ตอนที่ 11 สิบรุมหนึ่ง
แมวระดับเงินในตอนแรกนั้นได้เปล่งแสงสีทองออกมาจากตัว ที่หัวของมันมีตัวหนังสือเขียนว่าราชาโผล่ขึ้นมา
กรงเล็บของมันดูคมขึ้น แม้แต่พื้นหินอ่อนก็ยังถูกเฉือนจนเป็นรอย มันกระโดดขึ้นไปเกาะเพดานของห้องซ้อมที่สูงกว่า 10 เมตรได้อย่างง่ายดาย
หวังเย่าเห็นแบบนั้นก็พอใจอย่างมาก เขารีบตรวจสอบข้อมูลกับระบบทันที
****
การ์ฟีลด์
สายพันธุ์ : ราชาแมวทอง
ระดับ : ทองขั้นสูง
เลเวล : 10
อายุ : 2 ปี
ค่าประสบการณ์ : 83,250/4,000
****
ตอนแรกการ์ฟีลด์อยู่ระดับเงินเลเวล 10 การขึ้นไปเลเวล 11 ต้องใช้ค่าประสบการณ์ 2,500 หน่วย แต่เมื่อขึ้นมาเป็นระดับทองแล้วมันก็ต้องใช้ค่าประสบการณ์ถึง 4,000 หน่วย
หวังเย่าไม่รู้ว่านี่ได้กำไรรึขาดทุนกันแน่
แต่เมื่อลองตรวจสอบอีกครั้ง เขาก็พบกับข้อมูลส่วนอื่น ๆ
****
ความสามารถในการสู้ : 149
ความสามารถ : กระโดดสูง ( สามารถกระโดดสูงได้ง่าย ๆ ), ฉีก ( ฉีกของแข็งได้อย่างง่ายดาย ) , สุดยอดการอำพราง ( สามารถอำพรางตัวได้ตามต้องการ ), ลูกตบ ( ใช้แรงจำนวนมาก ทำการโจมตีที่รุนแรงซึ่งสร้างความเสียหาย 3 เท่าจากเดิม )
****
“หากใช้สกิลลูกตบ ความสามารถในการต่อสู้ก็มากกว่า 300” หวังเย่ายินดีอย่างมาก
เขาเดาว่าสัตว์อสูรของพวกนักเรียนคงมีแค่ไม่กี่ตัวที่มีความสามารถแบบนี้ได้
แต่คงยกเว้นดาวโรงเรียนจ้าวเมิ่งซี เพราะสัตว์อสูรไฟของเธออยู่เลเวล 20 ช่องว่างมันต่างกันเกินไป
หลังจากนั้นหวังเย่าก็ได้ทำการพัฒนาการ์ฟีลด์ต่อ
ติ้งงง
แจ้งเตือน : การ์ฟีลด์ได้ใช้ค่าประสบการณ์ 4,000 หน่วยขึ้นไปเป็นเลเวล 11
“เอาอีก ! ”
แจ้งเตือน : การ์ฟีลด์ได้ใช้ค่าประสบการณ์ 4,500 หน่วยขึ้นไปเป็นเลเวล 12
“เอาอีก ! ”
แจ้งเตือน : การ์ฟีลด์ทะลวงผ่านหลายครั้ง พลังที่ใช้นั้นมากเกินไป ซึ่งทำให้พลังของร่างกายและจิตใจหมดลง มันเกือบจะสลบและอาจจะคลั่งได้ แนะนำให้เจ้าของให้เวลามันฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ก่อนจะยกระดับอีกครั้ง
หวังเย่าสับสนการทะลวงผ่านมันมีอะไรไม่ดีกัน ?
มันจะเกินไปแล้ว !
