ใช้ยันต์เดินทางไปสี่ใบ ในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงเมืองลั่วเซียน
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน จินเฟยเหยายืนอยู่ข้างทาง มองเมืองลั่วเซียนที่อยู่ไกลๆ
เกาะลอยได้ห้าเกาะลอยอยู่กลางอากาศโอบล้อมด้านบนของเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งบนพื้นดินเอาไว้ ระหว่างเกาะทั้งห้ายังมีสะพานหยกสีขาวเชื่อมต่อกัน ทว่ากลับไม่ได้เชื่อมต่อถึงเมืองบนพื้นดิน
เกาะลอยได้มีขนาดไม่ต่างกันมากนัก ทัศนียภาพของแต่ละเกาะกลับไม่เหมือนกัน บนเกาะลอยได้แห่งหนึ่งปลูกไผ่เขียวเต็มไปหมด สามารถเห็นตึกไผ่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้อย่างเลือนราง
ส่วนเกาะลอยได้ด้านข้างกลับทำให้จินเฟยเหยาร้องอุทานออกมาเหมือนคนไม่เคยเห็นโลกกว้าง เกาะลอยได้ทั้งเกาะสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ นอกจากน้ำแล้วก็มีแต่น้ำ ไม่มีแม้แต่ขอบกั้นน้ำ เกาะลอยได้สะท้อนท้องนภาสีฟ้าและเมฆสีขาวราวกับเป็นกระจก น้ำเต็มเปี่ยมทว่าไม่ไหลล้นออกมา บนน้ำยังปลูกดอกบัวไว้หลากหลายชนิด
มีอาคารหินหยกสีขาวสร้างอยู่ในน้ำราวกับงอกออกมาจากในน้ำสะท้อนเป็นประกายภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง
เกาะลอยได้อีกสองเกาะต่างก็มีดีไปคนละแบบ เกาะหนึ่งดุจยอดเขาอันงามสง่า ทิวทัศน์งดงาม ศาลาหอเก๋งซ่อนตัวอยู่ในเงาดอกไม้และหมู่ไม้
ส่วนอีกเกาะ ยังมีเกาะลอยได้ที่เล็กกว่าอีกเจ็ดเกาะ ลอยอยู่กลางอากาศเหนือเกาะลอยได้ มีเถาวัลย์เชื่อมโยงระหว่างเกาะข้างบนและเกาะข้างล่าง มีดอกไม้สดเบ่งบานบนเถาวัลย์ พอลมพัดมาฝนดอกไม้ก็ร่วงหล่นเต็มท้องนภา
เกาะสุดท้ายกลับทำให้จินเฟยเหยาตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เทียบกับเกาะลอยได้อีกสี่เกาะแล้วช่างทำลายบรรยากาศจริงๆ บนเกาะลอยได้ทั้งเกาะเป็นอาคารที่สร้างขึ้นด้วยทองและหยกเบียดกันอยู่อย่างหนาแน่น โอ่อ่าหรูหราจนเสียดแทงนัยน์ตา ถึงแม้มองดูก็รู้ว่าใช้เงินไปไม่น้อย ทว่ากลับให้ความรู้สึกรสนิยมต่ำ ไม่รู้ว่าเศรษฐีคนใดสร้างขึ้น ช่างทำให้คนหมดคำพูดจริงๆ
เมืองที่อยู่บนพื้นด้านล่างยังนับว่าปกติ มองไปไกลๆ เห็นอาคารนับไม่ถ้วนในเมือง เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง เพียงพอให้คนเกินล้านอยู่อย่างเหลือเฟือ
เห็นผู้บำเพ็ญเซียนมากมายบินไปบินมานอกเมืองดุจแมลงวัน จินเฟยเหยาก็รู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง มีผู้บำเพ็ญเซียนมากมายเกินไปกระมัง
ก่อนหน้านี้นางอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ ที่เชิงเขาของสำนักหลิงคง ในเมืองส่วนมากเป็นคนธรรมดา ส่วนเมืองอวี้ซิงของสำนักเหิงเจินก็มีคนธรรมดาเสียแปดส่วน และทั้งเมืองก็มีเพียงไม่กี่หมื่นคน เมืองที่ผู้บำเพ็ญเซียนเต็มท้องนภาเช่นนี้ดูแล้วน่าจะมีคนนับล้าน นางเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก
สภาพของสยงเทียนคุนก็ไม่ได้ดีไปกว่านางนัก คนที่ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ย่างถือว่าตระกูลพอมีทุนทรัพย์อยู่บ้าง อยู่ที่นี่ก็แค่เศรษฐีบ้านนอกที่เข้าเมืองคนหนึ่ง เขาพยายามนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินยามปกติ ก็ค้นเรื่องเกี่ยวกับเมืองลั่วเซียนที่มารดาเคยเล่าให้ฟังในความทรงจำพบอย่างยากลำบาก
