“เอาหลังที่ข้างๆ มีคฤหาสน์ใหญ่หลังนั้น” จินเฟยเหยาชี้สถานที่แห่งหนึ่งบนม่านแสง สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี เรือนเล็กๆ นั่นอยู่ติดกับคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่ง จากม่านแสงสามารถมองออกได้ว่าในคฤหาสน์แห่งนั้นมีต้นไม้เขียวขจี สระบัวงดงาม ตรอกเงียบสงบ ถ้าอาศัยอยู่ที่นั่นจะได้ประโยชน์จากบ้านข้างเคียง
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีล้วงแผ่นหยกออกมาชิ้นหนึ่ง ขณะจะจิ้มม่านแสงขนาดยักษ์ ก็เห็นแสงสีขาวสายหนึ่งยิงมาบนม่านแสง จุดแสงที่จินเฟยเหยาเลือกไว้ก็ดับไป
“สหายเซียน บ้านหลังนี้ถูกคนเลือกแล้ว ท่านเลือกหลังใหม่เถอะ” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตกตะลึง รีบมองจินเฟยเหยาอย่างรู้สึกเสียใจทันที
จินเฟยเหยากำมือ ในใจเดือดดาล ใครบังอาจมาแย่งบ้านของข้า นางโกรธแค้นอย่างยิ่ง ยังต้องเลือกบ้านอีก นางค้นหาบนม่านแสง
ครู่หนึ่งนางก็หาสถานที่ที่ค่อนข้างสงบพบ ขณะนางจะเลือกก็เห็นจุดแสงดับลงอีก จินเฟยเหยากัดฟันค้นหาสถานที่ที่พึงพอใจบนม่านแสงอีกคำรบ ไม่รู้ว่าจงใจหรือทุกคนต่างหมายตาบ้านที่มีตำแหน่งอยู่ใกล้คฤหาสน์ใหญ่เหล่านั้น เห็นแสงสีขาววาบผ่านด้านหน้าม่านแสง จุดแสงที่นางถูกใจกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
มองเห็นจุดแสงที่ตนเองหมายตายิ่งลดลงทุกที ที่เหลือทั้งหมดล้วนแออัดอยู่รอบร้านขายของ เป็นสถานที่ที่อึกทึกวุ่นวาย จินเฟยเหยาใช้มือฉุดดึงมือของผู้บำเพ็ญเซียนสตรี ชี้ไปที่สถานที่แห่งหนึ่งบนม่านแสงแล้วคำรามลั่น “รีบแย่งที่นั่นให้ข้าเร็ว!”
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีรีบขยับนิ้ว แสงสีขาวสายหนึ่งยิงไปยังสถานที่ที่จินเฟยเหยาชี้ จุดแสงสีขาวบนม่านแสงก็ดับลง ส่วนแผ่นหยกในมือของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีก็สว่างขึ้น ในที่สุดก็ให้นางแย่งสถานที่แห่งหนึ่งมาได้
ติดตามผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเบียดออกมาจากกลุ่มคน จินเฟยเหยามองสยงเทียนคุนอย่างภาคภูมิใจ กลับพบว่าเขาเดินตัวแข็งทื่อนิดๆ จึงอดเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”
สยงเทียนคุนหน้าแดงก่ำหัวเราะขื่นๆ แล้วก็สั่นศีรษะ เขากล้าพูดที่ไหน ว่าเพราะตนเองแนบติดกับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้น ด้านหลังก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ เบียดดันเสียดสีอย่างต่อเนื่อง บางแห่งในร่างกายมีอะไรแปลกๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวสักนิด เขาผลักผู้บำเพ็ญเซียนที่เบียดดันเข้ามาไปด้านหลังและพยายามรักษาระยะห่างกับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่อยู่ด้านหน้าอย่างสุดความสามารถ ทำเอาร่างแข็งทื่อและปวดเมื่อยไปทั้งตัวเดินเหินไม่สะดวกเลย
