ภาคที่ 1 บทที่ 9 เทพธิดาเป็นของฉัน จงชักดาบของเจ้าออกมา! (ตอนต้น)

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 9 เทพธิดาเป็นของฉัน จงชักดาบของเจ้าออกมา! (ตอนต้น)

“ห่าวหราน”

วิธีนี้เป็นวิถีปฏิบัติของขงจื๊อจิ๋นซือที่สูญหายไปแล้วจากโลก

มันไม่ได้มีพลังอะไรพิเศษ แต่ช่วยให้ฝึกฝนได้เร็วขึ้น

ซูเย่ได้รับแบบฝึกหัดนี้มานานแล้ว แต่เขาก็ยอมอดทนไม่ฝึกใช้วิชานี้สักเท่าไหร่

เหตุผลหลักของวิชานี้ก็คือยิ่งบำเพ็ญตบะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถดูดซับพลังได้มากขึ้นเท่านั้น

เพราะความเข้มข้นของพลังธรรมชาติในสมัยก่อนนั้น มีความเข้มข้นที่สูงมากพอที่จะซึมซับเป็นพลังปราณ จนทำให้เลื่อนระดับไปจุดที่สูงกว่าได้

แต่เขากังวลว่าหากเขาดูดซับมากเกินไปจนโลกเกิดเสียสมดุล ประวัติศาสตร์ก็อาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และทำให้โลกในยุคปัจจุบันเสียหายมากเกินไป

เพราะแบบนั้น ชายหนุ่มจึงได้ร่ำเรียนวิชานี้ไว้ แต่ไม่ได้นำมันมาใช้หรือฝึกฝนแต่อย่างใด

และเพราะเหตุผลนี้ เขาจึงทำได้เพียงแค่อ่านหนังสือตำราแพทย์มาเป็นเวลากว่าสองพันห้าร้อยปี แต่ก็ไม่รู้วิธีการรักษาภาคปฏิบัติ

“แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไปแล้ว”

ซูเย่หลับตาลง ภายในราชวังแห่งความทรงจำ ร่างจำแลงของเขาเปิดตำราไม้ไผ่ออกก่อนจะเริ่มฝึกฝน

“วิถีแห่งหมิงหมิงเต๋อ เข้าใกล้ผู้คน เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบ…”

ทันใดนั้น พลังปราณธรรมชาติของโลกที่อยู่รอบ ๆ ก็เพิ่มขึ้น

เช่นเดียวกันกับการเคลื่อนไหวภายในห้วงจิต รัศมีแห่งสรวงสวรรค์และพื้นดินได้รวมตัวกันเป็นสายธาร 5 สีกำเนิดขึ้นภายในของตัวของซูเย่อย่างรวดเร็ว

แต่พลังเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกดูดซับเข้าร่างกายของเขาอย่างเช่นเคย

“เรียนรู้ ก่อเกิดปัญญา อย่างถ่องแท้…”

กระแสสายธารพลังก่อเกิดเป็นน้ำวนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ประกายแสงสีทองนับไม่ถ้วนล่องลอยออกจากสายธารปราณก่อนจะค่อย ๆ ร่วงหล่นอย่างช้า ๆ ลงมาบนตัวของซูเย่ร่าวกับหิมะโปรยปราย

ทันทีที่ผลึกพลังสัมผัสกับผิว ซูเย่ก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างในร่างกาย

“นี่คือรัศมีแห่งห่าวหรานงั้นเหรอ?”

เหล่าประกายแสงสีทองเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของซูเย่ ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อยจากการซึมซับพลังงานที่เข้มข้นกว่าเดิม

เขาต้องรีบทำสมาธิให้ดี และมีสติ กำหนดการเคลื่อนไหวของจิตใจให้ตั้งมั่น

หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซูเย่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

การรวบรวมพลังปราณสำเร็จด้วยดี!

มุมปากของเขาเผยเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ เขาสังเกตได้ว่าร่างกายของตนเองเต็มไปด้วยรัศมีที่แข็งแกร่งและเข้มข้น ตราบเท่าที่ยังคงใช้วิธีนี้ ซูเย่ก็สามารถดูดซับพลังได้มากกว่าเดิม ด้วยคุณภาพที่ดียิ่งกว่าเดิม

ในสถานะแรกของวิชา “ห่าวหราน” หรือดินแดนแห่งวัตถุนั้น หากสามารถทำแต้มศีลธรรมได้ถึง 10 คะแนนเมื่อไหร่ ก็จะมีความเร็วในการรวบรวมปราณมากกว่าเดิมถึงห้าเท่า!

คนโบราณกล่าวสอนไว้ว่า ยิ่งทำสิ่งดี ๆ ให้ผู้อื่นเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนมากเท่านั้น เพราะเหตุนี้ การเดินทางสายการแพทย์หรือการผลิตยาเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างศีลธรรมและคุณงามความดี และนั่นคือเหตุผลที่ซูเย่เลือกเดินทางสายนี้

“ขั้นแรกคงต้องเก็บแต้มศีลธรรมให้ครบ 10 คะแนน แล้วถึงจะไปขั้นต่อไปได้สินะ!”

