ตอนที่ 12 เรื่องเลยเถิด
หวังเย่าเองก็ได้พลังจากการ์ฟีลด์มาเช่นกัน เล็บของเขาคมกริบขึ้นมา แค่สะบัดออกไปก็เกิดเสียงตัดอากาศดังขึ้น
ต่อหน้านักเลงกว่าสิบคนที่ล้อมเขาเอาไว้ สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ด้วยความพยายามที่ผ่านมานั้น ตอนนี้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก เขาไม่จำเป็นต้องกลัวใคร
นักเลงคนหนึ่งแสยะยิ้มก่อนจะพุ่งเข้าใส่หวังเย่า
หวังเย่าใช้มือขวาจับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะสะบัดมือซ้ายออกไป แขนของอีกฝ่ายถึงกับเกิดแผลฉีกขาด เขากรีดร้องออกมาด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว
“มาสิ ฉันจะฆ่าพวกแกเอง” ก่อนที่เขาจะพูดจบเขาก็ได้เตะอีกฝ่ายทิ้งไป
ตอนนั้นคนอื่น ๆ ต่างก็พากันพุ่งเข้าใส่เขาจากรอบด้าน
หวังเย่าฮึดฮัดออกมาก่อนจะงอเข่าแล้วกระโดดขึ้นสูงกว่า 7 – 8 เมตรและหนีออกจากวงล้อมได้อย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมา หมัดที่เขาต่อยออกมานั้นดูเป็นประกายราวกับเหล็ก
หวังเย่าแค่นเสียงออกมาแล้วต่อยสวนกับอีกฝ่าย หมัดที่เหมือนกับเหล็กของอีกฝ่ายหักออกทันที
ความสามารถในการต่อสู้ของการ์ฟีลด์นั้นสูงมาก ถึงนักเลงพวกนี้รุมเขา แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรเขาได้ นักเลงที่ต่อยเขานั้นกระเด็นออกไปกว่า 2 ฟุต ก่อนจะร่วงลงกับพื้นอย่างแรง
นักเลงอีกคนได้พุ่งเข้ามา เขามีกรงเล็บที่คมกริบพร้อมตวัดใส่หวังเย่า
หวังเย่ากลับเคลื่อนไหวก่อนที่อีกฝ่ายจะมาถึงตัว เขาได้ใช้ประสาทสัมผัสของแมวเพื่อหลบกรงเล็บก่อนจะโต้กลับด้วยสกิลฉีก เสื้อผ้าของอีกฝ่ายฉีกขาดพร้อมกับรอยเล็บที่เฉือนลึกไปตามตัว เส้นเลือดที่คอของอีกฝ่ายถึงกับขาดออก
ตอนนั้นกลับมีแขนพุ่งเข้ามาด้านหลังของหวังเย่า และกอดเอวเขาไว้แน่นโดยหวังว่าจะบีบเขาให้ตาย
“ฉันเกรงว่าหวังเย่าคงตกอยู่ในอันตรายแล้วล่ะ”
“ใครจะช่วยเขาได้บ้าง ? ”
เด็กผู้หญิงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของหวังเย่ากังวลอย่างมาก เธอรีบไปเรียกอาจารย์มา บางคนถึงกับเรียกตำรวจมาด้วย
แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ หวังเย่าต้องหาทางรอดด้วยตัวเอง
เขาใช้การอำพรางเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย ร่างกายของเขาหดขนาดลงไปกว่า 1 ใน 3 จากนั้นเขาก็จับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับใช้กรงเล็บจิกเข้าไปที่ข้อมือของอีกฝ่าย จนทำให้อีกฝ่ายกรีดร้องและต้องปล่อยมือ ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความกลัว
นักเลงที่เหลือที่รอพุ่งเข้ามานั้นเมื่อเห็นว่าหวังเย่าแข็งแกร่งเกินไปก็ต้องชะงัก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกลัวกันขึ้นมา
“ใครจะเอาอีก เข้ามาเลย ! ”
จ้าวซวนที่อยู่ข้าง ๆ แทบจะกระอักเลือดออกมา คนกว่าสิบคนกลับจัดการคนคนเดียวไม่ได้ เขาแทบอยากเข้าไปลงมือเอง
“เฮียซวน เจ้าเด็กหน้าขนนี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว หากยังสู้แบบนี้ต่อไป คงไม่คุ้มกับอาการบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นก็ต้องให้พวกเราใช้สัตว์อสูร” ชายหนุ่มผมเหลืองพูดขึ้นมา
“ฉันไม่สนว่าพวกแกจะใช้วิธีไหน จัดการมันให้ได้ก็พอ” จ้าวซวนหน้าแดงก่ำและตะโกนออกมา
“เข้าใจแล้ว” พวกนักเลงพากันไปล้อมหวังเย่าเอาไว้ ก่อนจะผิวปาก ทันใดนั้นสัตว์อสูรกว่าสิบตัวก็ปรากฏตัวขึ้นมา มันมีทั้งงูดำ, ผึ้งทะเล, มดป่นกระดูก…
“อยากเอาแบบนี้สินะ ? ” หวังเย่าที่อยู่ใจกลางวงล้อมยังยิ้มออกมาได้
“แกอย่าได้ใจไปเลย ฉันจะให้แกลิ้มรสความเจ็บปวดที่แย่ยิ่งกว่าความตาย” ชายหนุ่มผมเหลืองตะโกนขึ้นมา
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที
หากเป็นการต่อสู้ของสัตว์อสูรแล้วมันคงรุนแรงกว่าเดิม มันยากที่จะควบคุมได้และอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
คนพวกนี้คือนักเลง พวกมันไม่เคยโดนยั่วโมโหขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากคลั่งขึ้นมา พวกมันก็อาจจะฆ่าคนได้…..น่ากลัวว่าเรื่องราวคงไม่จบลงง่าย ๆ