เขากระแอมให้คอโล่ง อธิบายต่อจินเฟยเหยาว่า “น้องเฟยเหยา ในเมืองลั่วเซียนมีตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนไม่ต่ำกว่าร้อยตระกูล แต่ละสำนักล้วนมีสาขาอยู่ที่นี่ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนอิสระนั้นมีมากมายดุจขนวัว อีกทั้งกิจการทั้งหมดล้วนบริหารจัดการร่วมกันโดยองค์กรใหญ่ทั้งห้าบนเกาะลอยได้ ซึ่งดูเหมือนจะเรียกว่าตำหนักลั่วเซียน”
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ชัดเจนขนาดนี้?” จินเฟยเหยาได้สติคืนมา โพล่งถาม
แน่นอนว่าสำนักอวิ๋นซานก็มีสาขาอยู่ที่นี่ ดังนั้นจะมากจะน้อยจึงรู้สภาพของเมืองลั่วเซียนอยู่บ้าง ทว่าสยงเทียนคุนกลับไม่กล้าบอก บอกแค่เรื่องที่เคยได้ยินพวกศิษย์พี่พูดในสำนักก่อนหน้านี้ เขากลัวว่าจินเฟยเหยาจะคิดว่าเขาเป็นภาระ และไล่เขากลับไป
จินเฟยเหยาก็ไม่สงสัย รีบฉุดลากเขาไปยังเมืองลั่วเซียน เหนือใต้ออกตกแต่ละทิศล้วนมีประตูเมือง บนประตูเมืองมียันต์ขนาดยักษ์กว้างหนึ่งจั้งกว่า อักขระบนยันต์เปล่งประกาย มีพลังวิญญาณกดดันผู้คน
มีคนเฝ้าสองแถวทั้งหมดสิบคนยืนอยู่ที่ประตูเมือง จินเฟยเหยาเรียนรู้เวทมองทะลุจากสยงเทียนคุน จึงแอบตรวจสอบพลังการบำเพ็ญเพียรของคนทั้งสิบ นอกจากพลังบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปรานช่วงปลายคนหนึ่ง อีกเก้าคนที่เหลือล้วนมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลาง คาดว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายเป็นหัวหน้าของพวกเขา
ต่อให้เป็นเมืองลั่วเซียนที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ ก็ได้แต่ใช้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมาเฝ้าคุ้มกันเป็นประจำ ถึงแม้ในเมืองจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานไม่น้อย ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกพวกเขามาเฝ้าประตู
ตอนเข้าเมืองถูกเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองเป็นศิลาวิญญาณชั้นล่างรวมทั้งหมดสองก้อน ค่าธรรมเนียมนี้แน่นอนว่าสยงเทียนคุนเป็นผู้จ่าย เห็นฝูงชนเข้าๆ ออกๆ ประตูเมือง จินเฟยเหยาแอบคำนวณในใจ เพียงแค่รายได้จากค่าธรรมเนียมเข้าเมือง ศิลาวิญญาณที่เมืองลั่วเซียนได้รับเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว
เพิ่งเข้าไปในเมือง ก็ถูกคนธรรมดาขวางทางไว้เริ่มเร่ขายแผนที่เมืองลั่วเซียนให้กับพวกเขาสองคน
“ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสอง โปรดหยุดก่อน พวกเรามีแผนที่เมืองลั่วเซียนอย่างละเอียด ถ้าเพิ่งมาถึงเมืองลั่วเซียน ไม่พกพาแผนที่สักใบ อาจจะเดินหลงทางก็เป็นได้” พี่ชายที่ขายแผนที่พูดน้ำไหลไฟดับ ฉวยโอกาสในพริบตาที่พวกเขาหยุด รีบพูดให้จบอย่างรวดเร็ว
สยงเทียนคุนประหลาดใจ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านจึงรู้ว่าพวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่?”
