ตอนที่ 10 ออกเดินทาง

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ถึงแม้เฉียนหมี่โซ่วจะมีอายุเพียงห้าขวบ การพูดจายังไม่ปะติดปะต่อกัน แต่ตอนนั้นเขากำลังกินข้าวต้มอยู่ในครัว และสามารถเล่าถึงเนื้อหาสำคัญได้อย่างชัดเจน 

 

 

เด็กน้อยกำลังรำพันกับท่านป้าเฉียนเพ่ยอิง ยิ่งเล่ายิ่งเศร้าโศกเสียใจ ตัดสินใจไม่กินข้าวต้มแล้ว วางชามลงก็พลางคิดในใจ ยังจะกินอะไรลงได้อีก แค่นี้ก็โศกเศร้าจะตายอยู่แล้ว 

 

 

ไม่นานเขาก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมาและร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว ให้ท่านป้ารีบหนีไป 

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบวิ่งมาที่ครัว แต่ที่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็คือ ภาพที่แม่ของนางนั่งคุกเข่าตรงหน้าเตาไฟ ไฟเกือบจะลามถึงตัว มือที่เปื้อนน้ำมันและแป้งกำลังสั่นเทา 

 

 

นางคิดว่า นางควรจะต้องปลอบใจท่านแม่  

 

 

แต่ทว่า 

 

 

“ท่านแม่?” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงรีบหันไปมองหน้าลูกสาว ตาจ้องเขม็งราวสิบวินาที จ้องเสร็จไม่ต้องให้ลูกสาวพยุง นางก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความกระฉับกระเฉง 

 

 

หลังจากลุกขึ้นมาก็อยากจะวิ่งไปข้างนอก 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงยื่นมือมาจับแขนซ่งฝูหลิง นางยกขาข้างหนึ่งถีบเก้าอี้ไม้ที่เกะกะขวางทางอยู่ข้างหน้า วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกน “โอ้ย ให้ตายเถอะเหล่าซ่ง! สถานการณ์ไม่ดีแล้ว เจ้าอยู่ที่ไหน รีบออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ พวกเราต้องรีบไปแล้ว!” 

 

 

ซ่งฝูหลิงดึงนางไว้ “ท่านแม่ ท่านอย่าตะโกนเลย ในจดหมายเขียนไว้ ท่านพ่อเพิ่งนำยามาให้ซื่อจ้วง เขากำลังเก็บข้าวของอยู่หลังเรือน” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงไม่รอให้บุตรสาวพูดจบก็รีบร้อนพูดแทรกขึ้นมาก่อน “เก็บของอะไรกัน ข้าเห็นว่าพ่อของเจ้าช่างซื่อบื้อนัก ไม่รู้ว่าอะไรคือเรื่องเร่งด่วน ยังจะไปซื้อยามาให้ซื่อจ้วง คนพวกนี้ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเราสักหน่อย พวกเราต้องรีบไปแล้ว รีบหน่อย!” 

 

 

ตอนท้ายคือพูดใส่ซ่งฝูหลิง นางรีบดึงบุตรสาวไปทางหลังเรือนเพื่อไปหาสามี 

 

 

ซ่งฝูหลิงออกแรงสะบัดแขนแต่ก็สะบัดไม่ออก ท่านแม่กระวนกระวายใจ ร้อนรนมาก ดูเหมือนว่าจะสงบสติอารมณ์ไม่อยู่ เธอจึงใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปที่จุดหู่โข่วตรงมือขวา เพื่อให้แม่หันไปมองเฉียนหมี่โซ่ว 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วยืนอยู่ตรงประตูครัว เมื่อเขาสบสายตากับท่านป้า เขาก็ร้องไห้ออกมา 

 

 

เขาเศร้าโศกเสียใจมาก รู้สึกว่าตนเองอายุเพียงห้าขวบ ร่างกายกลับต้องแบกรับภาระความเจ็บปวดที่ทนไม่ไหว 

 

 

