จินเฟยเหยาได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จะบอกว่าเขาน่าสงสาร เขาก็ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ต้องพยายามฝึกบำเพ็ญอะไร พลังการบำเพ็ญเพียรก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆ จะบอกว่าเขาไม่น่าสงสาร ขนาดอิสระเขาก็ยังไม่มี ถ่ายอุจจาระก็มีคนเฝ้า นี่มันชีวิตแบบไหนกัน
เห็นเขาใสซื่อบริสุทธิ์ขนาดนี้ จินเฟยเหยาก็ไม่ได้รังแกเขามากนัก กลับพูดความรู้ทั่วไปให้เขาฟังไม่น้อย ต่อไปจะได้ไม่ถูกคนหลอกไปอีก
ทั้งสองคนมีสยงเทียนคุนจ่ายเงินค่ารถม้าที่เมืองข้างหน้า ทั้งยังถูกจินเฟยเหยาฉุดลากไปร้านอาหาร ซื้อห่อของกินไปไม่น้อย
“เฮ้อ โลกภายนอกวุ่นวายจริง เหตุใดเห็นผู้อื่นมีของมีค่าจิตใจจึงเกิดความคิดชั่วร้ายนะ” สยงเทียนคุนสั่นศีรษะ อดเอ่ยอย่างทอดถอนใจไม่ได้ ฟังจินเฟยเหยาเล่าความชั่วร้ายของโลกนี้อย่างต่อเนื่องมาตลอดทาง เขาก็รู้สึกว่าธรรมชาติของมนุษย์มืดมนเกินไปแล้ว
จินเฟยเหยามองเขาอย่างเหยียดหยาม “เจ้านึกว่าทุกคนเป็นเหมือนเจ้า อยากได้อะไรก็ได้หรือ ถ้าสองคนนั้นมีอาวุธเวทดีๆ เจ้านึกว่าจะสามารถฆ่าพวกเขาได้เหมือนตัดวัชพืชหรือ? ความแข็งแกร่งกับกำลังทรัพย์สามารถตัดสินว่าเจ้าจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ แต่ว่าคนที่ถูกปกป้องอย่างแน่นหนาเช่นเจ้า ขอเพียงไม่วิ่งวุ่นวาย สำนักไม่ถูกฆ่าล้าง โดยพื้นฐานแล้วก็คือมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ขั้นสร้างฐานก็เป็นเรื่องง่ายดายเพียงแค่ยกมือ”
สยงเทียนคุนไม่ได้เอ่ยต่อบทสนทนา เพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ มองจินเฟยเหยาอย่างสงบ เขาอิจฉาเด็กสาวตรงหน้าอย่างยิ่ง จิตใจเปิดกว้าง มีความกล้า รู้เรื่องราวมากมาย ทั้งยังกล้าต่อต้านการจัดการของตระกูล คิดถึงตอนนางเอ่ยอย่างยินดีว่าจัดการท่านปู่ของตนเองอย่างไร เอ่ยถึงอาการบาดเจ็บที่ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่หาย ท่าทางกระหยิ่มยินดีของนาง สยงเทียนคุนรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าว
“ถ้าหากข้าสามารถต่อต้านการจัดการของท่านแม่และท่านพ่อ ไปทำเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นต่างทำได้ จะดีสักเพียงใดนะ” เขานึกถึงตนเองโดยไม่รู้ตัว ทว่ากลับถูกความคิดนี้ขู่ขวัญ ต่อต้านท่านแม่ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่ง นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน
