ภาคที่ 1 บทที่ 8 สองหนุ่มทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ! (ตอนปลาย)

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 8 สองหนุ่มทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ! (ตอนปลาย)

“แต่นายต้องระวังไว้นะ พวกนั้นอาจจะเล็งสร้างปัญหาให้นายก็ได้ เจ้าพวกนั้นน่ะเก่งเรื่องเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสูงส่งนี่นา”

ซูชือพูดอย่างเป็นห่วง

“ไม่สำคัญหรอก”

ซูเย่ตอบกลับขณะที่หยิบหนังสือ “ตรรกะแพทย์แผนจีน” ที่เขียนโดยคนยุคปัจจุบันจากโต๊ะของซูชือมาอ่าน

เขาเปลี่ยนหน้าไวมากจนไม่เหมือนกับอ่านหนังสือ แต่เป็นการเปิดผ่าน ๆ ตามใจมากกว่า

จินฟาน “…”

ซูชือ “…”

“ถ้านายอ่านแบบนั้น ฉันเชื่อก็ได้ว่านายอ่านมาแล้ว 50 เล่ม”

จินฟานพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

หลังจากที่อ่านฟอรัมของมหาลัยตัวเองไปแล้ว ซูชือก็ยังไม่ยอมแพ้และกลับไปหาฟอรัมซุบซิบอีกครั้ง

นอกจากโพสต์ของสาวในชุดฮั่นฝูแล้ว ก็มีบางอย่างที่ชวนสะดุดตา…

‘สุดปัง! นักศึกษาสองคนทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าสาธารณชนในจัตุรัสกลาง!’

“โพสต์นี้ต้องหมายถึงเราแน่ ๆ!”

ซูชือรีบกดเข้าไปอ่านในกระทู้อย่างตื่นเต้น

แน่นอนว่าในฟอรัมนั้นพูดถึงวงของพวกเขา แต่เมื่อดูถึงเนื้อหาดี ๆ ดันกลายเป็นเนื้อหาที่ว่าซูเย่โดนยั่วโมโห ก่อนจะตอกกลับด้วยการเล่นกีตาร์สุดเทพ พร้อมทั้งแนบหลักฐานวิดีโออย่างครบครัน

ซูชือและจินฟานไม่ได้พูดอะไร

เมื่อได้ลองอ่านคอมเม้นต์ทั้งหลายแล้ว ทั้งสองหน่อก็พบว่าพวกเขาโดนเมินโดยสิ้นเชิง!

“บ้าน่า นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย? เห็นเหมือนกันปะ? ดีดไวจนแทบจะกระพือปีกบินได้แล้วนะนั่น!”

“ตอนแรกก็ตกใจแล้วนะที่เล่นเร็วกว่าปกติ 1.25 เท่าอะ แต่พอเล่นเร็วกว่าเดิม 1.5 เท่านี่ ผมอย่างอึ้งอะ กินอะไรมาเนี่ยถึงเล่นได้ขนาดนี้!”

“เราเองก็เล่นกีตาร์ เราบอกทุกคนได้เลยว่าแค่เล่นได้อ่ะ ไม่ยากหรอก แต่ถ้าจะให้เล่นแบบนั้นนี่มีตัดแขนก่อนเหอะ เลือดไม่เดิน ฮ่าฮ่าฮ่า “

“โคตรชอบว่ะ เราขอประกาศตรงนี้เลยว่าเรามีท่านเทพในใจเพิ่มอีกคนละ!”

“ฉันอยากให้คนจากชมรมดนตรีซิงเหมิงมาอีกนะ อยากเห็นคนโดนตบเกรียนอีก ชอบ ฮ่าฮ่าฮ่า “

“หิวกินข้าว ห้าวกินตีนของแท้เลยว่ะ”

“โอ้ย สมน้ำหน้าไอ้พวกชมรมดนตรีซิงเหมิงจอมอวดดีนี่จริง ๆ ดีแล้วที่มีคนมาสั่งสอนไอ้พวกนี้ให้รู้จักที่ของตัวเองซะบ้าง”

……

ซูชือไถหน้าจอมือถือรื้อค้นอ่านข้อความอยู่นาน แต่ก็หาคอมเม้นต์เกี่ยวกับตัวเขาไม่เจอเลยสักอันเดียว จนต้องพูดออกมาด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวในที่สุดว่า