ได้ยินการพูดคุยก็ได้แต่คิดว่า เสร็จแน่ ท่านป้าไม่ต้องการเขาแล้ว ท่านปู่กับท่านพ่อ ท่านแม่ก็ไม่มีแล้ว คนรับใช้ในบ้านก็ตายไปบ้าง หนีไปบ้าง เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงมองเด็กน้อยที่ร้องไห้ขยี้ตาอย่างหนัก กลืนน้ำลายที่ไม่มีในลำคอ 

 

 

เห็นเด็กร้องไห้เช่นนี้แล้วก็ไม่กล้าที่จะสบสายตาหมี่โซ่ว ทันใดนั้นนางก็ใช้กำปั้นตีเข้าที่อก “หัวใจของข้ารู้สึกไม่ดี ข้าจะออกไปผ่อนคลายก่อน สักพักจะกลับมา” 

 

 

ซ่งฝูหลิงหันไปมองแม่ที่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นางรู้ดีว่าหัวใจของท่านแม่ไม่มีปัญหา ก่อนตะโกนเตือนออกไป “ท่านพ่อของข้าใกล้กลับมาแล้ว หนิวจั่งกุ้ยก็ใกล้กลับมาแล้ว ถ้าเขากลับมา พวกเราก็ออกเดินทางได้ ท่านรีบกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เสื้อผ้าที่จะผลัดเปลี่ยนหลังอาบน้ำวางไว้บนเตียงของท่านแล้ว จำไว้ว่ากระโปรงสวมใส่ทับไว้ด้านนอก และหาเสื้อผ้าหนาๆ กับรองเท้าของท่านกับท่านพ่อไว้ด้วย ค่อยๆ หา อันไหนใช้ได้ก็เก็บใส่ไว้ ” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงวิ่งไปทางห้องพัก นางนำผ้าเช็ดหน้าออกมาโบกไปมา 

 

 

ซ่งฝูหลิงก็ไม่ได้ว่าง ไม่มีเวลามาปลอบเฉียนหมี่โซ่ว 

 

 

นางรีบเข้าไปในครัว เริ่มทยอยเก็บอาหาร และสำรวจตรวจสอบว่ามีของกักตุนไว้เท่าไร 

 

 

แค่มองก็ใจหาย ข้าวสารมีแค่ครึ่งถุง ส่วนพวกแป้งกลับมีเยอะมาก กว่ายี่สิบห้ากิโล แต่น้ำมันมีแค่หนึ่งโถ เป็นน้ำมันไช่จื่อ น้ำตาลเป็นน้ำตาลอ้อย ซึ่งมีจำนวนน้อย เกลือเหลือเพียงครึ่งโถ 

 

 

นางใช้เท้าเตะของที่กระจายอยู่ข้างเท้า เช่น ตะกร้าที่มีไข่ไก่อยู่ยี่สิบกว่าฟอง นางเรียกเด็กน้อยมาช่วย “นำของสิ่งนี้ย้ายไปที่ประตูใหญ่ ถือไปไม่ไหวก็ถือน้อยหน่อย วิ่งหลายรอบแทน อย่าทำแตกนะ” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วที่ช่วยย้ายของรอบแรกยังคงสะอึกสะอื้นไปด้วย พอวิ่งไปรอบสองรอบสาม ก็เริ่มเหงื่อออกและลืมที่จะร้องไห้แล้ว 

 

 

ส่วนซ่งฝูหลิงเตรียมดึงกระทะเหล็กขนาดใหญ่ใส่ไป กระทะใบนี้จำเป็นต้องนำไปด้วย มิเช่นนั้นระหว่างทางจะใช้อะไรเพื่อต้มดื่มต้มกิน 

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องการดื่มก็คิดได้ว่าต้องขนน้ำไปด้วย เห็นมีโอ่งใบใหญ่แต่สิ่งนี้ก็หนักเกินไป อาจทำให้รถลากเทียมล่อพลิกคว่ำได้ แต่ก็จำเป็นต้องนำน้ำไป ใช้ถังใส่ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเดินทางไปหาน้ำไป อย่างน้อยก็มีน้ำใช้ในการทำอาหารชั่วคราว 

