ภาคที่ 1 บทที่ 10 เทพธิดาเป็นของฉัน จงชักดาบของเจ้าออกมา! (ตอนปลาย)

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 10 เทพธิดาเป็นของฉัน จงชักดาบของเจ้าออกมา! (ตอนปลาย)

ผลลัพธ์ก็คือเหล่านักศึกษาชายแห่กันไปที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางอย่างเนืองแน่น

ผู้ช่วยเสี่ยววูกลับมาหลังจากไปสังเกตการณ์ไม่นาน ก่อนพูดอย่างจำใจ “ฝาแฝดสาวชื่อดังจากสถาบันดนตรีซิงเหมิงมาที่งานน่ะครับ เพราะงั้นเลย….” เขาไม่ได้พูดอะไรต่อท้ายเหมือนตั้งใจละเอาไว้ แต่อาจารย์หลี่เคอหมิงและเชียนจุนต่างเข้าใจดี

ความสวยงามดึงดูดใจเป็นเรื่องปกติในช่วงวัยแบบนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย

“อืม…งั้นก็ไม่เป็นไร”

เชียนจุนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งสองยังคงสนทนากันต่อไป แต่มีบ้างที่พวกเขาจะหันกลับไปมองความวุ่นวายด้านหลัง

ในความเป็นจริงแล้ว ชายแก่ทั้งสองก็แอบสงสัยเช่นกันว่าหญิงสาวทั้งสองที่ใคร ๆ กล่าวถึงนั้นมีตัวตนจริง ๆ เป็นอย่างไร

….

ขณะนี้ เวลาหนึ่งทุ่มตรง ใกล้ถึงเวลาที่งานเลี้ยงต้อนรับเด็กใหม่จะเริ่มแล้ว เหล่ากลุ่มคนต่าง ๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหอประชุมมากขึ้นและมากขึ้น

ชายหนุ่มบางส่วนมองหาอะไรบางอย่างทันทีที่เข้ามาถึงในห้องโถง

แน่นอนว่าย่อมหมายถึงสองแฝดเทพธิดา

นักศึกษาจากที่อื่นยังมาไม่ถึง ส่วนใหญ่จึงเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางที่เป็นเจ้าภาพ

เสียงปรบมือดังขึ้นในขณะที่เหล่าผู้บริหารเดินเข้ามาในหอประชุม

ทุกคนเริ่มหาที่นั่งประจำตัวกันอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่แสดงความเคารพต่อกันแล้ว เหล่าผู้บริหารก็เดินไปนั่งกันที่แถวแรก

ผู้ดำเนินรายการในชุดเต็มยศทั้งสองคน รอให้ผู้บริหารนั่งลง ก่อนที่จะทำหน้าที่เปิดเวทีอย่างเป็นทางการ

“เดือนตุลาคม กลิ่นหอมของฤดูใบไม้ร่วง พวกเราได้มารวมตัวกันในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้องใหม่ นักศึกษาปัจจุบัน นักศึกษาเก่า เหล่าคณะผู้บริหารและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดี!”

เสียงปรบมือดังขึ้น ชายหนุ่มบางส่วนยังคงมีแอบมองไปยังส่วนด้านหลังอยู่บ้าง

“ผู้นำที่มาร่วมงานเลี้ยงเย็นวันนี้ … “

เสียงประกาศด้วยรายชื่อมากมาย และเสียงปรบมืออีกครั้ง คณบดีขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีตามมาตรฐานสากล งานเลี้ยงก็ได้เริ่มต้นขึ้น!

ณ ด้านหลังเวที

ซูชือยกมือถือขึ้นมาก่อนจะหันไปพูดกับจินฟานและซูเย่อย่างตื่นเต้น “เทพธิดามาดูด้วยล่ะ! พวกเราต้องทำออกให้มาดีเลยนะ”

หลังจากที่หมดคลาส พวกเขาทั้งสามก็รีบเตรียมตัวกันอย่างดี และรีบตรงดิ่งไปยังหลังเวทีทันทีที่ทานมื้อเย็นเสร็จ

“แหงสิ!”

จินฟานกล่าวก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ

ลำดับการแสดงของพวกเขาอยู่ในลำดับที่สาม ซึ่งกำลังจะถึงเวลาแสดงแล้ว และนั่นทำให้พวกเขารู้สึกประหม่าและตื่นเต้นเล็กน้อย

ในขณะที่ซูเย่นั้นดูใจเย็นกว่าทั้งสองคนนั้นมาก เขาหยิบกีตาร์ที่ถูกยกมาให้โดยสต๊าฟขึ้นมาก่อนจะเห็นว่าสายกีตาร์นั้นดูหย่อนเกินไปหน่อย

เขาหมุนลูกบิดเพื่อปรับเสียงกีตาร์

แต่เมื่อเขาลงมือดีด สายกีตาร์ก็ดันขาดผึงคามือ

ซูเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ เพื่อหาสายสำรองหรือกีตาร์ตัวอื่นมาเปลี่ยน แต่กลับพบว่ากีตาร์ตัวนี้ดันเป็นกีตาร์เพียงตัวเดียวของงานในวันนี้

จินฟานและซูชือที่เห็นสีหน้าของซูเย่แปลกไปก็ถามขึ้น “เป็นอะไรวะ?”