“ยืนนานเลยขาชาสินะ? ร่างกายของเจ้าแย่จริงๆ ต้องฝึกฝนให้ดี มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลางแล้ว ยังเหมือนกับบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่งอีก” จินเฟยเหยาสั่นศีรษะ ได้แต่ก้าวไปใช้มือพยุงเขาไว้ นางยังต้องให้เขาจ่ายค่าเช่าบ้านราคาห้าสิบศิลาวิญญาณชั้นล่างอยู่
สถานที่ที่ใกล้กำแพง มีโต๊ะดำเนินการแถวหนึ่ง หลังจากจ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่างห้าสิบก้อนแล้ว ทั้งสองคนก็รับป้ายหยกมาอย่างดีอกดีใจ
บ้านที่พวกเขาเช่าอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง รอบด้านมีคฤหาสน์ใหญ่หลายหลัง คฤหาสน์ทั้งหมดเป็นสาขาของสำนักขนาดกลางและขนาดเล็ก สถานที่ตรงมุมคฤหาสน์ใหญ่สร้างบ้านเล็กๆ ไว้มากมาย น่าแปลกที่ใช้พื้นที่นี้
บ้านที่จินเฟยเหยาเลือกอยู่ข้างสำนักสาขาของสำนักแห่งหนึ่ง พวกนางเดินมาจากอีกด้านไม่ได้ผ่านประตูใหญ่จึงไม่รู้ว่าเป็นสำนักใด เพียงแค่มองดูจากภายนอก สำนักนี้ไม่ถือว่าเล็ก น่าจะเป็นสำนักระดับกลาง
บ้านเล็กๆ เป็นแถวเก้าหลังสร้างขึ้นติดกับกำแพงบ้านฝั่งตรงข้าม บ้านของพวกเขาอยู่ริมสุด กำแพงสีขาวหลังคาสีเขียว บนกำแพงยังมีหญ้าต้นเล็กๆ งอกขึ้นมา บนประตูใหญ่ครึ่งเก่าครึ่งใหม่ไม่มีกุญแจ สิ่งที่บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนใช้คือตราหยก ด้านบนมีคาถาป้องกัน สิ่งของประเภทกุญแจไม่มีประโยชน์สำหรับที่นี่เลยสักนิด
แน่นอน คาถาป้องกันบนตราหยกเป็นคาถาป้องกันแบบเรียบง่ายที่สุด คาถาป้องกันระดับสูงต้องใช้เงินตนเองซื้อหรือกางวงเวทเอง
“ไปเถอะ” จินเฟยเหยาฉุดลากสยงเทียนคุนเดินเข้าไปในบ้านเล็กๆ
“ฮึ!”
ทันใดนั้น เสียงฮึอันเย็นชาก็แหวกอากาศมา จินเฟยเหยารู้สึกเลือดลมปะทุพุ่งขึ้นมาที่หน้าผาก หัวสมองบวมพอง จากนั้นแสงสีแดงสายหนึ่งก็โจมตีทะลุผ่านไหล่ซ้ายของนางไป หากสยงเทียนคุนมิได้ใช้มือฉุดดึงนางไว้ เกรงว่านางคงนอนทอดร่างลงเป็นศพตรงนั้นแล้ว
จินเฟยเหยาใช้มือกุมไหล่ซ้ายที่เลือดออก เพิ่งเงยหน้าขึ้น เตรียมจะหาว่าผู้ใดแอบลอบโจมตีตนเอง ครู่หนึ่งอานุภาพกดดันก็แผ่ขยายปกคลุมฟ้าดิน
“ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน…” นางเพิ่งส่งเสียงร้องอุทาน วงแหวนหยกก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ แสงสีเขียวกระพริบ วงแหวนหยกก็รัดลงบนร่างของนางแน่น จินเฟยเหยานอนอยู่บนพื้นถูกรัดไว้อย่างแน่นหนา ขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด
วงแหวนหยกยิ่งรัดยิ่งแน่น โลหิตสดหลั่งไหลจากบาดแผลของไหล่ซ้าย “ข้าไปล่วงเกินผู้อาวุโสได้อย่างไร ผู้อาวุโสจึงลงมือฆ่าข้า” จินเฟยเหยาไม่ทันได้คิดมากความ เอ่ยปากด่าทอด้วยโทสะ
แม้แต่คนนางยังไม่เห็น ก็ถูกอีกฝ่ายขังไว้ในพริบตา ในใจของนางมีเพียงความสงสัย หรือว่าท่านปู่เชิญผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมาจับข้า นี่มันเกินไปแล้วกระมัง เจ้าหมอนั่นเห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานก็ต่ำต้อยจนแม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ชัด จะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้หรือ?