 

 

ซ่งฝูหลิงยื่นกระบวยให้กับเฉียนหมี่โซ่ว “เจ้ายืนอยู่บนเก้าอี้แล้วตักน้ำใส่ถังนี้” 

 

 

“พี่สาว แป้ง” เฉียนหมี่โซ่วชี้ไปยังแป้งที่ก่อนหน้านั้นจะนำแป้งหมาฮวามาทอด ทำจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ทอด และชี้ไปยังข้าวต้มที่เฉียนเพ่ยอิงต้มให้เขาโดยเฉพาะ 

 

 

ตอนนี้สำหรับเฉียนหมี่โซ่ว แค่ได้เห็นอาหารเหลือทิ้งไว้ก็รับไม่ได้แล้ว เพราะตลอดการเดินทางเขาต้องประสบกับความหิวโหย ตอนนี้เพียงแค่คิดก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว 

 

 

มิน่าเล่า เด็กน้อยถึงมีสภาพเช่นนี้ ถึงตื่นตกใจ ฝังใจไม่ลืม 

 

 

ในเวลาสองวันสองคืน ก่อนหน้านั้นเงินของซื่อจ้วงถูกประชาชนที่หนีตายมาแย่งชิงไป ซื่อจ้วงต้องการหนีจากอาณาเขตเมืองหลวงให้เร็วที่สุด และต้องการปกป้องเฉียนหมี่โซ่วไม่ให้บาดเจ็บ จึงไม่ได้ต่อสู้ เมื่อมีคนมาแย่งข้าวของเงินทองก็เลยยกให้ไป 

 

 

หลังจากนั้นซื่อจ้วงก็อุ้มเฉียนหมี่โซ่วแล้วรีบออกเดินทาง หิวโหยตลอดทั้งวัน หลังจากนั้นคิดได้ว่าหากเดินเท้าเช่นนี้คงทำให้การเดินทางล่าช้า เกรงว่าจะส่งจดหมายไม่ทันการณ์ ยามค่ำคืนอันมืดมิดซื่อจ้วงได้พาเฉียนหมี่โซ่วไปแอบหลังพุ่มไม้ที่ไกลออกไป ส่วนเขาก็ออกไปปล้นสะดม ถึงได้รับบาดเจ็บ 

 

 

แต่ว่า หนึ่ง เขาไม่ได้ปล้นเงิน สอง เขาไม่ต้องการปลิดชีพใคร เขาทำเพียงเพื่อต้องการปล้นลาสามตัวที่ใช้ลากรถ 

 

 

ปล้นสะดมเสร็จ เขาก็ตีลาลากรถ มุ่งหนีไปด้านหน้า ระหว่างทางก็โยนสิ่งของของคนพวกนั้นที่วางไว้บนรถทิ้งไปตามทาง พวกนั้นจึงไม่ตามราวีไปจนถึงที่สุด และไม่ตามมาอีกแล้ว 

 

 

นี่อาจจะพูดได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดระหว่างกัน เฉียนหมี่โซ่วยังเล็ก เมื่อกล่าวถึงท่านปู่และท่านพ่อท่านแม่ที่เสียชีวิตอย่างไรก็เล่าไม่ได้ จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ซื่อจ้วงก็เป็นใบ้ ยิ่งพูดอธิบายอะไรไม่ได้ 

 

 

ซ่งฝูเซิงกับหนิวจั่งกุ้ยยังคิดว่ารถลากเทียมล่อนี้ซื้อมาเพื่อเร่งการเดินทางให้เร็วขึ้น เหมือนซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิง ถึงแม้จะทราบดีว่าการเดินทางหนีตายจะลำบากมาก แต่การมาจากประเทศที่สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อยดี ก็ไม่คิดว่าจะต้องไปปล้นรถมาแบบนี้ 

 

 

…… 

 

 

เมื่อคนในครอบครัวต่างร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน นำสิ่งของทั้งหมดเคลื่อนย้ายมาที่หน้าประตูใหญ่ เหล่าหนิวก็นำลาสามตัวลากรถไม้มาถึงตรงเวลา 

