอบรรพชนสิบแปดชั่วโคตรของเสิ่นเอ้า

‘เป็นอัจฉริยะบําเพ็ญเซียนแล้วยิ่งใหญ่มากนักหรือ!

ผู้อาวุโสของแดนเทวาดาวประกายพรึกรับเป็นศิษย์แล้วสุดยอดมากหรือไร!

กล้าล่วงเกินบุตรแห่งโชคชะตา วงศ์ตระกูลพินาศเพราะเจ้าแล้ว!

จะรนหาที่ตายก็อย่าพาพี่น้องไปตายด้วยสิ?

ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี!’

เมื่อมองฉินเกาที่ถูกมัดไว้บนไม้กางเขน เสิ่นเทียนตื่นตระหนกเล็กน้อย

หรือว่าจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หันหลังแล้วเดินจากไป?

เช่นนี้ไม่ได้ เพราะได้ผูกเวรผูกกรรมกันแล้ว จะหลุดพ้นได้อย่างง่ายดายที่ไหนกัน

หรือไม่ก็รอดูจนพวกเขาเฆี่ยนตีฉินเกาเสร็จ ถ้าหากไม่ตาย ตนเองค่อยเข้าไปซ้ำเติม?

เช่นนี้ก็ไม่ได้

ถ้าตายง่ายเช่นนั้น ยังจะเรียกว่าบุตรแห่งโชคชะตาได้อีกหรือ

นอกจากนั้นตัวเสิ่นเทียนก็ยังมีวงรัศมีสีดำที่อับโชคอยู่ด้วย

เขารู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง หากตนเองลงมือสังหารฉินเกา ไม่รู้ว่าจะมียอดฝีมือที่เก่งกาจกระโดดออกมาจากไหนก็ไม่รู้มาช่วยฉินเกาหรือไม่

ถ้าแย่ไปกว่านั้นสักหน่อย ยอดฝีมือไร้เทียมทานผู้นั้นอาจรู้สึกถูกชะตากับฉินเกา และต้องการรับเขาเป็นลูกศิษย์

เพื่อระบายความคับแค้นใจแทนฉินเกา จึงฆ่าปิดปากทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เสีย

ถึงแม้โอกาสที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแทบเป็นศูนย์ แต่อย่างไรผู้อับโชคอย่างเสิ่นเทียนก็ต้านทานบุตรแห่งโชคชะตาไม่ไหว!

เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมโชคร้ายกับบุตรแห่งโชคชะตา ทฤษฎีความน่าจะเป็นก็กลายเป็นเรื่องตลกไป

‘ช่างเถอะ ช่วยเขาเอาไว้ก่อนค่อยว่ากัน!’

คิดไปคิดมา สุดท้ายเสิ่นเทียนก็ตัดสินใจช่วยฉินเกา ผูกชะตากรรมที่ดีกันไว้

ไม่แน่ในอนาคตยามที่ฉินเกาได้รับโชคลิขิตอื่น หลังจากเจริญก้าวหน้าแล้วกลับมาล้างแค้นก็จะปล่อยเขาไป

อืม… น่าจะเป็นเช่นนี้กระมัง!

……

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนเดินไปทางฝูงชนแล้วตะคอกเสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสิ่นเทียนตะคอกคำเดียว พวกขันทีและนางกำนัลรีบก้าวถอยหลังไปไกลทันที

หลังจากแต่ละคนคำนับเรียบร้อย ก็รีบร้อนเดินหนีไปราวกับกลัวเสิ่นเทียนจะถามหาความผิด

มีเพียงขันทีผู้ทำหน้าที่เฆี่ยนตีที่จะอยู่ก็ไม่ดีจะไปก็ไม่ได้ เนื่องจากมีคำสั่งติดตัว

ครั้นเห็นเสิ่นเทียนก้าวเข้ามาทีละก้าว สีหน้าของขันทีผู้นั้นเต็มไปด้วยความตกใจ ตื่นตระหนก เกรงกลัว และลำบากใจ…

น่าตื่นตาตื่นใจเสียจริง!

“องค์ชายสิบสาม พระองค์…มีธุระหรือ”

เสิ่นเทียนชี้ฉินเกาที่ถูกมัดอยู่บนไม้กางเขน พูดอย่างสงบว่า “วันนี้ข้าจะพาเขาไป”

สีหน้าของขันทีดูลำบากใจขึ้นมาทันใด “เขาทำต้นหญ้าเซียนเก้าใบขององค์ชายหกล้มแตก นี่เป็นโทษถึงตาย องค์ชายสิบสามโปรดอย่าทำให้บ่าวต้องลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เสิ่นเทียนอึ้งไป หญ้าเซียนเก้าใบเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักสำหรับการกลั่นโอสถสร้างฐานชั้นสูง มีมูลค่าสูงมากดังว่า

สำหรับผู้บำเพ็ญเซียน ชีวิตของขันทีน้อยผู้หนึ่งมีค่าไม่เท่าหญ้าเซียนเก้าใบจริงๆ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปขอความเมตตาจากพี่หกด้วยตัวเองแล้วกัน! จะว่าไปก็ไม่ได้เจอพี่หกมานานแล้ว ข้าชักจะคิดถึงเขาแล้วสิ”

เพิ่งสิ้นเสียงของเสิ่นเทียน ก็ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาดังออกมาจากส่วนในของตำหนัก ทั้งน่าเกรงขามและเคร่งขรึม

“ไม่จำเป็น ในเมื่อน้องสิบสามเอ่ยปากขอความเมตตา เช่นนั้นก็พาตัวเขาไปเถอะ!

ส่วนเรื่องพบหน้านั้นไม่ต้อง ข้ากำลังเก็บตัวฝึกบําเพ็ญ จะถูกรบกวนไม่ได้

เสี่ยวหลี่จื่อ ส่งแขก”

………………………………………….