“น้องเฟยเหยา ถ้ามีผู้ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าเจ้ามากๆ คิดจะควบคุมเจ้าไว้อย่างแน่นหนา โดยไม่สนใจความรู้สึกของเจ้าเลยสักนิด ทว่าทำเพื่อเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?” สายตาของสยงเทียนคุนเหลือบมองจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยากำลังกินแป้งทอดไส้เนื้อที่ห่อกระดาษน้ำมันคำใหญ่ ปากถูกยัดจนเต็ม จึงโบกมือให้เขา แล้วชี้ไปที่ปาก
สยงเทียนคุนมองนางอย่างหมดคำพูด เห็นจินเฟยเหยากินไม่หยุดตลอดทาง ไม่รู้ว่าจะกินสิ่งของเหล่านั้นจนถึงเมื่อใด กลับเป็นตัวเขาเอง ทุกวันกินอาหารแค่ไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว ทำให้จินเฟยเหยาประณามไม่หยุด เพราะว่ากินน้อยเกินไป ดังนั้นจึงได้หน้าตาเหมือนสตรี
“พี่สยง ชีวิตเป็นของตนเอง ไม่ใช่ของคนอื่น เจ้ายินยอมรับการควบคุมด้วยเจตนาดีของอีกฝ่ายหรือไม่ ต้องดูความปรารถนาของตัวเจ้ามิใช่ดูว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของอีกฝ่ายสูงกว่าเจ้าหรือไม่” จินเฟยเหยากลืนแป้งทอดไส้เนื้อในปากลงไป มือก็หยิบอีกชิ้นยัดใส่ปาก
“หากเจ้าไม่ยินดี แล้วเจ้ายังต้องการเจตนาดีเช่นนี้ไปทำไม เส้นทางเซียนยาวไกลนัก หากมิอาจทำตามใจปรารถนา บำเพ็ญเซียนไปจะมีประโยชน์อะไร เพราะเหตุใดเจ้าจึงบำเพ็ญเซียน?” จินเฟยเหยาถามกลับ
“เพราะเหตุใด…” สยงเทียนคุนก้มหน้าลงครุ่นคิด เนิ่นนาน เขาจึงได้เงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยสายตาซึมเซา “ข้าเกิดมาก็มีพลังวิญญาณสวรรค์ ตอนยังฝึกบำเพ็ญไม่ได้ ก็กินยาชำระล้างไขกระดูกและขจัดสิ่งสกปรกทุกวัน ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องฝึกบำเพ็ญ เพียงแต่ท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าฝึกบำเพ็ญ ข้าก็ย่อมต้องฝึกบำเพ็ญ”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าลองคิดดูดีๆ สิ่งที่เจ้าต้องการที่สุดคืออะไร? ไม่ต้องรีบตอบข้า คิดให้ดีแล้วค่อยพูด” จินเฟยเหยาไล่เขาไปแล้วก็กินอาหารรสเลิศต่อ
นางไม่มีเวลาว่างมาพูดคุยปรึกษาปัญหาชีวิตกับเขา เพียงแต่คิดว่าถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงท่าทางของคุณหนูใหญ่ที่อยู่แต่ในหอห้องทั้งวัน ก็ทำให้ตนเองที่อยู่ร่วมรถม้ารู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เห็นม้าลากรถหยุดกินหญ้าข้างทาง จินเฟยเหยาก็หยิบแส้ม้าขึ้นมาหวดเบาๆ ม้าจึงออกเดินอย่างไม่เต็มใจ
“พอไม่จับตาดูเจ้า เจ้าก็แอบขี้เกียจ”
นางพึมพำด่าทอไปประโยคหนึ่ง ย้ายจากภายในรถม้ามาตรงประตู กินแป้งทอดสอดไส้เนื้อไปพลางหวดม้าลากรถไปพลาง คำถามนี้ ทำให้สยงเทียนคุนขบคิดจนไม่ได้นอนหลายวัน เห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้าทั้งวัน ไม่คิดจะดื่มชาหรือกินข้าว คิดทั้งวันทั้งคืนก็คิดหาเหตุผลไม่ออก