แต่เมื่อลองคิดดี ๆ แล้วเขาก็กังวลขึ้นมา แม้ว่าจะมีระบบคอยช่วยแต่ก็ไม่อาจจะทะลวงผ่านติด ๆ กันแบบนี้ได้
นี่ไม่ต้องพูดถึงภาระทางร่างกายเลย แค่จิตใจก็อาจจะแหลกสลายได้
“งั้นแกก็พักไปก่อนละกัน ” หวังเย่าโบกมือและไม่สนใจดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของการ์ฟีลด์ เขาได้สั่งออกมา “พรางตัว”
ต่อมาการ์ฟีลด์ก็เปลี่ยนเป็นแมวระดับเงินตัวยาวแค่ 80 เซนติเมตร และค่อย ๆ ส่ายหางไปมา
หวังเย่าประเมินการ์ฟีลด์อยู่สักพัก ก่อนที่ตัวเขาจะเริ่มไปออกกำลังกาย
ผ่านไป 1 วัน ร่างกายของหวังเย่าก็แข็งแกร่งขึ้น ตัวที่ผอมแห้งของเขานั้นหลังจากที่กินยาต่าง ๆ เข้าไปแล้ว ก็ทำให้กล้ามเนื้อแน่นจนโผล่ออกมา เมื่อรวมกับความสามารถของผู้ใช้อสูรแล้วก็ทำให้เขาทำลายอิฐด้วยหมัดได้
แต่แค่นั้นยังไม่พอ
เมื่อใช้ยาจนหมด หวังเย่าก็คิดจะกินยาปรับปรุงยีนส์ต่อทันที
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนอนลงไปที่เตียง
“กลั้นใจแล้วกิน ! ”
ใช้เวลาไม่นานกล้ามเนื้อและทุกเซลล์ในตัวของเขาก็สั่นไหว
ผิวของเขาเริ่มแดงพร้อมกับมีไอน้ำลอยออกมา….
เช้าวันต่อมาเมื่อเขาตื่นขึ้น หวังเย่าก็รีบไปส่องกระจก เขาถึงกับเหม่อไปสักพัก
“สุดยอด ฉันหล่อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ”
ภาพในกระจกนั้นคือเขา แต่เขากลับไม่คุ้นเคย แค่คืนเดียวเขาก็สูงขึ้นมากว่า 10 ซม. ตอนนี้เขาสูง 176 เซนติเมตรแล้ว
ผมสีดำแห้ง ๆ กลับเงาเป็นประกาย ตัวที่ผอมแห้งนั้นดูสมดุลขึ้นมา แม้แต่ดวงตาเองก็เป็นประกายไปด้วย
ใบหน้าที่ดูธรรมดานั้นเปลี่ยนแปลงไป เขาดูหล่อเหลากว่าเดิม แม้ว่าจะไม่ได้หล่อจนน่าหลงใหล แต่ก็ดูสะดุดตา ยิ่งมองก็ยิ่งน่าหลงใหล
ผ่านไปสักพัก หวังเย่าถึงได้สติกลับมา เขาอดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเอง
“นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า ? ฉันฝันอยู่รึเปล่า ? ”
….
การแข่งขันของผู้ใช้อสูรจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่วัน
หวังเย่าเดินไปที่โรงเรียนพร้อมกับได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยถึงเรื่องการแข่งขัน ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจนัก แต่เมื่อฟังไปนาน ๆ เขาก็กังวลขึ้นมานิด ๆ
หรืออย่างที่เขาว่า “สามคนกลายเป็นเสือ ? ” เมื่อคนพูดมาก ๆ เข้า จากข่าวลือก็กลายเป็นข่าวจริงได้
หวังเย่ายิ้มและหันกลับไปมองการ์ฟีลด์ที่ตามเขามา มันทำให้คนโดยรอบหันมาสนใจ
“ดูนั่น นั่นหวังเย่าที่เอาชนะจ้าวซวนได้ในเวลาไม่กี่วินาที” ผู้คนต่างก็พากันซุบซิบออกมา
“เขาดูผอมแห้ง ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก นี่เขาไม่กลัวจ้าวซวนจะมาเอาคืนเหรอ จะหยิ่งผยองเกินไปหน่อยมั้ง”
