ตอนที่ 10 ศึกแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่บ้านตระกูลซู

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 10 ศึกแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่บ้านตระกูลซู

มันเป็นเงินที่ได้จากการปักผ้าจริงๆ หรือ?

“ผ้าปักแบบไหนเธอเอามาให้พี่สะใภ้ได้ดูหน่อยได้ไหม?” เฝิงฟางฟางพูดขึ้น

“ฉันเอาผ้าปักลายเทพนกกระเรียนไปให้พี่หงแล้วค่ะ ถ้าพี่อยากจะเห็นมัน พี่มาดูตอนเช้าวันพรุ่งนี้หลังจากที่พี่ทำงานเสร็จแล้วก็ได้นะคะ” ซูตานหงบอกหล่อน

เฝิงฟางฟางพยักหน้าด้วยความพอใจกับคำพูดนั้น หล่อนมองไปที่เนื้อหมูกับซี่โครงหมู่ที่อยู่ในมือซูตานหงและเอ่ยปากขึ้น “แล้วนี่เธอเอามาจากที่ไหน?”

“โอ้ ไม่ใช่ว่าฉันเพิ่งหาเงินมาได้หรือคะ ฉันแค่อยากจะแสดงความกตัญญูกับพ่อกับแม่บ้างน่ะค่ะ” ซูตานหงบอกด้วยรอยยิ้ม

คุณพ่อกับคุณแม่จี้เป็นคนที่ทำงานหนักและประหยัดมัธยัสถ์มาก ครั้งก่อนที่เธอมาที่นี่และเห็นผักดองกับถั่วลิสงเค็มวางอยู่บนโต๊ะ เธอก็แทบจะทนเห็นมันไม่ได้

เฝิงฟางฟางไม่ได้พูดอะไรเมื่อได้ยินดังนั้น หล่อนได้แต่แค่นเสียงอยู่ในใจ ใครจะโง่แสดงออกไปให้เห็นกันล่ะ!

พ่อแม่สามีไม่เคยได้กินข้าวสักถ้วยหรือน้ำสักกระบวยจากเธอเลยหลังจากที่เธอแต่งงานมาสามปี แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร คอยดูซิว่าเธอจะเสแสร้งได้นานสักเท่าไหร่กัน?

อย่างไรก็ดี เฝิงฟางฟางก็กล้าพูดเช่นนี้อยู่ในใจเท่านั้น ซูตานหงไม่ใช่คนดื้อรั้นที่ดีนัก หล่อนไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากให้ซูตานหงหรอก พรุ่งนี้หล่อนจะไปหาซูตานหงเพื่อดูว่าเธอหาเงินมาได้อย่างไร!

“กินเนื้อ กินเนื้อ ผมอยากจะกินเนื้อ!” โหวหวาจือตะโกนบอกพร้อมกับจ้องมองไปที่หัวหมู

“จะโวยวายไปทำไม? นี่เป็นของอาสะใภ้สามที่เอามาแสดงความกตัญญูให้คุณปู่คุณย่าของแก ไม่ใช่ของแก!” เฝิงฟางฟางพูดอย่างอารมณ์เสีย

คุณแม่จี้หน้าเสียเมื่อได้ยินแบบนั้น นางเหลือบมองไปที่เฝิงฟางฟาง จากนั้นก็มองไปที่ซูตานหง นางกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่างออกไป แต่สะใภ้บ้านสามที่กำลังรำคาญสะใภ้ใหญ่อย่างที่สุดได้ช่วยพูดขึ้นมาก่อน

อย่างไรก็ตาม นางไม่คิดเลยว่าจะได้ยินสะใภ้สามพูดว่า “โหวหวาจืออยากกินเนื้ออย่างนั้นหรือจ๊ะ? งั้นต้องเรียกชื่อคนให้ก่อน เนื้อพวกนี้อาสะใภ้สามซื้อมาให้คุณปู่กับย่าของหลานกินน่ะจ้ะ”

“อาสะใภ้สาม!” โหวหวาจือมองเธอแล้วตะโกนเรียกเต็มเสียง

อย่ามองว่าผู้อื่นยังเด็กอยู่ แต่เขารู้ว่าอาสะใภ้สามคนนี้ไม่ใช่คนที่ดี เธอเคยมองหาเรื่องเขา แต่ถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้เทียบอะไรไม่ได้กับเนื้อเลย

“แม่คะ ถ้าโหวหวาจืออยากกินก็ให้เขากินมื้อกลางวันด้วยกันนะคะ แค่อย่าทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องลำบากเท่านั้น” ซูตานหงพูดกับคุณพ่อและคุณแม่จี้

“ได้สิ” คุณแม่จี้อึ้งไปชั่วขณะก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง

เฝิงฟางฟางมองไปที่ซูตานหงราวกับเห็นปีศาจ ไม่มีอะไรที่รับไม่ได้มากไปกว่าการได้เห็นคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ค่อย ๆ ให้การยอมรับในเรื่องนี้ เฝิงฟางฟางไม่ได้เจอกับซูตานหงมานานแล้ว ดังนั้นในตอนแรกหล่อนจึงยังระแวงอยู่ว่าทำไมวันนี้ซูตานหงถึงพูดดีกับหล่อนได้โดยไม่มีอาการอัดอั้นตันใจ แถมตอนนี้ซูตานหงยังอนุญาตให้ลูกชายของหล่อนกินเนื้อและซี่โครงที่ซื้อมาให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้อีกด้วย?