นึกถึงสยงเทียนคุนที่เดินด้วยกันเมื่อครู่ นางรีบสะกดความเจ็บปวดเงยหน้าขึ้นมองหา กลับต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สยงเทียนคุนยืนอยู่ด้านข้างอย่างไม่บุบสลาย มองดูด้านหลังของตนเองอย่างโง่งม สีหน้าซีดขาว มือเท้าสั่นสะท้าน
เจ้าหมอนี่…ไร้หนทางเยียวยาแล้ว ฆ่าสัตว์ปิศาจซ้อมมือมากมายขนาดนั้นไปเปล่าๆ พอเจอสภานการณ์จริง ไม่เพียงไม่ชักกระบี่ช่วยเหลือ เช่นนั้นก็รีบหนีไปสิ คิดไม่ถึงว่าจะยืนอยู่ตรงนั้น ถือว่าตนเองเป็นตอไม้หรือ? มือเท้ายังสั่นสะท้าน สั่นทำไมเล่า เจ้าผัดถั่วหรือ
จินเฟยเหยามีโทสะอย่างยิ่ง ก้มหน้าคอตกอย่างผิดหวัง เชิญพวกเจ้าตามสบายเลย อยากฆ่าอยากฟันก็มาให้เต็มที่ ถ้าร้องสักแอะข้าก็เป็นหลานของเจ้าแล้ว
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ฟังดูแล้วมีจำนวนคนไม่น้อย ทันใดนั้น สยงเทียนคุนที่ยืนนิ่งมาตลอดก็วาดมือเรียกกระบี่สีขาวออกมา ก้าวข้ามจินเฟยเหยาและบดบังนางไว้เบื้องหลัง
เจ้าอ้อมมาด้านข้างหน่อยไม่ได้หรือ ถึงกับข้ามตัวข้ามาตรงๆ หัวทื่อจริงๆ เห็นสยงเทียนคุนก้าวข้ามร่างของตนเอง จินเฟยเหยารู้สึกไม่พอใจ ทว่านึกถึงตอนนี้ผู้อื่นมีความกล้าพอจะสกัดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน นางจะกล้าไปว่าเขาได้อย่างไร ได้แต่บิดกายอย่างซาบซึ้งเต็มหัวใจ คิดจะหมุนตัวไปมอง ว่าเจ้าสารเลวคนใดโจมตีตนเองบาดเจ็บ
“สตรี?” สะกดความเจ็บปวดหมุนกายไปดูอย่างยากลำบาก จินเฟยเหยากลับเห็นสตรีที่งดงามผู้หนึ่งพากลุ่มคนมายืนห่างไปห้าก้าว
ในกลุ่มนั้นมีนางคนเดียวที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ท่าทางคนที่ทำร้ายตนเองก็คือนาง จินเฟยเหยากัดฟันแอบด่าทอในใจ “นางปิศาจเฒ่า อยู่ว่างกลับบ้านไปตีลูกเจ้าไป รังแกเด็กน้อยถือเป็นความสามารถใด?”
