ตอนที่ 6 ข่าวลือ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณหนู ต้องการทำความสะอาดของเหล่านี้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ?” เฝิ่นหลัวมองไปที่กองสิ่งของขนาดใหญ่ที่จื่อหลัวสั่งให้สาวใช้ตัวน้อยทำความสะอาด ทั้งหมดเป็นข้าวของของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่แล้ว นางไม่สบายใจมาก แม้จะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยก็ตาม แต่ไม่ใช่กงการที่สาวใช้ชั้นสองอย่างนางจะต้องเอ่ยขึ้นมาแบบเมื่อครู่นี้ แต่เนื่องจากความโอบอ้อมอารีและความเป็นกังวลว่ากำลังจะจากบ้านเกิดมาตลอด ทำให้นางอดพูดมากเกินไปไม่ได้ “ท่านเอาทุกอย่างไปหมดเลย ไม่เหลือไว้เลยสักนิดหรือเจ้าคะ?”

“มีอะไรต้องเก็บไว้ ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่คุณหนูจะกลับมาที่นี่อีก” ลู่หลัวรีบพูด “ยังมีใครในตระกูลเยี่ยนจริงใจกับคุณหนูบ้างไหม?”

“แต่…แต่…” เฝิ่นหลัวยังคงคิดไม่ออกว่าทำไมคุณหนูของนางถึงทำเช่นนี้ นั่นหมายความว่านางออกเรือนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย และแยกตัวออกมาจากครอบครัวนี้ นางไม่ทิ้งทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองสักหน่อยหรือ? เฝิ่นหลัวแตกต่างจากลู่หลัวกับ จื่อหลัว นางเป็นสาวใช้ที่เพิ่งมาอยู่กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ไม่นาน และเพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นจากสาวใช้ตัวน้อยเป็นสาวใช้ชั้นสองเมื่อเดือนก่อน หนึ่งปีที่ผ่านมาเนื่องจากครอบครัวยากจนและไม่สามารถเลี้ยงดูคนในครอบครัวได้ นางจึงถูกแม่ค้านายหน้าขายเข้ามาที่จวนเยี่ยน หลังจากผ่านไปครึ่งปีที่ไท่ไท่ตระกูลเยี่ยนสั่งให้แม่นมเฒ่าหลายคนฝึกฝนนาง ในขณะที่เอ่ยถึงขั้นตอนของการแต่งงานระหว่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์กับซั่งกวนเจวี๋ย นางจึงถูกโยกย้ายมาช่วยงานเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพื่อให้เป็นหน้าเป็นตากับตระกูลซั่งกวน

“ลู่หลัว เจ้าคิดว่าข้าควรจะทิ้งอะไรไว้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นอนอย่างเกียจคร้านบนเตียงนุ่ม ร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จึงไม่มีกะจิตกะใจจะเก็บข้าวของพร้อมกับสาวใช้เพียงไม่กี่คน แต่สำหรับนางแล้วนางได้เก็บของสำคัญที่แท้จริงไว้แล้ว

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่นี่คือบ้านของท่านนะ ถ้า…คุณหนู ข้ารู้ว่าท่านสะสวยและก็ดีมากด้วย แต่ถ้าท่านเขยปฏิบัติกับท่านไม่ดี ท่านต้องหาทางหนีทีไล่เอง!” เฝิ่นหลัวที่กำลังจะเป็นสินเดิมไปยังตระกูลซั่งกวนเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจและความหวาดกลัว ได้ยินมาว่าเป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก ได้ยินมาว่าแม้แต่องค์หญิงก็ต้องการแต่งงานกับสามีในอนาคตของนายตน ไม่ว่าคุณหนูของนางจะดีแค่ไหน ก็กลัวว่าจะเทียบไม่ได้กับองค์หญิงที่งดงามประดุจเทพธิดาที่ลงมายังสถิตใต้หล้าตามที่เล่าลือกันนั้น หากถึงเวลานั้น ท่านเขยไปตกหลุมรักองค์หญิงอื่น คุณหนูของนางไม่ต้องกลับมาหรอกหรือ? เมื่อฟังนางพูดเช่นนี้ นอก เหนือจากสาวใช้ตัวน้อยที่ดูเงียบที่สุดแล้ว สาวใช้อีกสองคนก็พยักหน้าเออออเห็นด้วย