“อะไรกันเนี่ย มีแต่คอมเม้นต์เกี่ยวกับซูเย่ทั้งนั้น แล้วพวกเราล่ะ.. “

จินฟานหยิบมือถือออกมาแล้วพิมพ์ตอบกลับไปในฟอรัม “นี่คือการรวมตัวกันของสองนักร้องจินฟานและซูชือ และมือกีตาร์ซูเย่ วันพรุ่งนี้เราจะขึ้นแสดงในงานปฐมนิเทศของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจ เชิญมาร่วมได้ตามสบาย”

จินฟานวางมือถือลง “โอเค ทีนี้พวกเขาก็รู้จักเราแล้วล่ะ “

“เหล็กกล้างั้นเหรอ ชื่อวงสิ้นคิดชะมัด เอ๊ะ..นี่ไงพี่ ซูเย่ที่ฉันเคยพูดถึง คนที่เล่นกีตาร์เมื่อตอนนั้นน่ะ”

เด็กสาวที่ตอนแรกอยู่ในชุดฮั่นฝูสีขาว ตอนนี้ได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนผ้าไหม เธอนั่งอยู่บนเตียงสีชมพูนุ่ม ๆ ขนาดนอนกันสองคน เธอชี้ไปที่แท็บแล็ตขณะพูดคุยกับพี่สาวซึ่งสวมใส่ชุดนอนสีขาวเช่นเดียวกัน

เด็กสาวทั้งสองหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน

แขนเรียวยาวราวกับรากบัวหิมะ คอยาวระหงสวยรับกับใบหน้า ทรวงทรงอกเอวสมส่วนสวยงามดุจรูปปั้น เมื่อรวมใบหน้าที่งดงามราวกับนางฟ้าของทั้งสองแล้ว

สิ่งเดียวที่แตกต่างกันคงจะมีแค่คิ้วของน้องสาวที่ดูขี้เล่น ในขณะที่พี่สาวนั้นดูสง่างามและเคร่งขรึม

ไป๋จือหรานเดินเข้ามาดูวิดีโอในกระทู้ ดวงตาของเธอฉายแววแปลกใจเล็กน้อย

ช่างเป็นมือกีตาร์ที่มีฝีมือ

“เป็นไงบ้าง? เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ?”

ไป๋จือเหยียนกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “ลองคิดดูสิ ถ้าพี่ได้ประลองฝีมือกับเขา คงน่าสนุกน่าดูเลยใช่ไหม ใครจะเป็นผู้ชนะกันนะ”

ไป๋จือหรานส่ายหน้าเล็กน้อยและไม่ได้ตอบคำถามนั้น ไป๋จือเหยียนก็ไม่ได้สนใจนักและเลื่อนอ่านในกระทู้ต่อไป

จนกระทั่งสายตาของเธอไปพบกับข้อความอะไรบางอย่าง ดวงตาของหญิงสาวก็ลุกวาวในทันที “คืนพรุ่งนี้พวกซูเย่จะขึ้นแสดงที่งานปาร์ตี้รับน้องด้วย ทำไมเราไม่ลองไปส่องดูกันหน่อยล่ะพี่”

ไป๋จือหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “ได้สิ”

ขณะเดียวนั้น ภายในฟอรัมของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง กระทู้ที่มีผู้เข้าชมสูงสุดก็คือ…

“อนาถใจ! เด็กจากชมรมการดนตรีซิงเหมิงทำแบบนี้กับเด็กจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางต่อหน้าสาธารณชน!”

หลังจากที่นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางเห็นกระทู้นี้ พวกเขาล้วนกดเข้าไปอ่านกันแทบจะทุกคน

หลังจากที่เห็นคลิปในกระทู้แล้วทุกคนล้วนโล่งใจ

“ฉันเองก็อยู่ในเหตุการณ์ คนจากชมรมดนตรีซิงเหมิงคนนั้นดูโคตรน่ารำคาญเลยอะ แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่าซูเย่จากม.ของเราจะตอกกลับไปได้ด้วย เจ๋งสุด!”

“เด็กจากม.จี้หยางนี่เจ๋งดีแฮะ ซูเย่ก็เจ๋ง ชื่อวงก็ดูสุดยอด!”

“ขอคาระวะท่านซูเย่!”