สวรรค์ นั่นเรียกว่าอะไร
จินเฟยเหยาเร่งรถม้าอย่างเงียบๆ ขี้เกียจจะไปสนใจสยงเทียนคุนในรถม้า
“ข้าอยากมีอิสระ ข้าอยากทำตามใจปรารถนา ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่มีเรื่องที่อยากทำเป็นพิเศษ ทว่าขอเพียงตอนที่ข้าคิดจะทำ ไม่ว่าจะมีอะไรขัดขวางข้า ข้าก็จะทำ” ทันใดนั้นสยงเทียนคุนก็แบกขอบตาดำปี๋วิ่งมาหา ถึงแม้สติจะไม่ค่อยดี ทว่าดวงตากลับใสกระจ่างอย่างน่าประหลาด ราวกับในที่สุดก็คิดได้
เขาวิ่งออกมาอย่างกะทันหันทำให้จินเฟยเหยาตกใจ นางขบคิดคำพูดของเขาอย่างละเอียด เป็นคำพูดที่นางพูดกับเขาไปเมื่อหลายวันก่อนมิใช่หรือ กลายเป็นว่าเขาคิดอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา
เห็นดวงตาที่เปี่ยมด้วยความคาดหวังคู่นั้นของเขา จินเฟยเหยาก็ได้แต่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าต้องจดจำคำพูดในวันนี้ของเจ้าไว้ ไม่ว่าคนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร เพียงแค่ทำเรื่องที่ตนเองอยากทำ คนอื่นๆ ก็ห้ามเจ้าไม่ได้ ถ้ามีคนขัดขวางเรื่องที่เจ้าคิดจะทำก็ฆ่ามันเสีย”
เมื่อได้รับการยืนยันจากจินเฟยเหยาสยงเทียนคุนจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น จดจำคำพูดของนางไว้ในใจ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย
หลังจากหาเป้าหมายในชีวิตเจอแล้ว ในที่สุดสยงเทียนคุนก็ยอมกินอาหาร ส่วนจินเฟยเหยาเองก็นำแผนที่ออกมาตรวจสอบ เมืองลั่วเซียนเป็นเมืองของผู้บำเพ็ญเซียนโดยเฉพาะ หากไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนนำทาง คนธรรมดาจะหาเมืองไม่พบ
ถ้าควบคุมอาวุธเวทบินได้จากกลางอากาศ กลับหาเมืองลั่วเซียนได้ง่าย และถ้าไปจากพื้นดีก็จะยุ่งยากหน่อย มีเส้นทางบิดๆเบี้ยวๆ สายหนึ่งบนแผนที่ ต้องผ่านป่าทึบแห่งหนึ่งก่อน จากนั้นจึงมีเส้นทางปรากฏขึ้น และยังต้องเดินตามเส้นทางนั้นอีกหลายวันจึงไปถึงเมืองลั่วเซียนได้
ในป่าทึบมีสัตว์ปิศาจขั้นหนึ่งมากมาย คนธรรมดาจะไม่เข้าไปลึก สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่มีเวทมนตร์ ถ้าโชคไม่ดี ไปเจอกลุ่มสัตว์ปิศาจก็ต้องเสียเวลาไม่น้อย
ทั้งสองมาถึงข้างป่าทึบบนแผนที่ เพราะว่าป่าทึบไม่มีหนทาง รถม้าเข้าไปไม่ได้ ทั้งสองคนจึงได้แต่ทิ้งรถม้าไว้นอกป่าทึบ แล้วเดินเท้าเข้าไปในป่า พอเข้าไปในป่าจินเฟยเหยานั้นยังดี สยงเทียนคุนกลับกุมกระบี่สีขาวในมือแน่น มีสีหน้าตึงเครียด ในป่าทึบนี้ทั้งหมดเป็นสัตว์ปิศาจขั้นหนึ่ง ขอเพียงหลีกเลี่ยงกลุ่มสัตว์ปิศาจได้ก็พอ เห็นเขาตึงเครียดแทบตาย จินเฟยเหยาที่เดินนำทางข้างหน้า ก็จงใจเดินนำเขาไปยังสถานที่ซึ่งมีสัตว์ปิศาจ