เฝิงฟางฟางยังสงสัยอยู่เลยว่าเนื้อนั่นถูกวางยาพิษไว้หรือไม่!

“เธอไม่ต้องทำอาหารกลางวันหรอก มากินด้วยกันที่นี่” คุณแม่จี้เอ่ยปาก

“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ฉันซื้อของมาให้ทางบ้านคุณพ่อคุณแม่ของฉันด้วย ตั้งใจจะเอาไปให้พวกเขาแล้วกินที่นั่นเลยน่ะค่ะ” ซูตานหงบอก จากนั้นเธอก็เอาครีมเกล็ดหิมะกับแฮนด์ครีมตลับหอยออกมาจากกระเป๋าและพูดว่า “วันนี้อากาศเย็นมาก คุณแม่คะ คุณแม่กับคุณพ่อต้องคอยใส่ใจตัวเองดี ๆ เก็บครีมหน้าหนาวอันนี้เอาไว้สำหรับใช้ทานะคะ”

“พ่อเธอกับแม่ไม่ใช้ครีมหายากอันนี้หรอก เอากลับไปใช้เองเถอะ” คุณแม่จี้รีบปฏิเสธ

“ฉันมีของตัวเองแล้วค่ะ คุณแม่รับไว้นะคะ ฉันจะกลับก่อน” ซูตานหงทิ้งของไว้และจากไป

เฝิงฟางฟางแทบจะจำน้องสะใภ้สามผู้เปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยนคนนี้ไม่ได้

“คุณแม่ เกิดอะไรขึ้นกับน้องสะใภ้สามคะ? ทำไมถึงได้ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย?” เฝิงฟางฟางเอ่ยปากอย่างไม่ปิดบังความสงสัยของหล่อนทันทีที่ซูตานหงกลับไป

“เธอรีบไปซักผ้าของเธอเถอะ สะใภ้สามสบายดี อย่าไปมองหล่อนแบบเก่าเสมอไปนัก” คุณแม่จี้กล่าว

สะใภ้บ้านสามเคยชอบก่อเรื่องก็จริง แต่เห็นได้ว่ามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่เหมือนกับสะใภ้บ้านใหญ่คนนี้ที่ภายในท้องขดพันกันคดเคี้ยว(1)

เฝิงฟางฟางหันกลับมาและเอ่ยว่า “คุณแม่คะ ดูโหวหวาจือสิ หน้าของเขาแห้งแตกเพราะลมเย็นไปหมดแล้ว ถ้าคุณแม่ไม่ใช้ครีมตลับหอย เอามาให้โหวหวาจือใช้ได้ไหมคะ?”

หลังจากที่ได้รับสัญญาณทางสายตาของแม่เขาแล้ว โหวหวาจือก็พูดขึ้นมา “ย่าครับ ให้ผมนะครับ ให้ผม”

เมื่อมองที่ใบหน้าเล็กๆ ของหลานชาย คุณแม่จี้ก็บอกหล่อน “ไปซักผ้าก่อน กลับมารับโหวหวาจือแล้วค่อยมาเอาไป”

ได้ยินดังนั้นเฝิงฟางฟางก็ดีใจและหยิบผ้าขึ้นมาเพื่อจะนำไปซักแล้วถามแม่สามี “คุณแม่มีผ้าจะซักไหมคะ? ฉันจะเอาไปซักให้น่ะค่ะ”

“ไม่มีหรอก” คุณแม่จี้กล่าว

เฝิงฟางฟางไปซักผ้า หล่อนพยายามรีบกลับมาถึงเร็ว ๆ เพราะบางทีตนอาจจะได้กินอาหารดี ๆ แต่เมื่อกลับมาถึง โหวหวาจือก็กินอิ่มไปเรียบร้อยแล้ว หล่อนจึงไม่ได้รับส่วนแบ่ง

“เอากล่องครีมตลับหอยนี่กลับไปทาให้โหวหวาจือ” คุณแม่จี้ยื่นกล่องครีมให้

เฝิงฟางฟางคิดว่าคุณแม่จี้จะให้หล่อนทั้งสองกล่อง แค่ครีมตลับหอยหายากกล่องนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร รู้ไหมว่าครีมกล่องนี้ราคาตั้ง 70 เหมา หล่อนซื้อใช้เองไม่ไหวหรอก!