อาศัยที่พวกท่านสองคนมองไปรอบๆ มีสีหน้าท่าทางทอดถอนใจ ผู้ใดจะไม่รู้ว่าพวกท่านเพิ่งมา ทว่าพี่ชายที่ขายแผนที่ไม่กล้าพูดคำพูดนี้ออกไป กลับเอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองท่านไม่รู้อะไร ขอเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่เมืองลั่วเซียนมานาน ย่อมต้องออกนอกเมืองไปล่าสัตว์ปิศาจ พอกลับมาส่วนมากเสื้อผ้าจะขาดเสียหาย อ่อนระโหยโรยแรง บางคนยังได้รับบาดเจ็บ ส่วนท่านสองคนท่าทางสง่าผ่าเผย เสื้อผ้าเรียบร้อย ใบหน้ามีเลือดฝาด ย่อมต้องมาถึงเมืองลั่วเซียนเป็นครั้งแรกแน่ๆ”
“ท่านรู้จักพูดนะ แผนที่ขายอย่างไร?” ใครฟังไม่ออกบ้างว่าเขาพูดประจบ จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ
พี่ชายรีบพาคนทั้งสองมาถึงหน้าแผงเล็กๆ ด้านข้างประตูเมือง หยิบม้วนภาพวาดขึ้นแนะนำแก่คนทั้งสอง “แผนที่ของเมืองลั่วเซียนห้ามลักลอบขาย ตำหนักลั่วเซียนส่งคนมาขายโดยตรงทั้งหมด ราคาของทั้งเมืองล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ม้วนละสองศิลาวิญญาณชั้นล่าง”
“ศิลาวิญญาณชั้นล่างสองก้อน คิดจะปล้นกันหรือ แค่แผนที่บ้าๆ ม้วนเดียว ข้าเดินเองรอบหนึ่ง วาดให้ตนเองใช้ก็พอแล้วกระมัง” จินเฟยเหยาตกใจ นี่มันราคาอะไรกัน ชั่วร้ายเกินไปแล้ว
พี่ชายหัวเราะหึหึ ค่อยๆ กางแผนที่ในมือออก “แผนที่ของพวกเราไม่ธรรมดานะ ทั้งสองท่านเชิญชม”
จินเฟยเหยาก้มหน้าลงมองดู แผนที่ม้วนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ วาดเมืองลั่วเซียนทั้งหมดบนนั้นอย่างละเอียดยิ่ง อีกทั้งไม่รู้ว่าทำจากวัสดุประเภทใด ดูแล้วให้ความรู้สึกชุ่มชื้น
เห็นพี่ชายใช้มือจิ้มลงบนแผนที่ ตรงตำแหน่งที่มือของเขาจิ้ม ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้น แสดงให้เห็นถนนที่สะอาดสะอ้านสายหนึ่ง จากนั้นพี่ชายก็ใช้มือขยับแผนที่ ถนนบนแผนที่ก็ขยับ คิดจะดูตรงที่ใดก็ขยับตรงนั้น
อีกทั้งเพราะขยายใหญ่แล้ว สถานที่และร้านค้าแต่ละร้านล้วนแสดงอักษรสีดำออกมา สถานที่สำคัญบางแห่ง ถึงกับมีหมายเหตุว่าใช้ทำอะไร ชัดเจนอย่างยิ่ง มีแผนที่ม้วนนี้ คิดจะทำอะไรในเมืองลั่วเซียนล้วนไม่จำเป็นต้องหาคนมาสอบถาม
เห็นของสิ่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ สยงเทียนคุนจึงซื้อชุดหนึ่ง ตอนจ่ายศิลาวิญญาณเขาเห็นจินเฟยเหยามองเขาอย่างน่าสงสาร ดูเหมือนอยากได้แผนที่แบบนี้เช่นกัน จึงกลั้นยิ้มรับแผนที่ที่พี่ชายยื่นมามอบให้แก่จินเฟยเหยา