นางสั่งสอนสยงเทียนคุนอย่างถูกต้องและจริงจัง ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนต้องมีประสบการณ์การต่อสู้จริงอย่างช่ำชอง มือใหม่เช่นเขา กลับหวาดกลัว ดังนั้นฉวยโอกาสนี้ให้สยงเทียนคุนใช้สัตว์ปิศาจขั้นหนึ่งมาลองฝึกมือ
สยงเทียนคุนซาบซึ้งจนน้ำตาไหล รู้สึกว่าจินเฟยเหยาดีต่อเขามากจริงๆ ถึงกับยอมเสียเวลาค้างแรมอยู่ในป่าเพื่อฝึกฝนเขา เขาสะกดความสับสนและตึงเครียดในจิตใจ กระชับกระบี่สีขาวในมือแน่น หยิบผ้าสีสดใสมาป้องกันตัว เดินตัวสั่นสะท้านติดตามด้านหลังจินเฟยเหยา
หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเบื้องหน้า มีกวางเจ็ดสีตัวหนึ่งปรากฏขึ้น สัตว์ปิศาจขั้นหนึ่งที่นิสัยอ่อนโยนประเภทนี้ นำมาฝึกซ้อมมือได้พอดี
“รีบโจมตี ฝีเท้ามั่นคงหน่อย อย่าใช้พลังวิญญาณสะเปะสะปะ อย่าลนลาน อย่าให้กีบเท้าของมันเตะโดน” พอจินเฟยเหยาโบกมือ สยงเทียนคุนก็ยกกระบี่สีขาวพุ่งขึ้นไป
ฟาดฟันอย่างไร้ทิศทาง กวางเจ็ดสีก็ล้มลงบนพื้น จินเฟยเหยาล้วงกริชออกมาอย่างยินดียิ่ง เฉือนหนังกวางและเขากวางอย่างว่องไว ถึงจะไม่ใช่ของดีอะไร ทว่าขอเพียงเก็บเล็กผสมน้อยก็เป็นรายได้ก้อนหนึ่ง
จัดการเสร็จ นางโบกมือให้สยงเทียนคุนที่ยืนมองนางอยู่ด้านข้าง “ไป สัตว์อสูรด้านหน้ายังมีอีกมาก ครั้งหน้าต้องโจมตีอย่างมั่นใจหน่อย”
ผู้อื่นเดินทางสายนี้ อยากจะรีบเดินให้เสร็จสิ้นใจจะขาด ทว่าจินเฟยเหยากลับพาสยงเทียนคุนอ้อมทางอย่างต่อเนื่อง ค้นหาสัตว์ปิศาจที่อยู่ตัวเดียวไปทั่ว
เส้นทางที่ใช้เวลาสิบวัน ทั้งสองคนใช้เวลาเดินทางไปสองเดือนกว่า ห่านป่าผ่านมาจะต้องถอนขนห่าน เอาสัตว์ปิศาจที่พบเห็นมาให้สยงเทียนคุนซ้อมมือโดยไม่เว้นสักตัวเหมือนพายุพัดหอบเศษปุยเมฆไป[1]
ส่วนกระเป๋าเก็บของที่จินเฟยเหยาได้จากร่างบุรุษดาบใหญ่ถูกนางบรรจุสัตว์ปิศาจจนเต็มนานแล้ว แม้แต่กระเป๋าเก็บของของสยงเทียนคุนก็ถูกจินเฟยเหยาใส่หนังสัตว์และกระดูกสัตว์จำนวนมากไว้ข้างใน
ไม่รู้ว่าราคารับซื้อในตลาดเมืองลั่วเซียนจะดีหรือไม่ จินเฟยเหยาคิดคำนวณในใจ ครั้งนี้จะหาศิลาวิญญาณได้เท่าไหร่ ไม่เสียเวลาสักนิดก็เก็บกรรมกรได้เปล่าๆ คนหนึ่ง ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์สอนอีก
สยงเทียนคุนติดตามอยู่ด้านข้างจินเฟยเหยาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะด้านการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาใช้แรงงานตนเอง ก็เป็นคนโง่งมอย่างแท้จริงแล้ว
ต่อให้สยงเทียนคุนรู้ว่าเขาถูกเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปีคนนี้หลอกใช้ เขาก็ยังยินดี นี่เป็นสหายคนแรกที่เขาคบหา อีกทั้งนอกจากอีกฝ่ายจะเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ กลับยกระดับประสบการณ์การต่อสู้จริงของตนเองให้สูงขึ้นไม่น้อย