หลังจากส่งสะใภ้ใหญ่กลับไปแล้ว คุณแม่จี้ก็ถือครีมเกล็ดหิมะเดินไปที่บ้านสะใภ้รอง นางส่งครีมให้สะใภ้รองพร้อมกับบอกว่า “เก็บเอาไว้ให้เซียงจื่อเซียงหลีใช้ทาหน้า”

ดวงตาของจี้มู่ตานเป็นประกาย “ขอบคุณค่ะคุณแม่ แต่ทำไมอยู่ๆ คุณแม่ถึงไปซื้อครีมเกล็ดหิมะล่ะ? มันไม่ใช่ถูก ๆ ไม่ใช่หรือคะ?”

“ตานหงหาเงินได้เลยซื้อมันมาให้พ่อกับแม่ เราสองคนไม่จำเป็นต้องใช้มัน แล้วยังมีครีมตลับหอยอีกกล่องที่เอาไปให้โหวหวาจือแล้ว” คุณแม่จี้กล่าว

จี้มู่ตานนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ และเอ่ยถามว่า “ซูตานหงหาเงินมาได้หรือคะ? เธอหาเงินมายังไงกันคะ?”

“ตานหงหาเงินมาได้จากการปักผ้า พรุ่งนี้หลังจากที่เธอเสร็จงานแล้วเธอจะไปดูก็ได้นะ พี่สะใภ้ใหญ่ของเธอก็จะไปดูที่นั่นเหมือนกัน พวกเธอสองคนไปด้วยกันซะเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”

“ได้ค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่แล้วจะไปกับหล่อน! อ้อ ซูตานหงได้เงินมาเท่าไหร่หรือคะ?” จี้มู่ตานถาม หล่อนอยากจะเห็นว่าซูตานหงสามารถหาเงินได้มาจากการปักผ้าแบบไหน? เธอหาเงินมาได้มากเท่าไหร่ถึงได้เต็มใจซื้อครีมเกล็ดหิมะกับครีมตลับหอยมาให้พ่อแม่สามี?

“หนึ่งร้อย” คุณแม่จี้บอก

“หนึ่งร้อย?!” จี้มู่ตานเบิกตาอ้าปากค้าง “คุณแม่ คุณแม่พูดไม่ผิดใช่ไหมคะ? คุณแม่พูดว่าหล่อนหาเงินได้หนึ่งร้อยหยวนจากการปักผ้า แม้แต่การเย็บผ้าหล่อนยังทำไม่ได้ด้วยมั้งคะ?”

“ได้หรือไม่ พรุ่งนี้เธอสามารถไปดูเองได้” คุณแม่จี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์

“พรุ่งนี้ฉันจะไปค่ะ!” ในใจของจี้มู่ตานบังเกิดร้อนรนไม่เป็นสุขขึ้นมา ถ้าซูตานหงสามารถหาเงินได้ 100 หยวน อย่างหล่อนจะไม่สามารถหาได้ 200 – 300 หยวนเลยหรือ? งานเย็บปักถักร้อยของหล่อนนั้นถ้าบอกว่าเป็นที่สองในบรรดาสะใภ้ทั้งสามคนแล้ว ใครกันจะกล้าถูกจดจำว่าเป็นที่หนึ่ง?

ซูตานหงซึ่งเอาเนื้อหมูกับซี่โครงมาบ้านแม่ของเธอไม่ได้รู้เลยว่าพวกสะใภ้มีความคิดเห็นกันไปใหญ่โตถึงขนาดนี้เกี่ยวกับเรื่องหาเงินได้จากการปักผ้า และเธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อตนนำเนื้อหมูกลับมาให้ที่บ้านฝั่งแม่แล้วจะได้เห็นฉากแม่สามีกับลูกสะใภ้กำลังก่อศึกใหญ่กันอยู่

แม่ของเธอกำลังกดตัวพี่สะใภ้รองให้อยู่ข้างใต้ นางกำลังดึงทึ้งและกระชากผมของหล่อนพร้อมทั้งด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย “นังเศษสวะ แกกล้าทำผิดกับตระกูลซูด้วยการออกไปมั่วกับผู้ชายงั้นหรือ? ถ้าฉันไม่ได้ตีแกให้ตายก็อย่าให้ฉันตายเลยนังสารเลว!”

ซูตานหงผู้เพิ่งเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตทั้งสองชาติถึงกับตกตะลึง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าเธอจะได้สติและรีบพูดว่า “แม่ แม่ทำอะไรคะ? ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก!”

“แกอย่ามาขวางทาง นังคนชั่วนี่มันกล้าสวมหมวกเขียว(2)ให้ตระกูลซู ฉันจะตีมันให้ตายเลย!” คุณแม่ซูผลักเธอออกพร้อมกับด่ากราดออกมา

“น้องสามี ช่วยดึงคุณแม่ออกไปเร็วเข้า รีบดึงคุณแม่ออกไป พี่ไม่ได้มีคนอื่น ทั้งหมดเป็นคุณแม่ระแวงไปเองทั้งนั้น!” พี่สะใภ้รองบ้านซูที่กำลังตื่นตระหนกเอ่ยละล่ำละลัก

…………………………………………