รถลากเทียมล่อแล่นออกนอกเขตเมือง ซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิง ซ่งฝูหลิงหันหน้าไปมองเมืองนั้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พวกเขาเพิ่งเดินทางมายังไม่ถึงสิบสองชั่วโมงดีก็ต้องจากไปอีกแล้ว และยังเป็นแบบกระทันหันไม่ทันได้ตั้งตัว
ซ่งฝูเซิงตบบ่าเหล่าหนิวเพื่อสั่งการ “ไปทางถนนเส้นเล็ก อย่าไปทางถนนสายที่ผ่านสองตำบลนั้น”
เหล่าหนิวตวัดแส้ พร้อมกับเอ่ยชื่นชม “นายท่านเก่งมาก คิดได้รอบคอบ เมื่อสักครู่ข้าน้อยยังอยากจะพูดเช่นนี้เหมือนกัน”
ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ซ่งฝูหลิงคงจะหัวเราะออกมาว่า อยู่ดีๆ เขากลายเป็นคนฉลาดขนาดนี้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้นางหัวเราะไม่ออก
นางเอ่ยถามด้วยความกังวล “ท่านพ่อ พวกเราไปทางบ้านท่านย่า เดินทางจากด้านนั้นก็ขึ้นเหนือไปใช่ไหม พวกเราจะไปทางทิศเหนือหรือ?”
“ใช่ ทางใต้ประสบภัยแล้ง เราต้องไปทางทิศเหนือ…
…เมื่อถึงบ้านท่านย่าของเจ้า ข้ายังต้องรายงานให้ผู้คุมหมู่บ้านรับทราบ ให้คนในหมู่บ้านหลบหนีได้…
…เฮ้อ มันไม่ง่ายเลย ทุกคนต่างก็เป็นคนยากจน ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า คาดว่าคงไม่มีใครอยากให้ลูกหลานของตนเองต้องถูกจับตัวส่งไปตาย…
…พวกเราต้องรีบหาคนที่มีกำลังทำงานหลายคน ในบ้านมีแรงงานสัตว์ที่ใช้ในการทุ่นแรง ไม่เป็นภาระคอยดึงรั้งพวกเราไว้ และยังต้องมีจำนวนอาหารเหมือนกับพวกเรา ไม่แตกต่างกัน เพื่อออกเดินทางด้วยกัน หากพบเจอโจรป่าหรือคนเร่ร่อน พวกเราจะได้คอยดูแลกันและกันได้”
“ท่านพ่อ ประชาชนหนานเมี่ยนที่ประสบภัยคงเดินทางมาไม่ถึงเร็วขนาดนั้นหรอกนะ ข้าเดาว่า เมืองหลวงคงยังไม่แตก หากแตกหรือว่ามีประกาศเรียกเกณฑ์ทหาร อำเภอที่พวกเราอยู่คงจะมีคนจำนวนมากหนีออกมา หากไม่อยากถูกส่งไปตายก็คงต้องหนี…
…คาดว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็คงอยากจะหนีเหมือนกัน ไม่เหมือนพวกเราส่วนน้อยที่ได้รับข่าวก่อน…
…อืม หากเป็นเช่นนั้นสถานการณ์คงจะดีขึ้นหน่อย เพราะไม่ต้องผ่านเมืองหลวง ผู้ประสบภัยหนานเมี่ยนก็ผ่านมาไม่ได้ พวกเราคงหนีได้สะดวก ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกผู้ลี้ภัยดักปล้นสะดม”
ซ่งฝูเซิงหันมองบุตรสาว นางยังอายุน้อย
ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางไม่เคยที่จะอดอยากหิวโหย ทุกวันได้แต่คิดแค่ว่าจะกิน จะเที่ยว จะแต่งตัวอย่างไรดี และก็เรียนที่โรงเรียนมาตลอด นางยังไม่รู้ว่าบางทีจิตใจของคนก็โหดร้ายที่สุดได้
ซ่งฝูเซิงส่ายศีรษะ
“ข้าคิดว่าการประกาศเกณฑ์ทหารใกล้มาถึงแล้ว หรืออาจถึงแล้ว เพียงแต่ว่านายอำเภอเหล่าเหยียไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ถึงไม่ปิดประตูเมือง แต่ข้าคาดว่าคงใกล้จะปิดประตูเมืองแล้ว…
…หรือว่าเขาไม่อยากต่อสู้อยู่เคียงข้างกับท่านอ๋องฉี เขาจึงพาคนในครอบครัวหนีไปก่อน?…
…ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ช่างมัน ตัวเมืองหลวง อำเภอ หมู่บ้าน ต่างทราบว่าใกล้จะมีสงคราม…
…พูดถึงเรื่องนั้น คนส่วนใหญ่หนีไม่พ้นต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่หนีพ้น ถึงจะเป็นคนส่วนน้อย แต่ก็นับเป็นจำนวนคนที่มากอยู่…
…อะไรที่เรียกว่าผู้ลี้ภัย? ยิ่งหนียิ่งลำบาก ยิ่งเดินทางไป ยิ่งไม่มีอะไรจะกิน สุดท้ายก็กลายเป็นคนเร่ร่อนพเนจร…
…ปีนี้หนานเมี่ยนเกิดภัยแล้ง สถานที่ของพวกเราก็แล้งเช่นกัน ข้าไม่อยากจะอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆจึงย้ายออกไป ก็เพราะว่าสถานที่นี้อยู่ไม่ได้แล้ว…
…หลบหนีการเกณฑ์ทหารได้ แต่หนีพวกผู้ลี้ภัยจากหนานเมี่ยนที่อพยพเข้ามาไม่ได้ ถึงหนีจากพวกผู้ลี้ภัยได้ แต่ก็หนีจากการเรียกเก็บภาษีของท่านอ๋องอู๋ที่ยึดเมืองไม่ได้ นี่คือข้อความในจดหมายของท่านตาเจ้า…
…แท้จริงแล้ว บ้านท่านยายของเจ้าในปีนี้ผลผลิตไม่ดี ข้าวสารอาหารแห้งราคาขึ้นสูง เพียงพอแค่ได้กินข้าวต้มเท่านั้น…
…ถ้าหากต้องหนี แต่ละคนจะต้องมีอาหารเท่าไหร่? และสามารถพกไปได้เท่าไหร่ ไม่มีกินก็ต้องไปแย่งชิงปล้นเขา ฆ่าคนหนึ่งคน สองคน ก็ยังดีกว่าต้องอดตาย”
พูดจบ ซ่งฝูเซิงก็รู้สึกว่ามีแสงสว่างแวบอยู่ทางด้านหลัง เยื้องไปทางด้านข้าง พอหันกลับไปมองก็เห็นภรรยาของเขากำลังถือมีดหั่นผักอยู่ ทำให้เขาถึงกับตกใจ
“เจ้าทำอะไร?”
เฉียนเพ่ยอิงพึมพำ “ข้าจับมีดหั่นผักแล้วรู้สึกปลอดภัยดี”
“เจ้าจะทำตัวเองบาดเจ็บนะสิ นี่ไปไหนต่อไหน หลังจากนั้นถึง…”
เฉียนเพ่ยอิงรีบตัดบท ตะโกนออกมา “ปิดปากเจ้าเดี๋ยวนี้ อย่าวิเคราะห์เรื่อยเปื่อย เจ้ากับพ่อก็ห้ามพูดแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าจะหนีไปทำไม รอความตายอยู่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ ข้าคิดว่าไปไหนก็คงเหมือนกัน!”