“เฝิ่นหลัว เจ้าคิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะไท่ไท่รอง คุณหนูจะแต่งงานแบบนี้ได้ไหม? เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ เมื่อปีกลายตระกูลซั่งกวนไม่ได้มาคุยเรื่องการแต่งงาน ไท่ไท่พูดว่าอะไร นางบอกว่าอยากจะยกคุณหนูให้แต่งกับเจ้าเมืองอู๋โจวในฐานะนางบำเรอ! นายท่านล่ะ ก็แค่บอกมาคำหนึ่งว่า รอดูก่อน ถ้าตระกูลซั่งกวนไม่มาเกี่ยวดองการแต่งงานครั้งนี้ค่อยมาคุยกัน!” ลู่หลัวอยากจะเขกหัวของเฝิ่นหลัวนัก เพื่อดูว่ามีพวกขี้เลื่อยอยู่ข้างในหรือไม่ เช่นนี้แล้วนางยังจะฝากความหวังไว้กับตระกูลเยี่ยนได้อย่างไรล่ะ?

“แต่ข้าได้ยินชุ่ยลวี่สาวใช้ประจำตัวคุณหนูหกบอกว่า นายน้อยซั่งกวนเป็นชายหนุ่มจอมยุทธ์เจ้าสำราญที่ชื่อเสียงดังกระฉ่อน! ยังมีอีก พี่ฟู่ที่เฝ้าประตูยังบอกด้วยว่า นักเล่านิทานในโรงน้ำชาล้วนรู้จักชื่อเสียงอันลือลั่นของนายน้อยซั่งกวน บอกว่าเขาหล่อเหลาเปี่ยมพรสวรรค์ รูปร่างงามสง่า เพียบพร้อมด้วยความสามารถทั้งบู๊บุ๋น การต่อสู้ร่ายรำดาบราวกับเซียนตัวจริงลง มายังพื้นพิภพ ยังบอกอีกว่าเขามีสาวงามคนสนิทหลายคน มีคนหนึ่งนามว่าหงหลัวซา คนหนึ่งนามว่าอวี๋เซียนจื่อ แล้วยังมีจอมยุทธ์หญิงเซียวเซียงอีกคนหนึ่งด้วย ล้วนเป็นบุคคลสำคัญดั่งเทพธิดา พวกนางจะยอมน้อยหน้าคุณหนูของเราได้หรือ?” เฝิ่นหลัวพูดอย่างกังวลใจมาก ทว่าเมื่อเทียบกับอนาคตของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางกังวลอนาคตของตัวเองมากกว่า

“เฝิ่นหลัว หลานหลัว ชิงหลัว เฉิงหลัว พวกเจ้าทั้งสี่ต่างได้รับการฝึกฝนจากไท่ไท่ จะมีข้อสงสัยเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่พอใจกับสาวใช้เหล่านี้ ทั้งอายุน้อย ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่พร้อมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่ไม่ชอบยิ่งกว่าคือพวกนางยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของพวกนาง แม้จะมีสาวใช้ตัวน้อยหลายคนแบบนี้อยู่ต่อหน้าไท่ไท่กับคุณหนูคนอื่นๆ แต่นั่นก็ยังคงแตกต่างอยู่ดี

“เปล่าเจ้าค่ะ! คุณหนู ไม่เกี่ยวข้องกับไท่ไท่นะเจ้าคะ!” หลานหลัวร้องขึ้นมาแล้วพูดว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สาวใช้ใหญ่สองสามคนประจำตัวคุณหนูหกเป็นคนพูด! พวกนางยังบอกด้วยว่า แม้ตระกูลเยี่ยนจะร่ำรวยมาก พิถีพิถันมากและมีกฎควบคุมอย่างดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับตระกูลซั่งกวนแล้วซึ่งเป็นคนรวยในชนบท ไม่เพียงคุณหนูเท่านั้นที่จะถูกมองดูแคลนในด้านการดูแลบ้านเรือน แต่พวกเราที่เป็นผู้น้อยก็จะถูกรังแกจากผู้น้อยพวกนั้นด้วยเช่นกัน!”