จินเฟยเหยารับแผนที่มาอย่างยินดี แล้วพลิกดูอย่างตื่นเต้น สยงเทียนคุนรออยู่ด้านข้างครู่หนึ่ง จึงเห็นจินเฟยเหยาชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแล้วเอ่ยหารือกับเขา “พี่สยง พวกเราไปอาคารที่พักอาศัยเพื่อเช่าห้องเถอะ ข้าคิดจะอยู่ที่นี่ระยะยาว เจ้าล่ะ จะไปอยู่โรงเตี๊ยมหรือไม่?”
นางไม่ได้เอ่ยว่าจะเอาสิ่งของในกระเป๋าเก็บของไปขายก่อน คิดจะดูว่าสยงเทียนคุนอยากจะเช่าบ้านอยู่ด้วยกันกับตนเองหรือไม่ แบบนั้นก็สามารถให้เขาจ่ายค่าเช่าห้องได้
“ข้าไม่อยากอยู่โรงเตี๊ยม พวกเราเช่าเรือนที่ใหญ่หน่อยหลังหนึ่งดีกว่า อยู่กันคนละห้องจะได้ช่วยดูแลกัน” สยงเทียนคุนเก้อเขินนิดๆ อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุรุษ ยืนกรานจะอยู่กับเด็กผู้หญิงมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เรื่องนี้ตรงกับความคิดของจินเฟยเหยาพอดี นางพยักหน้ายิ้มตาหยี “อืม ถึงตอนนั้นพวกเรายังสามารถไปล่าสัตว์ปิศาจด้วยกันได้”
หารือเสร็จแล้ว ทั้งสองคนไปหาอาคารที่พักอาศัยตามที่แผนที่บ่งบอก
เมืองลั่วเซียนไม่ได้ใหญ่ธรรมดา หาตามแผนที่ครึ่งชั่วยาม จึงหาอาคารที่พักอาศัยพบตรงทางแยกคนพลุกพล่านแห่งหนึ่ง
มองดูจากภายนอกอาคารที่พักอาศัยมีแค่สองชั้น โครงสร้างทำจากไม้ เขียนสัญลักษณ์ดอกไม้ห้ากลีบของเมืองลั่วเซียนมากมาย ตรงประตูมีคนไปมา คึกคักอย่างยิ่ง
พอทั้งสองคนเข้าไปในอาคารที่พักอาศัยก็มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นฝึกปราณช่วงต้นเข้ามาต้อนรับอย่างสุภาพ พอทราบว่าทั้งสองคนมาเช่าบ้าน ก็พาพวกเขาสองคนเบียดเข้าไปหน้าม่านแสงด้านใน
ด้านหน้าม่านแสงมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ทั้งหมดล้วนมาเช่าบ้านพัก ชั้นสองก็สามารถจัดการเรื่องให้เช่าได้ ทว่ากลับรับแขกแค่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมขึ้นไป พลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานลงมาล้วนต้องเบียดกันอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
ต่อให้เบียดกันอยู่ในห้องเดียว ยังมีความแตกต่างของขั้นสร้างฐานและขั้นฝึกปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานยืนอย่างมั่นคงอยู่ตำแหน่งตรงกลาง ระหว่างแต่ละคนยังมีพื้นที่กว้างสองคนกว่า ส่วนพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณมีจำนวนมากมาย เบียดกันอยู่สองข้างและไม่มีแม้แต่พื้นที่ว่างระหว่างกัน เบียดกันแบบหลังชนหลัง