สตรีผู้นี้ดูแล้วอายุสามสิบกว่าปี หน้าตางดงามดุจเซียนสวรรค์ อีกทั้งจินเฟยเหยายิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตา องคาพยบทั้งห้าเหมือนเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน
“สยงเทียนคุน!” มิน่าเล่าจึงได้คุ้นตาขนาดนั้น คนผู้นี้หน้าตาเหมือนสยงเทียนคุนอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะออกมาตามหาบุตรชาย ในใจจินเฟยเหยาสงบลง ที่แท้ก็มาตามหาบุตรชาย คงนึกว่าตนเองเป็นคนหลอกลวง ดูท่าคงต้องรีบอธิบายหน่อย ไม่เช่นนั้นถ้าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตถูกฆ่าก็ยุ่งแล้ว
“ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คนเลว”
จินเฟยเหยาพยายามเงยหน้าขึ้น ตะโกนเสียงดังใส่ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมารดาของสยงเทียนคุน ยังเอ่ยไม่จบ แสงสีขาวก็วาบขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด กระแทกเข้าใส่บนใบหน้าของจินเฟยเหยาอย่างหนักหน่วงทันที ทันใดนั้นบนใบหน้านางก็เหมือนเปิดโรงย้อม มีทุกสีสัน
“ถุย นางปิศาจเฒ่า เจ้าบ้าหรือเปล่า อย่าเอาโทสะเรื่องที่สามีเจ้ามีเมียน้อยใช้เตาหลอมมนุษย์มาลงที่ตัวข้านะ หากไม่ใช่เพราะข้า ลูกชายเจ้าถูกคนปล้นฆ่าไปนานแล้ว เจ้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน มีการอบรมบ้างหรือไม่ อยู่มานานขนาดนี้แล้วนะยายสารเลว” จินเฟยเหยาโทสะพวยพุ่ง ข้าปฏิบัติต่อเจ้าดีๆ เจ้ากลับทำเช่นนี้กับข้า นางถ่มโลหิตสดในปาก ปล่อยให้เลือดกำเดาไหลออกมา ด่าทอสตรีผู้นั้นอย่างไม่สนใจมารยาท
“ฮึ หากเจ้าไม่ได้ยั่วยวนบุตรชายข้า เขาจะแอบออกจากสำนักได้อย่างไร ทั้งยังพาเขาหลบหนีพวกเราไปทั่ว ทำให้ข้าตามหาเขาไม่พบมาตลอด วันนี้หากไม่ฆ่าเจ้า จะสลายความขมขื่นจากการคิดถึงบุตรชายของข้าได้อย่างไร” ในดวงตาของสตรีปรากฏแววดุร้าย เลิกคิ้วขึ้นอย่างเย็นชา มีใจคิดจะฆ่าจินเฟยเหยาแต่แรก โดยเฉพาะเมื่อเห็นจินเฟยเหยาฉุดดึงมือของบุตรชายกำลังจะลากเข้าไปในบ้าน ต้องใช้เวทดึงหยางเสริมหยินแน่ นางก็แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จินเฟยเหยาอับอายจนเหงื่อแตก นี่มันหัวคิดอะไรกัน เหตุใดจึงไม่มีทางสื่อสารกันได้เลยนะ หากนางรู้ว่าอีกฝ่ายแน่ใจว่าตนเองกำลังจะฉุดลากสยงเทียนคุนเข้าบ้านทำเรื่องดึงหยางเสริมหยิน เกรงว่าคงไม่ต้องให้อีกฝ่ายลงมือ นางต้องมีโทสะจนกระอักโลหิตตาย
“ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าออกมาเอง ไม่เกี่ยวกับน้องเฟยเหยา อีกทั้งข้ายังได้พบคนเลว โชคดีที่นางยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นวันนี้ท่านคงไม่ได้เห็นข้า” สยงเทียนคุนที่เงียบมาตลอดพลันก้าวออกมา จับจ้องมารดาของเขาด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว
ฮูหยินสยงร้อนใจเพราะรักบุตรชายจึงไม่ได้สังเกตว่าบุตรชายที่มีนิสัยอ่อนแอตลอดมา ถึงกับกล้าพูดจาเช่นนี้กับนาง ส่วนศิษย์สำนักอวิ๋นซานด้านหลังนาง กลับพบสภาพอันน่าตื่นตะลึงนี้ อดมองหน้ากันอย่างประหลาดใจไม่ได้
มีเพียงจินเฟยเหยาที่รู้ว่าสยงเทียนคุนเคลื่อนไหวเช่นนี้มีความยากลำบากเพียงใด
สองขาที่สั่นเทา สองมือที่กำจนซีดขาว และน้ำเสียงสั่นสะท้าน ล้วนพิสูจน์ว่าเขากำลังพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจทำการต่อสู้อย่างดุเดือดในจิตใจอันอ่อนแอของตนเองเพื่อต้านทานแรงกดดันที่มารดามีต่อเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับสยงเทียนคุน ฮูหยินสยงเผยให้เห็นสายตาแห่งความรักและเมตตา นางยื่นมือออกมาและเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คุนเอ๋อร์ รีบมานี่ ระวังเลือดสกปรกจะกระเด็นใส่ร่างเจ้า ดูเจ้าสิ ผอมลงขนาดนี้”
สยงเทียนคุนยังคงไม่เคลื่อนไหว น้ำเสียงสงบนิ่งลงมาก มือและเท้าไม่สั่นอีก เขากำสองมือแน่นและคลายออกเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านแม่ ปล่อยนาง”
“คุนเอ๋อร์?” เผชิญหน้ากับบุตรชายที่แปลกไปเช่นนี้ ฮูหยินสยงดูเหมือนจะตกตะลึงอย่างมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี “นางกำลังหลอกเจ้านะ เจ้าไม่รู้ว่าจิตใจของคนภายนอกเลวร้ายมากเพียงใด หากไม่ฆ่านาง ต่อไปหากมีคนกล้ามายั่วยวนเจ้าอีกจะทำอย่างไร”
“ท่านอา ต่อให้มีคนยั่วยวนบุตรชายของท่าน ก็ต้องเป็นบุรุษแน่นอน” จินเฟยเหยาทนไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บ ยังต้องทนคนบ้าเอ่ยคำว่ายั่วยวนอย่างไม่จบไม่สิ้น
“บังอาจ” สตรีชุดเหลืองข้างกายฮูหยินสยง โยนแสงสีขาวในมือที่ทำร้ายจินเฟยเหยาบาดเจ็บเมื่อครู่เข้าใส่นางอีก
สยงเทียนคุนลงมือในชั่วพริบตา เห็นแสงสีขาวเหมือนดอกไม้เบื้องหน้าถูกเขาฟันด้วยกระบี่ มุกกลมเม็ดหนึ่งก็ถูกฟันจนกลายเป็นสองซีกร่วงลงที่เท้าของเขา
“มุกวิญญาณสวรรค์ของข้า!” สตรีร้องอุทานด้วยความปวดใจอย่างยิ่ง
เห็นสยงเทียนคุนกล้าต่อต้านคำพูดของตนเอง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคุ้มครองเด็กสาวคนนั้นมาตลอด ยังลงมือฟันอาวุธเวทของศิษย์น้องร่วมสำนักแตกอีก ฮูหยินสยงอดคิดบัญชีเรื่องทั้งหมดลงบนตัวจินเฟยเหยาไม่ได้
นางรู้สึกได้ถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดฆ่าฟันของฮูหยินสยงกวาดมองบนร่างของตนเองไม่หยุด จินเฟยเหยากลับนอนราบอยู่บนพื้น เงยหน้ามองท้องฟ้า คิดอย่างเงียบๆ “น่าจะใกล้มาถึงแล้ว ถ้ายังไม่มาข้าจะตายแล้วนะ”