“งั้นหรือ? พวกเจ้าติดตามข้าก็ไม่นานนัก ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าไม่สบายใจที่ต้องอยู่ข้างๆ ข้าอย่างนี้ จื่อหลัว พรุ่งนี้เจ้าส่งพวกนางทั้งสี่คนกลับไปหาไท่ไท่ เพียงแค่บอกว่าข้าสั่งมา ข้าไม่อยากได้คนติดตามที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้” ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงนิ่งเรียบ แต่ในดวงตาฉายประกายคมกริบ เดิมทีสาวใช้ทั้งสี่คนนี้ต้องการให้ลู่หลัวและจื่อหลัวร่วมมือด้วยต่างหาก แต่ตอนนี้ดูท่ากำลังจะเพิ่มปัญหาขึ้นเล็กน้อย

“คุณหนู ได้โปรดคุณหนูอย่าส่งชิงหลัวไปนะเจ้าคะ!” ชิงหลัวที่คราแรกไม่ได้พูดอะไรเลย ก็เดินตามจื่อหลัวไปเก็บข้าวของด้วยความรีบร้อน แล้วคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว

“เจ้าบ้าไปแล้ว!” หลานหลัวพูดอย่างร้อนใจ “คุณหนูหกไม่ได้เต็มใจอยากได้เจ้าหรอกเหรอ? คุณหนูหกเกิดจากฝ่ายภรรยาหลวง ในอนาคตนางแต่งงานไปที่ใดก็จะเป็นภรรยาเอก และจะไม่ถูกกีดกันด้วย!”

“โอ้? คุณหนูหกพูดอะไรกับพวกเจ้างั้นหรือ?” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คลี่ยิ้ม ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความสดใสชั่วขณะ ยกเว้นลู่หลัวกับจื่อหลัวที่รู้อารมณ์ของนางดี สาวใช้ตัวน้อยทั้งสี่ต่างก็อึ้งไป…พวกนางรู้ว่าคุณหนูห้าเป็นหญิงงามที่สวยหยาดเยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูไม่กี่คนในจวนเยี่ยนหรือที่อื่นๆ พวกนางไม่เคยเห็นใครที่สวยงามไปกว่าคุณหนูห้า แต่คุณหนูห้ายังคงใบหน้าบึ้งตึงทุกวัน และไม่เคยหัวเราะ เป็นคนงามที่เหมือนท่อนไม้ ทว่าไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่านางจะยิ้มได้อย่างสวยงามเช่นนี้

จบกัน! จบกัน! ลู่หลัวกับจื่อหลัวสบตากันโดยรู้ว่าคุณหนูของพวกนางโกรธเข้าแล้วจริงๆ คุณหนูของนางแทบไม่ได้หัวเราะเลยตั้งแต่ไท่ไท่รองจากไป นางยิ้มได้อย่างมีเสน่ห์จริงๆ! ป้าโม่เคยพูดบ่อยๆ ในตอนนั้นว่า คุณหนูแค่ยิ้มก็ใจอ่อนยวบจึงง่ายที่จะเกิดปัญหา คุณหนูจึงหยุดยิ้ม แต่เมื่อคุณหนูโกรธถึงขีดสุด ก็อดเผยให้เห็นรอยยิ้มไม่ได้

“ชิงหลัว เจ้าพูดมา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งให้ชิงหลัวพูด

“คุณหนู ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูหกพูดแบบนั้นหรือเปล่า แต่ชุ่ยลวี่สาวใช้ประจำตัวคุณหนูหกและเยียนหงสาวใช้ประจำตัวคุณหนูเจ็ดนั้นพูดกับพวกบ่าวไพร่ตามลำพัง พวกนางต่างบอกว่าคนที่คุณหนูแต่งงานด้วยไม่ใช่ตระกูลธรรมดา เป็นคู่บุพเพ สันนิวาสจริงๆ! น่าเสียดายที่แม้ไท่ไท่รองจะเป็นผิงชี แต่นางก็ได้รับการยกย่องหลังจากที่ให้กำเนิดคุณหนู นางเป็นอนุภรรยาที่มาจากสามัญชนตอนที่แต่งเข้าตระกูลเยี่ยน คุณหนูก็ถือว่าเป็นอนุภรรยา! ยังบอกด้วยว่าตระกูลซั่งกวนเต็มใจจะแต่งงานกับคุณหนูเพราะเหตุนี้ คุณชายซั่งกวนเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้คน แต่เพราะยอดเยี่ยมเกินไป จึงมีหญิงสาวอยู่รอบตัวเขามากขึ้นด้วย ถ้าเขาแต่งงานกับภรรยาเอกที่มีฐานะดี ก็ต้องไว้หน้าให้ภรรยาหลวงมากกว่านี้ แล้วจะเจ้าสำราญไม่ได้ และจะยกย่องสาวงามคนสนิทของเขาแต่งเข้ามาก็ไม่ได้ เขาจึงยอมแต่งกับคุณหนู หากคุณหนูเป็นอย่างนี้ พอแต่งเข้าก็จะถูกตัดหางปล่อยวัดทันที ไม่แน่อาจจะถูกตีจนเข้าวังเย็น แม้แต่สามีก็จะไม่ได้เห็น เหมือนอย่างเราที่เป็นสาวใช้สินเดิม เมื่อไปถึงที่นั่น ก็จะเป็นสิ่งที่ด้อยที่สุด!” ชิงหลัวพูดอย่างตรงไปตรงมา “พวกนางต่างบอกว่า ถ้าเราเต็มใจ ก็จะอยู่ต่อได้ คุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดยังขาดสาวใช้ชั้นสอง แทนที่จะไปเป็นบ่าวชั้นต่ำสุดของตระกูลซั่งกวน สู้เป็นสาวใช้ชั้นสองอยู่ในจวนเยี่ยนยังจะดีกว่า หากเป็นที่โปรดปราน ก็ยังได้เป็นเมียทาสให้กับนายน้อยหรือท่านเขยในอนาคตของคุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ด ในวันหนึ่งจะได้มีชีวิตที่เป็นนายของตัวเอง!”