“ทำให้ใหญ่หน่อยไม่ได้หรือ แออัดแทบตายแล้ว” จินเฟยเหยาติดอยู่ด้านข้างผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่นำทาง ส่วนสยงเทียนคุนหน้าแดงก่ำ ถูกผู้บำเพ็ญเซียนด้านหลังดันมาติดหลังผู้บำเพ็ญเซียนสตรีราวกับโอบกอดนางไว้
“มีดวงนารีจริงๆ” เห็นท่าทางขัดเขินของเขา จินเฟยเหยาก็เบิกบาน
สหายเซียนทั้งสองท่าน ที่นี่ต้องเลือกตำแหน่งของบ้านดังนั้นจึงแออัดหน่อย ขออภัยด้วย” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีพบเห็นจนชินนานแล้ว ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจสยงเทียนคุนที่แนบอยู่ด้านหลัง ให้หนุ่มน้อยที่งดงามดุจสตรีเช่นนี้แนบติดดีกว่าตาเฒ่าอัปลักษณ์เหล่านั้นมากนัก
“ไม่เป็นไร ขอเพียงเช่าบ้านที่ทั้งถูกทั้งดีได้ เบียดหน่อยก็ไม่เป็นไร” จินเฟยเหยาเช็ดเหงื่อบนศีรษะ เพียงหวังว่าจะเลือกที่อยู่ให้เสร็จเร็วหน่อย แต่พอเห็นสภาพแบบนี้ คิดจะแย่งชิงสถานที่ดีๆจากคนหลายร้อยคนเกรงว่าคงยาก
ม่านแสงเบื้องหน้าคือแผนที่ของเมืองลั่วเซียนทั้งหมดและอาณาเขตโดยรอบ ด้านบนเต็มไปด้วยจุดแสง มีสีขาว สีเขียว และยังมีสีทอง ได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนสตรีแนะนำว่า นี่คือที่อยู่ซึ่งแบ่งตามระดับพลังวิญญาณ สีขาวพลังวิญญาณอ่อนจางที่สุด สีทองพลังวิญญาณเข้มข้นที่สุด แน่นอนว่ายังมีสถานที่ที่ดียิ่งกว่านี้ ต้องขึ้นไปชั้นสองจึงจะได้
สถานที่เหล่านี้เพียงพอแล้ว ต่อให้พวกเขาสองคนขึ้นไปชั้นสองได้ ก็ไม่มีเงินจะเช่าถ้ำที่มีพลังวิญญาณระดับสุดยอดพวกนั้น
พอถามราคา จุดแสงสีขาวล้วนเป็นที่พักที่มีลานบ้านเดียว มีห้องฝึกบำเพ็ญหนึ่งห้องและห้องว่างที่สามารถจัดแจงเองได้หนึ่งห้อง ทั้งหมดตั้งอยู่ในเมืองลั่วเซียนอันคึกคัก สถานที่ยิ่งเอะอะก็ยิ่งไม่เหมาะจะฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นจึงมีราคาแค่ห้าสิบศิลาวิญญาณชั้นล่างต่อปี บ้านที่นี่อย่างน้อยที่สุดต้องเช่าหนึ่งปี ถ้าอยู่แค่ไม่กี่เดือน ก็สามารถไปพักโรงเตี๊ยมที่มีอยู่ทั่วทุกถนนใหญ่ได้
บ้านเหล่านี้ไม่มีห้องครัว ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดขี้เกียจใช้เวลาไปกินอาหาร บางครั้งมีบางคนชอบทำอาหารเอง ก็สามารถทำในลานเรือนได้ จินเฟยเหยาสนใจด้านการกิน ทว่ากลับไม่สนใจเรื่องทำอาหารได้อย่างไรสักนิด ถึงจะมีหรือไม่มีก็ไม่แตกต่างกัน