คนเริ่มมามุงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนปิดถนนเอาไว้ รถเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เจ้าของรถถึงกับต้องพากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ยามที่ประตูโรงเรียนเห็นฉากที่วุ่นวายแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ถึงเหตุการณ์จะพัฒนามาถึงระดับนี้ แต่หวังเย่าก็ไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย ความกลัวของคนรอบข้างไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาเลย
ในอีกด้าน จ้าวซวนกลับสีหน้าหม่นลงด้วยความกังวล เขารู้สึกเสียใจ เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายมาถึงระดับนี้ได้
เขาคิดถึงผลกระทบที่ตามมาไม่ออกเลย
“เริ่มแล้ว”
นักเลงหลายสิบคนพากันควบคุมสัตว์อสูรของตนพุ่งเข้าไปฆ่าหวังเย่า คนรอบข้างพากันอุทานออกมา
ฉากนี้มันน่ากลัวเกินไปแต่พวกเขากลับตื่นเต้นไปกับมัน
หวังเย่าแค่นเสียงหัวเราะออกมา เขากระโดดขึ้นสูงกว่าสิบเมตรก่อนจะขึ้นไปยืนบนท่อนไม้แล้วมองลงมาด้านล่างด้วยสีหน้าเย็นชา
การ์ฟีลด์ที่อยู่ในวงล้อมกลับร้องออกมาด้วยความโกรธ แม้ว่าจะยังไม่ยกเลิกสกิลพรางตัวแต่ความแข็งแกร่งของมันก็อยู่ระดับทอง มันพุ่งออกไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าก่อนที่พวกนักเลงจะพากันกรีดร้องออกมา ผึ้งทะเลถูกตัดตัวขาดครึ่ง มดถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แม้แต่งูดำเองก็โดนลอกหนังไปด้วย…ฉากนี้มันดูน่าสยดสยองสุด ๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับแมวนี่กัน ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ ? ! ”
“งูดำของฉัน ทำไมมันถึงตายได้ล่ะ ? ”
“เจ้าเด็กนี่ หยุดก่อน!” พวกนักเลงต่างก็พากันเหงื่อตกขึ้นมา ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ สัตว์อสูรเป็นคู่หูของพวกเขาและเป็นสมบัติที่สำคัญที่สุด รวมทั้งยังเป็นคู่หูที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วพวกเขาจะปล่อยให้พวกมันตายได้ยังไง ?
แต่หวังเย่าก็ไม่สนใจ เมื่อเขาได้สั่งการไปแล้ว เขาก็ปล่อยให้การ์ฟีลด์จัดการทุกอย่าง
ตอนนั้นเองที่ความเงียบเข้าครอบงำ
การ์ฟีลด์โยนหมาป่าตัวสุดท้ายทิ้งไปที่ถนนข้าง ๆ ก่อนจะเปลี่ยนที่นั่นให้กลายเป็นบ่อเลือด
ตอนนั้นพวกคนที่มามุงดูก็พากันอ้วกออกมา
“พวกนั้นตายกันหมดแล้ว” นักเลงคนหนึ่งมองไปที่หวังเย่าด้วยความกลัว
แต่นักเลงคนอื่น ๆ กลับมองไปที่จ้าวซวน ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวซวนที่บอกให้พวกเขามาที่นี่ งั้นคู่หูของพวกเขาก็คงไม่ตาย
แต่ตระกูลของจ้าวซวนนั้นมีอำนาจมาก แม้ว่าพวกเขาจะแค้นแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าพูดมันออกมา พวกเขาได้แต่โยนความแค้นครั้งนี้ไปที่หวังเย่า
ตำรวจกว่าสิบคนพร้อมอาวุธพากันแห่เข้ามา พวกเขาเข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและสลายฝูงชนพร้อมกับหาพยานสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หวังเย่าและพวกนักเลงโดนคุมตัวไป จ้าวซวนไม่ได้หนีไปไหนเพราะมีตระกูลคอยหนุนหลัง เขาจึงไม่ได้โดนคดีอะไรไปด้วย
พวกคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลทันที
“หวังเย่า นายต้องระวังตัวเอาไว้ด้วยนะ” โจวอวิ๋นวิ่งเข้ามาหาและตะโกนบอกกับหวังเย่า
หวังเย่าพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าแน่วแน่ เขาไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาแค่ป้องกันตัว ความผิดเขาไม่ได้ใหญ่โตอะไร เขาน่าจะจัดการได้
แต่ตอนนั้นเองเขาก็เห็นคนที่คุ้นตา เธอใส่ชุดสีขาวพร้อมกับใบหน้าที่งดงามแต่สีหน้าของเธอกลับดูเย็นชา
เธอคือดาวของโรงเรียน จ้าวเมิ่งซี เธอคือคนที่มีคนเขียนจดหมายรักให้เป็นร้อย ๆ คน
“หือ ? เธอมองมาที่ฉันหรือ ? ” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยความสงสัย “ทำไมเธอถึงได้ดูสนใจฉันแบบนั้น หรือว่าเธอเป็นห่วงฉันกันนะ ? ”