“เป็นแบบนี้นี่เอง! งั้นพวกเจ้าสามคนอยากอยู่ต่อหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หายโกรธในบัดดล สีหน้าก็กลับมาสงบเหมือนเดิม

“คุณหนู ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากเป็นสินเดิมของท่าน จริงๆ แล้วพ่อแม่ของเราทั้งคู่อยู่ในอู๋โจว ไม่อยากจากบ้านไปไกลเกินไป…” หลานหลัวปริปากพูดอย่างตกประหม่า นางก็รู้ว่ามันไม่เหมาะสมเล็กน้อยที่จะพูดแบบนี้ในตอนนี้ แต่เมื่อนึกถึงคำสัญญาของชุ่ยลวี่ ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

“พวกเจ้าก็ไปหาคนที่เต็มใจจะเก็บพวกเจ้าไว้เดี๋ยวนี้เลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา “แต่จำไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่เอาพวกเจ้าอีก จื่อหลัว ดูพวกนางออกจากเรือน ไล่ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“คุณหนู เสื้อผ้าของเรา!” เฝิ่นหลัวโพล่งออกมาคำหนึ่งอย่างร้อนรน

“รอให้ข้าไปแล้วค่อยเข้ามาเก็บ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขยิบตาให้จื่อหลัว จื่อหลัวไล่สาวใช้ตัวน้อยทั้งสามออกไปอย่างไม่ไยดี แล้วยังเร่งให้ออกจากเรือน

“คุณหนู ท่านไม่ต้องโกรธ ยังมีพวกเราอยู่ไม่ใช่หรือ” ลู่หลัวยกถ้วยชาร้อนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเป็นห่วง แล้วกล่าวถ้อยคำที่อบอุ่นอย่างเป็นกันเอง

“โกรธเหรอ? ยัยโง่ โกรธอะไรกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จิบชาคำหนึ่ง จากนั้นใบหน้าแข็งทื่อก็หยุดเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไรจะโกรธ ชิงหลัว ข้าแปลกใจมากกว่า ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่อ? ในหมู่สี่คน เจ้าเป็นคนที่เก่งที่สุด ท่าทางก็โดดเด่นเช่นกัน ถ้าอยู่ต่อไปก็จะมีทางเลือกที่ดีกว่าพวกนาง”

“คุณหนู!” ชิงหลัวคุกเข่าโดยไม่กล้าขยับแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะอยู่หรือจากไปก็ดี ชิงหลัวมีชีวิตเป็นบ่าว ชิงหลัวรับใช้คุณหนูห้า ถ้าอยู่ต่อตอนนี้ ก็จะทรยศต่อเจ้านาย ไม่ว่าจะอยู่กับเจ้านายคนไหน ก็คงทำไม่ถูกใจ สู้อยู่กับคุณหนูจะดีกว่า และ

อีกอย่าง แม้บรรดาเจ้านายในจวนจะใจดีแค่ไหน แต่นอกจากคุณหนูแล้ว ไม่ว่าสาวใช้จากเรือนไหนในทุกปีถ้าไม่ถูกขายออกไป ทำอะไรผิดก็จะถูกตีโบยจนตาย หรือถูกตีโบยจนพิการ ชิงหลัวไม่ขอลืมตาอ้าปากเป็นนาย ได้รับใช้คุณหนูไปชั่วชีวิตก็ดีแล้ว!”