แต่ในไม่ช้าเสียงอื่น ๆ ก็เริ่มตามมากลบคำสรรเสริญ

“เรายอมรับว่าซูเย่ก็เจ๋งดี แต่เขาไม่น่ามาเรียนมหาลัยแพทย์เลยนะ ควรไปเอาดีด้านดนตรีมากกว่า ยิ่งคณะวิจัยสมุนไพรจีนแล้ว ควรยุบไปเลยเหอะ ถามจริงมีใครอยากให้มือกีตาร์มาตรวจชีพจรหรือสกัดสมุนไพรให้กินบ้าง? เราขอบ๊ายบายแล้วหนึ่ง”

“พวกการวินิจฉัยแพทย์อะไรแบบนี้ มันถกเถียงกันได้อะ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าซูเย่เป็นคนเก่งนี่นา”

“ความเก่งของซูเย่ก็มีดีแค่เรื่องดนตรีปะวะ เรียนวิจัยก็ควรเก่งเรื่องวิจัยดิ ไม่ใช่ดนตรี”

“ก็นะ ฉันหวังว่าซูเย่จะตั้งใจเรียนเหมือนกับที่ตั้งใจเล่นกีตาร์ จะได้ไม่พาชื่อเสียงนศ.แพทย์ล่มจมกันไปหมด”

ในไม่ช้า คอมเม้นต์ต่าง ๆ เริ่มกลายเป็นการโจมตีที่ตัวของซูเย่และคณะวิจัยสมุนไพรจีนไปเสียอย่างนั้น

“เชี่ย ไอ้คนพวกนี้มาจากไหนกันเยอะแยะฟะ โจมตีกันอยู่นั่นแหละ พวกเราก็แค่อยากจะช่วยชีวิตคนเหมือนกันแท้ ๆ ไม่เข้าใจรึไง!”

ซูชือเลื่อนปิดกระทู้อย่างอารมณ์เสีย ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปไล่อ่านต่อ!

“นายเนี่ยโชคร้ายจังเลยแฮะ.. “

ซูชือวางมือถือลงแล้วมองซูเย่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “อยู่ต่อหน้าก็โดนเหยียบย่ำ อยู่ลับหลังก็โดนด่าในเน็ต”

“คนสมัยนี้ก็ว่างกันแบบนี้แหละมั้ง”

ซูเย่กล่าวก่อนจะปิดหนังสือลง แล้วหยิบเล่มใหม่ขึ้นมา เปิดอ่านมันอย่างรวดเร็วเช่นเดิม

จินฟานและซูชือเลิกสนใจเขาแล้วหันไปดูรายละเอียดของเกมที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วประเทศ ทั้งที่เปิดตัวไปได้ไม่นานอย่าง “Fantasy Dreams” แทน

กำหนดเปิดทดลองเกมคืออีกสองวันข้างหน้า ทั้งสองคนได้ซื้อหมวก VR เอาไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้ก็เหลือแค่รอตัวเกมปล่อยออนไลน์ พวกเขาก็พร้อมจะพุ่งเข้าไปเล่นได้ในทันที

เกมนี้นับได้ว่าได้รับแรงผลักดันจากผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศเป็นตัวหลักเลยทีเดียว หรือต้องเรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศนี้ยอมลงทุนผลักดันเรื่องเกมมากกว่า

ซูเย่ปิดหน้าหนังสือลงหลังจากที่อ่านจบ

เขาหยิบหนังสือเรียนมาจากบนโต๊ะก่อนจะหันกลับมานั่งบนเตียง พิงหลังเข้ากับกำแพงเพื่อแสร้งว่ากำลังอ่านหนังสือ แต่ในห้วงความคิดนั้น ภายในราชวังแห่งความทรงจำปรากฏภาพร่างจำแลงและในมือของเขาเต็มไปด้วยตำราไม้ไผ่จากโซนยุคจ้าวกว๋อ

มีเพียงสองคำที่ปรากฎอยู่บนตำรานั้น “ห่าวหราน”

“นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว นับตั้งแต่วันที่บรรจบครบรอบ…จนถึงตอนนี้ ความเข้มเข้นของพลังปราณก็ยังนับได้ว่าต่ำอยู่ดี….ดูเหมือนว่าคงถึงเวลาที่ต้องเอาวิชานั้นมาใช้แล้วสินะ… “