ตอนแรกที่พบเจอสัตว์ปิศาจเขาจิตใจสับสนมือไม้ปั่นป่วน สู้ขึ้นมาก็ไม่รู้ขั้นตอนเลยสักนิด ยามนี้กลับไม่เหมือนในยามนั้น หลังจากฆ่าสัตว์ปิศาจขั้นหนึ่งตัวใหญ่น้อยไปเกือบร้อยตัว เขาก็สุขมหนักแน่น พบเจอสัตว์ปิศาจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาประหลาดน่ากลัวเพียงใด เขาก็สามารถวิเคราะห์ได้อย่างเยือกเย็น ใช้การโจมตีที่ง่ายที่สุดและได้ผลที่สุด ท่าเดียวปลิดชีพ
เห็นจินเฟยเหยาที่วิ่งวุ่นอย่างยินดีอยู่ในป่าขนาดหญ้าวิญญาณราคาน้อยนิดก็ขุดไปทั้งหมด เขาเข้าใจนานแล้วว่าผู้บำเพ็ญเซียนอิสระยากจนมากเพียงใด ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหญ้าวิญญาณเหล่านั้นจะสามารถขายได้เท่าไหร่ ขนาดกล่องหยกนางยังไม่มี ไม่มีทางจะเก็บรักษาหญ้าวิญญาณให้สดใหม่ได้ ตอนไปถึงเมืองลั่วเซียนก็กลายเป็นหญ้าแห้งไปแล้ว ไม่มีใครซื้อหรอก
จินเฟยเหยาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ในตำรับยาที่บันทึกไว้ใน ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ’ มีใบสั่งยาขั้นต่ำสุดใบหนึ่งเป็นยาต้ม คือใช้หญ้าวิญญาณจำนวนมากต้มกับน้ำแล้วแช่ร่างในนั้นโดยตรง ต่อให้เป็นหญ้าวิญญาณแห้งหากต้มไปก็คงมีฤทธิ์ยาอยู่บ้าง สามารถเก็บหญ้าวิญญาณที่นี่ได้เท่าไหร่ก็ถือว่าเท่านั้น อย่างไรสามารถประหยัดได้นิดหนึ่งก็ยังดี
ยันต์บนตัวสยงเทียนคุนใช้หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ยาเสริมพลังก็กินตอนพบเจอกลุ่มสัตว์ปิศาจหลายครั้ง ส่วนกระเป๋าเก็บของก็เกือบจะใส่ไม่พอ จินเฟยเหยากะว่าสามารถออกจากป่าได้แล้ว
หาทิศทางที่ถูกต้อง ทั้งสองคนก็ออกจากป่าอย่างราบรื่น มาถึงถนนใหญ่ที่นำไปยังเมืองลั่วเซียน สยงเทียนคุนครุ่นคิด ล้วงยันต์เดินทางชั้นหนึ่งออกมาสิบใบ มอบให้จินเฟยเหยาห้าใบ ขอเพียงแปะยันต์ชนิดนี้ไว้บนร่าง พอวิ่งขึ้นมาทั้งรวดเร็วทั้งไม่เปลืองแรง เร็วกว่าม้าในโลกมนุษย์หลายเท่า เพียงแต่ยันต์หนึ่งใบจะมีฤทธิ์หนึ่งชั่วยาม ยันต์ห้าแผ่นน่าจะเพียงพอให้พวกเขาสองคนวิ่งไปถึงเมืองลั่วเซียน จินเฟยเหยาหยิบยันต์เดินทาง มีโทสะนิดๆ เจ้าหมอนี่พกพาของดีเช่นนี้ก็ไม่หยิบออกมาแต่แรก ดื้อรั้นจะนั่งรถม้า ทั้งยังเดินอืดอาดอยู่ตั้งนาน
สยงเทียนคุนออกจากบ้านเป็นครั้งแรก ย่อมคิดจะเที่ยวชมทิวทัศน์ตลอดทาง ดังนั้นจึงไม่ได้บอกว่าตนเองพกพายันต์เดินทาง เห็นจินเฟยเหยาถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย จึงได้แต่แสร้งยิ้มอย่างโง่งม
[1] พายุพัดหอบเศษปุยเมฆไป คือ พริบตาเดียวก็กวาดเศษซากที่เหลือหายไปจนเกลี้ยง