“ถูกต้องแล้ว!” ลู่หลัวขัดจังหวะว่า “คุณหนูใจดีที่สุด ข้ากับจื่อหลัวรับใช้คุณหนูมาหลายปีแล้ว เมื่อทำผิดก็ถูกลงโทษเพียงเล็กน้อย ไหนเลยจะเหมือนกับคุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ด ตีโบยบ่าวจนตายทุกปีงั้นหรือ? เฝิ่นหลัวและคนอื่นๆ หูตาบอด ข้าว่านะ ไม่ถึงครึ่งปีหรอก พวกนางจะต้องเสียใจจนลำไส้เขียวคล้ำ[1]!”

“ครึ่งปี? ข้าคิดว่าไม่จำเป็น!” จื่อหลัวหันกลับมา หัวเราะเยาะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู ข้าเคยบอกเรื่องนี้กับแม่นมจ้าว แม่นมจ้าวบอกว่าไท่ไท่เป็นคนสั่งการ คิดว่าจะใช้วิธีนี้เพื่อให้คุณหนูมีสาวใช้สินเดิมไม่พอ จะทำให้เสียหน้าเล็กน้อย และทำให้ตระกูลท่านเขยดูเบาคุณหนูได้เจ้าค่ะ”

“แม่นมจ้าวรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แปลกใจมากนัก แม่นมจ้าวเป็นคนที่ฉลาดทันคน มีหลายวิธีในการจัดการกับสาวใช้พวกนี้

“แม่นมจ้าวบอกว่ารู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้สนใจพวกนาง แม่นมจ้าวยังบอกอีกว่า ครึ่งปีก่อน ป้าโม่ซื้อสาวใช้สี่คนจากแม่ค้านายหน้าแล้ว พวกนางอายุได้สิบห้าสิบหกปี พวกนางไม่ได้มาจากครอบครัวที่ยากจนธรรมดา แต่มาจากสถานที่พิเศษ ราคาจึงแพง สาวใช้คนหนึ่งใช้เงินยี่สิบตำลึง แม่นมจ้าวยังบอกด้วยว่า สาวใช้พวกนั้นมีอายุได้เจ็ดแปดขวบก็ถูกซื้อมาฝึกฝนเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ขายให้กับผู้ที่เพิ่งมีชื่อเสียงและกำลังจะเข้ารับตำแหน่งเพื่อเชิดหน้าชูตา แม่นมจ้าวจะพาพวกนางกลับมาในวันพรุ่งนี้” จื่อหลัวกล่าวด้วยใบหน้าชื่นชม

“แล้วพักอยู่ที่ไหนกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกอบอุ่นใจ ที่แท้ท่านป้าก็ไม่ลืมที่จะปูทางให้ตัวเองแม้ในขณะที่ป่วยอยู่ ดูท่านางจะต้องแต่งงานอย่างเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นท่านป้าจะไม่มีวันได้พักผ่อนจริงๆ!”

“พักอยู่กับหลานชายห่างๆ ของแม่นมจ้าว แต่หลานชายห่างๆ ของแม่นมจ้าวไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงแม่หม้ายกับลูกสะใภ้หม้ายอยู่ในบ้าน แม่นมจ้าวบอกว่าป้าโม่ให้เงินแก่พวกนางหนึ่งร้อยตำลึงเต็มๆ ซึ่งถือว่าทำดีที่สุดแล้ว!” จื่อหลัวพูดอย่างจริงจัง เงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้นมากอยู่แล้ว สาวใช้ที่หน้าตาสะสวยหน่อยอย่างชิงหลัวแบบนี้จะซื้อได้ด้วยเงินเพียงห้าตำลึง เงินหนึ่งร้อยตำลึงก็เพียงพอสำหรับแม่กับลูกสะใภ้ที่เป็นหม้ายจะได้รับความสุขสบายไปตลอดหลายสิบปี

“คุณหนู โปรดท่านอย่าทิ้งข้าเลยนะเจ้าคะ!” ชิงหลัวกระวนกระวาย ถ้าเป็นเช่นนั้นนางอาจจะหมดหนทางและตายได้

“ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ที่ตระกูลเยี่ยน เจ้าไปเป็นสินเดิมของข้าแล้วกัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเบาๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านเขยในอนาคตจะดีกับข้าหรือไม่ และไม่รู้ว่าสถานะของข้าที่อยู่ในตระกูลซั่งกวนจะน่าอับอายหรือไม่ แต่อย่างน้อยมีสิ่งหนึ่งที่ข้าพอรับประกันได้ คือตระกูลซั่งกวนจะไม่มีวันปล่อยให้ข้ากับคนรอบข้างของข้าต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูใดๆ เจ้ามั่นใจได้!”