“หนุ่มน้อยรูปหล่อกับแมวของเขา ฉันล่ะอยากนอนกับเขาจริง ๆ ” มันมีสาว ๆ ซุบซิบเรื่องของเขาด้วย
หวังเย่ายักคิ้วพร้อมกับยืดอกอย่างภูมิใจ
“เฮ้ย ไอ้หนู แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ ”
ร้อยเมตรห่างออกไปมีกลุ่มนักเลงยืนอยู่ จ้าวซวนก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
“แกพูดถึงฉันหรือ ? ” หวังเย่ามองไปที่พวกนั้นก่อนจะยักคิ้ว “จ้าวซวน แกนี่ไม่รู้จักเข็ดจริง ๆ ผ่านมาไม่กี่วันแต่ก็ยังทำให้ฉันดูถูกแกอยู่ดี แกไม่รู้เลยสินะว่าอะไรไม่ควรพูด”
จ้าวซวนโกรธขึ้นมายิ่งกว่าเก่า “หวังเย่า ไม่เจอกันไม่กี่วันแต่เหมือนแกจะปากเก่งขึ้นนะ ตอนแรกฉันตั้งใจจะให้แกมีชีวิตอยู่ต่อสักหน่อย แต่ไม่คิดเลยว่าแกจะอยากตายขนาดนี้ ฉันต้องให้คนไปสั่งสอนแกสักหน่อยแล้ว ดูจากหน้าแกแล้ว แกคงไม่รู้สินะว่าจะเจอกับอะไร”
“ชมเกินไปแล้ว มันเกี่ยวกับหน้าหล่อ ๆ ของฉันตรงไหนกัน” หวังเย่าหัวเราะออกมา “จ้าวซวน ไม่คิดเลยว่าไม่เจอกันแค่ 3 วัน แต่แกกลับเก่งเรื่องการพูดพล่ามแบบนี้ น่าประทับใจจริง ๆ ถ้าแกอยากหาเรื่อง งั้นก็ได้ ฉันจะอัดแกเอง”
“ถ้าแกมีอะไรดีก็รีบแสดงออกมาก่อนจะไม่มีโอกาส” หวังเย่านั้นมีระบบอยู่ ตอนนี้เขาพัฒนาขึ้นจากเดิมอย่างมาก เขาไม่กลัวนักเลงพวกนี้แล้ว
“แกคงเบื่อที่จะมีชีวิตต่อแล้วสินะ” เด็กผมเขียวพุ่งเข้ามาต่อยหวังเย่า
“ไร้สาระจริง ๆ แกหาเรื่องเจ็บตัวเองนะ ได้ ฉันจะจัดให้ตามที่แกต้องการ” แค่หวังเย่ายื่นมือออกไปก็จับอีกฝ่ายได้ อย่างกับกดหัวเด็กสามขวบอยู่
แม้ว่าจะไม่ได้ใช้สัตว์อสูร แต่พวกเขาก็ได้รับความสามารถของสัตว์อสูรมา เล็บที่คมกริบหรือแม้แต่หมัดที่แข็งราวกับเหล็ก แค่กระทืบพื้นก็ทำให้พื้นดินสั่นไหวได้แล้ว
จ้าวซวนเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
แม้ว่าเขาจะอยากอัดหวังเย่า แต่ก็กลัวว่าภาพลักษณ์ที่รุนแรงจะดึงปัญหาเข้าสู่ตัว และเพิ่มชื่อเสียที่ชอบรังแกคนอื่นไปทั่วของตน หากเป็นแบบนั้นเขาก็จะถูกทางโรงเรียนลงโทษ ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็คงหวาดกลัวเขาไปด้วย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเห็น
ตอนนี้มีคนอยู่จำนวนมาก ผ่านไปไม่ถึงครึ่งนาทีก็มีคนมารวมตัวกันกว่าร้อยคนแล้ว
“พวกนักเลงคิดจะรังแกคนของเรา พวกเขามีหลายสิบคนแต่กลับรุมคนแค่คนเดียว นี่มันมากเกินไปแล้ว”
“ มีใครคิดจะไปช่วยหวังเย่าบ้าง ดูสิ เขาดูไม่กลัวใครเลย ”
“หวังเย่าไม่รู้สินะว่าตัวเองจะเจอกับอะไร เขามีตาหามีแววไม่ เขาไม่รู้เลยสินะว่าไปหาเรื่องใคร เขาจะเจ็บตัวก็ไม่แปลก”
กลุ่มนักเรียนโดยรอบต่างก็พากันวิจารณ์เรื่องนี้