ซูเย่เริ่มใช้พลังกายปาฏิหาริย์ ดูดซับมวลพลังระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์อีกครั้ง

วันต่อมา เวลา 18:30 น.

ครึ่งชั่วโมงก่อนงานเลี้ยงต้อนรับเด็กใหม่ประจำปีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางจะเริ่มขึ้น หอประชุมหมายเลข 1 เต็มไปด้วยแขกมากมาย

เชียนจุน รองคณบดีมหาวิทยาลัยมองไปยังเหล่าเด็กรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังกายและพลังใจด้วยรอยยิ้ม “เด็ก ๆ ในปีนี้ล้วนแต่เป็นเด็กที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาปริญญาตรี หรือปริญญาโท..”

“ดีจริง ๆ”

หลังจากจบประโยคนั้น อาจารย์หลี่เคอหมิงที่อยู่ด้านหลังกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ท่านรองคณบดี ผมว่าคุณไม่ลองสนใจเด็กคณะวิจัยสมุนไพรปีนี้ดูบ้างเหรอ? บางทีคุณอาจจะได้เจอเรื่องน่าแปลกใจก็ได้”

“หืม?”

เชียนจุนหันไปมองอาจารย์หลี่เคอหมิงอย่างสนใจใคร่รู้

อาจารย์หลี่เคอหมิงเป็นผู้อาวุโสที่มีทักษะการแพทย์เป็นเลิศ และยังได้รับการยกย่องอย่างสูงจากมหาลัยชั้นนำอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เขาคือตราทองแห่งวงการแพทย์จีน เขาเป็นหนึ่งในสิบลูกมือของฮัวเหรินเชิง ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ระดับประเทศ ด้วยเหตุนั้นไม่มีใครกล้ามาตอแยกับเขาอย่างแน่นอน

ฮัวเหรินเชิงคือผู้ก่อตั้งหลักสูตรวิชาแพทย์แผนจีนและหลักสูตรวิจัยสมุนไพรจีนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั่นเอง

ในฐานะที่อาจารย์หลี่เคอหมิงเป็นลูกมือของอาจารย์ฮัว จึงเป็นเรื่องมีเหตุผลที่รองคณบดีจะฟังความคิดเห็นของเขา

“ผมเจอนักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีนที่น่าสนใจคนหนึ่งเมื่อวานนี้ บางทีเขาอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างเรื่องน่าสนใจให้กับวงการแพทย์แผนจีนในปีนี้ก็เป็นได้”

อาจารย์หลี่เคอหมิงพูดด้วยรอยยิ้ม ถ้าหากตอนนั้นเขาไม่ได้กำลังยุ่งอยู่ ก็คงไปขวางไม่ให้ซูเย่ ออกไปได้ทันเวลาแล้วเชียว

ในที่สุด เขาก็จะได้รู้เกี่ยวกับ “ตำราชีพจรห้าสี” ได้อย่างที่ใจต้องการเสียที

เขารู้ว่าเนื้อหาภายในตำราของจริงที่พบในตอนนี้นั้น มีน้อยกว่าสิ่งที่ซูเย่ได้บอกมา แต่เขาก็เชื่อว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้โกหก

“จริงเหรอ?”

เชียนจุนกล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “เมล็ดพันธ์ุที่ดี แม้ดีแค่ไหน ถ้าดินไม่ดี น้ำไม่ดี ก็จะไม่มีวันงอกงาม…” คำกล่าวของเขาฟังดูอ้อมค้อมแต่อาจารย์หลี่เคอหมิงเข้าใจดีว่ารองคณบดีต้องการจะสื่อถึงอะไร

แม้คณะแพทย์แผนจีนจะเป็นคณะที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบัน แต่ถ้าหากผลผลิตจากสถาบันไม่สามารถมีคุณภาพที่ดีได้ถึงเกณฑ์ สักวันหนึ่งก็คงถูกปิดตัวลง

“แน่นอน เป็นเรื่องจริงทีเดียวครับ”

อาจารย์หลี่เคอหมิงตอบ

“นักศึกษาคนนั้นมีเชื่อว่าอะไร?”

เชียนจุนถามอย่างสงสัย

“ซูเย่”

ซูเย่?

เชียนจุนชะงักไปเล็กน้อยเนื่องจากรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

“เป็นคนเดียวกันกับไอ้หนุ่มที่ตอกหน้านักเรียนจากชมรมการดนตรีซิงเหมิงที่จัตุรัสกลางเมื่อวานนี้”

อาจารย์หลีเคอหมิงอธิบายเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่โจษจันมากในมหาวิทยาลัย ทั้งนักศึกษาและครูบาอาจารย์ต่างรู้ถึงเรื่องนี้กันทั้งหมด

หลังจากที่รู้เรื่องราวแล้ว ยิ่งทำให้อาจารย์หลี่เคอหมิงมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าซูเย่เป็นนักศึกษาที่มีศักยภาพมากกว่าที่เห็นภายนอก

“วีรบุรุษตัวน้อยที่สู้เพื่อศักดิ์ศรีของมหาลัย..”

เชียนจุนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบรายชื่อลำดับการแสดงออกมาดู “ดูเหมือนเขาจะมีการแสดงของงานวันนี้เสียด้วย ผมจะตั้งหน้าตั้งตารอชมนะ “

ไม่ทันไรเสียงโห่ร้องวุ่นวายก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“เกิดอะไรขึ้น?”

เชียนจุนเอ่ยถามพร้อมคิ้วที่ขมวดย่นเล็กน้อย

งานปาร์ตี้ต้อนรับแบบนี้จะให้เกิดเรื่องอะไรไม่ได้ คณบดีและเหล่าผู้บริหารกำลังจะมาในไม่ช้าแล้ว

ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น นั่นคือความรับผิดชอบของรองคณบดี

เมื่อเห็นเช่นนั้น เสี่ยววูที่เป็นผู้ช่วยก็รีบลุกขึ้นไปดูสถานการณ์ทันที

ไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนเดินเข้ามาในหอประชุมแล้วมองไปรอบ ๆ โดยไม่ได้สนใจเสียงหรือสิ่งรบกวนรอบข้างแม้แต่น้อย

บ้าไปแล้ว สาวสวยสองคนนี้ใครกัน?

นี่มันจะไม่สวยเกินไปหน่อยเหรอ?

หลังจากเห็นหญิงสาวทั้งสองแล้ว เหล่าชายหนุ่มไม่อาจทำใจละสายตาได้เลย ทุกคนล้วนคิดเห็นตรงกันว่าสองสาวนั้นสวยงามราวกับเทพธิดามาจุติ

เทพธิดาฝาแฝดแห่งสถาบันดนตรีซิงเหมิง!

แต่ละมหาวิทยาลัยล้วนมีเรื่องเล่าของตน รวมถึงเรื่องซุบซิบมากมาย แต่หนึ่งในเรื่องที่ดังที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่สถาบันดนตรีซิงเหมิงมีเทพธิดาฝาแฝดที่มีรูปลักษณ์งดงามอยู่คู่หนึ่ง

พี่น้องไป๋จื๋อที่ได้รับนามสกุลไป๋มาจากพ่อ และสกุลจื๋อจากแม่

พี่น้องทั้งสองได้รับการสถาปนาเป็นเทพธิดาตั้งแต่แรกเริ่มเข้าเรียน การถูกยกย่องให้เป็นเทพของสถาบันดนตรีซิงเหมิงนั้น นอกจากจะมีฝีมือแล้ว จะต้องมีหน้าตาที่งดงามราวกับเทพธิดามาจุติ

น่าเสียดายที่ทั้งสองคนนั้นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในปีแรก ทำให้แทบไม่มีใครได้พบเจอพวกเธอเลยนอกจากคลาสเรียน และแม้ว่าพวกเธอจะอยู่ชั้นปีที่สองแล้ว แต่การได้พบปะกับพวกเธอตัวเป็น ๆ นั้นก็ยังนับว่าเป็นเรื่องยากอยู่ดี

แต่พวกเธอกลับมาโผล่ที่งานเลี้ยงของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางเสียอย่างนั้น!

“ไปที่มุมตรงนั้นกันเถอะ”

ไป๋จือหรานเห็นมุมที่ว่างอยู่มุมหนึ่งก่อนจะจับมือน้องสาวของเธอแล้วพาไปยังมุมว่างนั้น

ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหน ทุกสายตาต่างจับจ้องมองไม่วางตา

หรืออีกอย่างคือไม่มีใครละสายตาจากพวกเธอเลยนับตั้งแต่พวกเธอเดินเข้ามาในห้องนี้

ในตอนนี้ ข่าวการมาถึงของสองสาวที่มาเยือนงานปาร์ตี้ต้อนรับเด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนจี้หยาง ได้กระจายมาถึงเว็บบอร์ดรวมมิตรมหาลัยแล้ว

“สองเทพธิดามาเยือนปาร์ตี้ที่มหาลัยแพทย์จี้หยางเว้ย!! รีบมาให้ไว!”

ทันทีที่กระทู้นี้แพร่ออกไป เหล่าชายหนุ่มจากทั่วสารทิศก็รีบเข้ามาแสดงความเห็นกันทันที

“เหยด ท่านเทพธิดายอมออกงานแล้วเหรอ?”

“ส่งโลฯ มาเดียวนี้! ท่านเทพธิดาน่ะของตูเว้ย ชักดาบออกมาเลย!”

“โห ตูแบกดาบสี่สิบเมตรไปไม่ไหวหรอก แล้วเจอกันตอนงานเลิกนะสหาย!”