“ใช่แล้ว!” ลู่หลัวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นว่า “ยัยโง่สามคนนั้นไม่รู้เรื่องรู้ราว เห็นอยู่ทนโท่ก็ยังจะพลาดโอกาส! ควรรู้ไว้ว่า การแต่งงานของคุณหนูไม่ใช่เรื่องที่นายท่านจะขัดง่ายๆ เหตุใดคุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดจึงต้องลอบใช้ลูกไม้กลั่นแกล้ง? แล้วยังโกรธที่คุณหนูจะแต่งงานอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีก!”

“น่าเสียดายที่พวกนางไม่มีชีวิตแบบนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนสนใจจะพูดถึงประเด็นนี้มากจึงกล่าวว่า “ตระกูลซั่งกวนไม่ใช่ตระกูลธรรมดา พวกนางรู้ด้วยว่าตระกูลซั่งกวนนั้นดีกว่าตระกูลเยี่ยนมาก คนอื่นๆ จะไปรู้อะไร? แต่เป็นเพราะไท่ไท่นั้นขี้อิจฉา และก็เข้ามายุ่งให้วุ่นวายด้วย”

“แต่ว่าคุณหนู บ่าวก็รู้ว่าครอบครัวซั่งกวนเป็นตระกูลชนชั้นสูง นอกนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลย” จื่อหลัวเป็นคนที่รู้จักเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากที่สุด รู้ว่านางต้องมีเจตนาจะพูดแบบนี้จึงจงใจขอร้องว่า “คุณหนู ท่านเล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่เจ้าคะ?”

“จื่อหลัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าราชวงศ์ต้าเยียนของเราก่อตั้งมากี่ปีแล้ว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามคำหนึ่ง เพียงแต่นางก็ไม่คิดว่าจื่อ หลัวจะรู้ จึงก้มหน้าก้มตาเล่าว่า “มากกว่าสองร้อยยี่สิบปีแล้ว แต่ประวัติความเป็นมาของตระกูลซั่งกวนที่ถูกเรียกว่าตระกูลชนชั้นสูงนั้นย้อนกลับไปได้หลายพันปี ถึงขั้นนานกว่านั้น ในใต้หล้าตอนนี้มีตระกูลชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลและอำนาจมากมาย แต่มีเพียงแปดตระกูลเท่านั้นที่เป็นที่ยอมรับได้ แม้แต่ราชวงศ์ยังต้องยืนเฉย! นั่นคือตระกูลเสียนหยางอิ๋ง ลั่วหยางหลี่ ไคหยางหวัง

จือหยางชุย ลี่โจวซั่งกวน ฝูโจวหวงฝู่ เหยี่ยนโจวทั่วป๋า โยวโจวมู่หรง บรรพบุรุษของพวกเขาล้วนเป็นวีรบุรุษที่มีอำนาจเหนือกว่าและบางคนถึงกับได้รับการขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิอีกด้วย เสียนหยางอิ๋งก่อตั้งราชวงศ์ต้าฉิน ลั่วหยางหลี่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าถัง เหยี่ยนโจวทั่วป๋าก่อตั้งราชวงศ์ต้าเหลียง โยวโจวมู่หรงก่อตั้งราชวงศ์ซีเยียน ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าเยียนของเรานั้นก็คือหนี่ว์ซวี่ แม้ตระกูลซั่งกวนจะไม่ได้รับการขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิสร้างชาติ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ จึงได้ไม่กล้าจะเพิกเฉยต่อตระกูลซั่งกวน ข้าแต่งงานครานี้ได้เพียงเพราะมิตรภาพที่ลึกซึ้งระหว่างท่านแม่ของข้ากับฮูหยินของซั่งกวน มิฉะนั้นนายน้อยแห่งซั่งกวนจะแต่งงานกับองค์หญิงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับต้องเป็นเรื่องยาก!”

“ว้าย คุณหนู แล้วท่านแต่งเข้าไปจะไม่รู้สึกอัปยศอะไรจริงหรือ?” ในที่สุดลู่หลัวก็กังวลใจ!

———————————-

[1] เสียใจจนลำไส้เขียวคล้ำ หมายความว่า เมื่อลำไส้เน่าเปื่อยจะกลายเป็นสีเขียว อุปมาว่า เสียใจหรือเสียดายอย่างสุดซึ้ง เสียใจหรือเสียดายจนตาย