 

 

เหล่าหนิวเห็นซ่งฝูเซิงก็รายงาน “นายท่าน นี่คือเกลือสองกิโล ซื้อมาในราคาสูง หลังจากนั้นก็หาซื้อไม่ได้ วิ่งไปดูหลายร้าน แต่พูดจนปากจะแหกเท่าไรพวกเขาก็ไม่ขาย นอกจากนั้นยังซื้อถาดใส่ถ่านกับขาตั้งสามขา ส่วนถ่านซื้อมาได้แค่ครึ่งถุงเพราะเพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ในตลาดมีขายน้อย ส่วนมีดหั่นผัก คราด เถ้าแก่เนี้ยร้านเหล็กบอกว่าไม่มีแบบสำเร็จรูป เขาจึงไม่ได้ซื้อมา ท่านเก็บไว้ให้ดี นี่คือเงินที่เหลืออยู่ ข้าน้อยนำรายได้ทั้งหมดของโรงเตี๊ยมออกมาแล้ว เหลือเพียงเท่านี้” 

 

 

เหล่าหนิวเล่าไปรับผ้าปูที่นอนสองผืนจากเฉียนเพ่ยอิงที่ส่งมา เขานำไปยัดตามซอกมุมรถอย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังยื่นมือนำเงินมายัดให้ซ่งฝูเซิง 

 

 

หลังจากรายงานเสร็จก็ไม่รอซ่งฝูเซิงตอบกลับ เขาก็รีบโค้งตัววิ่งเข้าไปที่เรือน สักพักบนศีรษะของเขาก็มีขนไก่ติดอยู่หลายเส้น เขาปรากฏตัวออกมาพร้อมกับถือไก่มาสามตัว 

 

 

ที่เห็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะเขาออกไปหลังเรือนเพื่อจับไก่ไปเชือด 

 

 

เหล่าหนิวนำไก่มามัดไว้บนรถและเริ่มถือถังน้ำ กระสอบข้าว และของชิ้นใหญ่ที่ซ่งฝูหลิงแบกไม่ไหวมาใส่ 

 

 

ซ่งฝูเซิงกำถุงเงินเอาไว้แน่น เขามองร่างของเหล่าหนิวที่กำลังยุ่งอยู่  

 

 

นี่ไม่ใช่ว่าพูดจาเหลวไหลหรอกหรือ 

 

 

เมื่อสามวันก่อน เหล่าหนิวเพิ่งนำรายรับที่ได้จากร้านทั้งหมดมามอบให้แล้ว ยังจะมีเงินที่ไหนมาให้อีก 

 

 

เขาทราบดีว่านี่อาจเป็นเงินเก็บส่วนตัวก้อนสุดท้ายของเหล่าหนิว ที่มอบให้เขาทั้งหมด เป็นจำนวนยี่สิบสองตำลึง 

 

 

ซื่อจ้วงได้ยินก็รู้ว่าในกระเป๋าของตนเองไม่มีเงินที่จะยื่นให้ เขารู้สึกอับอาย รีบออกแรงใช้แขนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนำกระทะเหล็กขึ้นรถ หลักจากนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้อง ค้นหารอบหนึ่ง ก่อนจะแบกกระเป๋าหนังสือของซ่งฝูเซิงออกมา 

 

 

ในสายตาของเขา บัณฑิตให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ที่สุด หนังสือเป็นสิ่งของที่ล้ำค่า 

 

 

แต่ซ่งฝูเซิงดึงกระดาษออกมาเพียงแค่แผ่นเดียว เตรียมพร้อมใช้จุดเป็นเชื้อไฟ ส่วนที่เหลือก็โยนกลับไปที่ประตู 

 

 

เหล่าหนิวถึงกับตะลึงอย่างมาก สำหรับบัณฑิตแล้ว หนังสือคือชีวิต “นายท่าน หนังสือพวกนั้นของท่าน?” 

 

 

“หนักเกินไป เอามันไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์ ไปกันเถอะ” 

 

 

“ไป!”