“กีตาร์สายขาดน่ะ”

ซูเย่ตอบห้วน ๆ แบบไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี

“หา? แล้วพวกเราควรจะทำยังไงดี? พอจะซ่อมได้รึเปล่า?” ทั้งสองรีบถามต่อ

ซูเย่ส่ายหน้า

จินฟานและซูชือรู้สึกวิตกกังวลยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่ทันคาดคิดว่าจะต้องมาเจอกับสถานการณ์คับขันในเวลาแบบนี้

ในตอนนี้ การเดี่ยวพิณผีผากำลังขึ้นแสดงเป็นลำดับที่สอง และใช้เวลาในการแสดงเพียงห้านาทีเท่านั้น และจากนั้นก็จะถึงคิวของพวกเขาแล้ว

“พวกเราไม่มีทางอื่นเลยเหรอ?”

จินฟานเอ่ยถามในขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเขาเล่นกีตาร์ไม่ได้? หรือพวกเขาควรจะร้องประสานเสียงปากเปล่าแทน?

“มี”

ซูเย่พยักหน้าให้

“จะแก้ยังไง?”

“ฉันจะเล่นพิณผีผา”

ซูเย่ชี้ไปยังพิณผีผาที่อยู่ในมือของหญิงสาวที่กำลังขึ้นแสดงอยู่บนเวที

จินฟานและซูชือถึงกับอึ้งเป็นไก่ตาแตก

“เสียงของพิณผีผากับเสียงกีตาร์มันคล้ายกันอยู่นี่?”

จินฟานยิ้มแห้ง ๆ ไม่ว่ายังไงการแสดงก็ต้องดำเนินต่อไปสินะ..

“นายรู้วิธีเล่นพิณผีผาหรือไง?”

ซูชือมองซูเย่ด้วยความประหลาดใจ นอกจากจะเล่นกีตาร์เก่งแล้ว ยังเล่นพิณผีผาได้ด้วยเหรอ.. มีเครื่องดนตรีอะไรบ้างที่นายเล่นไม่ได้เนี่ย?

“วงเหล็กกล้า พวกคุณมีเวลาแสดงสามนาที รบกวนเตรียมตัวให้เรียบร้อยด้วย”

สต๊าฟเดินเข้ามาย้ำคิวการแสดงของพวกเขา

ซูชือรั้งสต๊าฟเอาไว้ก่อนจะถาม “พอจะมีกีตาร์สำรองบ้างรึเปล่าครับ? หรือพอจะมีการแสดงไหนที่ใช้กีตาร์อีกไหม?”

สต๊าฟมองพวกเขาด้วยความสับสนเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า

“โอเค…”

ซูชือปล่อยมือสต๊าฟอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะหันไปทางจินฟานและซูเย่ “พวกเราจะทำยังไงกันดี”

“ร้องอะแคปเปลลามันดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ แล้วก็จะให้ทางสต๊าฟหาอุปกรณ์สำรองให้ก็คงจะไม่ทันแล้ว…”

ใบหน้าของจินฟานยุ่งเหยิงไปครู่หนึ่ง เขาหันไปมองซูเย่แล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเย่ นายแน่ใจนะว่านายใช้พิณผีผาเล่นแทนได้? “

ซูเย่พยักหน้า

“เอาวะ! มาลองกันสักตั้ง!”

จินฟานกัดฟัน

“ไม่คิดเลยว่าการแสดงบนเวทีครั้งแรกของเรา จะมีปัญหามากขนาดนี้!”

ซูชือพูดด้วยน้ำเสียงแห้งเหี่ยว

ทั้งสามยืนรอที่บันไดข้างเวที เพื่อรอให้การแสดงโชว์พิณผีผาจบลง

เหลือเวลาอีกหนึ่งนาที

สำหรับทั้งจินฟานและซูชือ นับเป็นหนึ่งนาทีที่แสนทรมานและยาวนาน พวกเขารู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก

โว้ย อยากให้เวลาผ่านไปเร็ว ๆ ไม่สิ หวังว่าเวลาจะไม่ผ่านไปเลยต่างหาก

ซูเย่นั้นยังคงใจเย็นอยู่ เขาหันไปบอกกับสต๊าฟที่ผ่านมา “ไม่ต้องเอาเก้าอี้ลงนะครับ ไม่ต้องปรับไมค์ด้วย ทุกอย่างลงตัวอยู่แล้ว”

สต๊าฟดูสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้าตกลง เตรียมการตามคำขอของซูเย่

หลังจากที่บทเพลงที่เล่นโดยพิณผีผาจบลง ก็ถึงตาที่พวกเขาจะต้องขึ้นแสดง

ซูเย่รั้งหญิงสาวที่กำลังลงจากเวทีพร้อมพิณผีผาในมือ

“สวัสดีเพื่อนร่วมสถาบัน ขอยืมพิณผีผาหน่อยได้ไหม?”

หญิงสาวมองซูเย่ด้วยความงงงวยปนประหลาดใจ และเมื่อเธอหันไปมองจินฟานและซูชือก็พบกับสายตาที่น่าเวทนาของทั้งคู่ เธอยังคงสับสนกับสถานการณ์อยู่เล็กน้อย ในที่สุดก็ยื่นพิณผีผาให้กับซูเย่แต่โดยดี

“ขอบคุณนะ!” ซูเย่กล่าวขอบคุณ

ขณะนี้ผู้ดำเนินรายการได้ขึ้นมาประกาศบนเวทีแล้ว

จินฟานและซูชือต่างหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหันไปทางซูเย่ด้วยใบหน้าให้กำลังใจ “ไปกันเถอะ!”

“ไปกัน” ซูเย่พยักหน้า

“ต่อไปจะเป็นบทเพลง ‘ความใฝ่ฝันของหัวใจ’ ขับร้องโดยนักศึกษาใหม่จากคณะวิจัยสมุนไพรจีน”

ไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนเหยียดตัวขึ้นเล็กน้อยจากมุมห้องเมื่อได้ยินเสียงประกาศ

และชายหนุ่มทั้งสามคนก็ก้าวขึ้นมาบนเวที…