ซื่อจ้วงกุมบาดแผลที่ได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ได้ฟังก็รีบหันไปดูสีหน้าของซ่งฝูเซิง
เขาไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงทำกิริยาเยี่ยงนี้กับผู้นำครอบครัว มิเช่นนั้นจะโดนฟ้องหย่า
เฉียนหมี่โซ่วขดตัวอยู่ตรงมุมรถ สายตาละห้อยมองท่านป้าที่ถือมีดหั่นผักตวัดไปมา ใจก็ร้อนร้น ขบคิด ท่านป้า ข้าเป็นเด็ก ท่านก็เป็นผู้หญิง หากท่านลุงโมโหไม่พาพวกเราไปด้วย พวกเราจะทำอย่างไร? เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไป ท่านต้องทำตัวดีกับท่านลุงหน่อยสิ
แต่เหตุการณ์เกินความคาดหมายของพวกเขา ซ่งฝูเซิงเพียงแค่ถอนหายใจ เขาตบไหล่เฉียนเพ่ยอิง มืออีกข้างจับมือที่กำไว้แน่น เพื่อเป็นการปลอบประโลม
แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าภรรยาเขากลายเป็นคนขี้กลัว ไม่เหมือนบุตรสาวที่ไม่เคยผ่านประสบการณชีวิตมาก่อน ที่จริงเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจ ถึงได้พูดคุยกับลูกสาวเพื่อคลายความกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก อย่ากังวลไป เจ้ายังมีข้านะ…
…ขอเพียงหลีกหนีการถูกเกณฑ์ทหารได้ เจอพวกผู้ลี้ภัยก็คงไม่เป็นไร พวกเขาไม่มีอาวุธ มีดหั่นผักของพวกเรายังมีเยอะกว่าพวกเขาเสียอีก…
…บนถนน หากใครกล้าแย่งของกินของพวกเรา ข้าจะตีหัว ผายลมใส่พวกเขา จะเอาพัดตีพวกเขาจนกระดูกหัก…
…ทีนี้เชื่อข้ารึยัง? ข้า เจ้าก็เข้าใจดี ข้าไม่เหมือนคนอื่น ทุกครั้งที่คนอื่นต่อสู้หลังจากผ่านไปแล้วจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ทำให้เต็มที่ ส่วนข้าจะออกแรงเต็มที่มากกว่าปกติ…
…ถ้าสู้ไม่ไหว อย่างน้อยก็มีพื้นฐานการวิ่งกับวิธีการถอยกลับ ยังไงก็ไม่มีปัญหา”
แม่และลูกต่างก็รู้ว่าซ่งฝูเซิงเริ่มจะคุยโวโอ้อวดแล้ว นี่ไม่ใช่การพูดปลอบโยนแต่อย่างใด
“ท่านแม่ วางมีดแล้วทำกับข้าวเถอะ ท่านดูแป้งตรงนั้นสิ อย่างน้อยก็ควรเอามาทอดหมาฮวาได้แล้ว กินให้อิ่มถึงจะมีเรี่ยวแรงต่อสู้กับคนอื่น”
“ใช่ ลูกพูดถูก เด็กน้อยยังไม่ได้กินข้าวสักคำ พวกเรายังต้องเดินทางอีกหลายชั่วโมง ใช้เวลาช่วงนี้ที่คนยังเดินทางน้อย จะผัดจะทอด จะทำอะไรก็ทำ กลิ่นหอมลอยออกไปก็ไม่มีใครมาแย่ง ทำของกินเยอะหน่อย เผื่อไว้ตุนเป็นเสบียง”
พูดจบ ซ่งฝูเซิงก็รื้อกระเป๋า นำหม้อไฟญี่ปุ่นออกมา
ของสิ่งนี้สะดวกมาก อยู่บนรถก็สามารถทำอาหารได้ ไม่ต้องหยุดเดินทางเพื่อก่อไฟ
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกภูมิใจที่บุตรสาวเป็นคนใช้เงินเก่งตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน วันนี้เที่ยวป่า พรุ่งนี้ปิ้งย่าง เพราะแบบนี้ที่บ้านถึงมีหม้อไฟกับแอลกอฮอล์อัดเม็ดหนึ่งลังที่เพิ่งใช้ไปไม่กี่อัน ตอนนี้ยังเหลืออยู่สี่สิบกว่าอัน
นอกจากนี้ ยังโชคดีที่พวกเขาสามคนเคยไปรัสเซียเพื่อดูการแข่งขันฟุตบอลโลก ตอนนั้นบุตรสาวซื้อกล้องส่องทางไกลแบบที่ทหารใช้กับไฟฉาย จากร้านออนไลน์บนเว็บไซต์แห่งหนึ่ง มันสามารถนำมาใช้ได้ในยุคโบราณด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งฝูเซิงก็หันไปมองซ่งฝูหลิง รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ บุตรสาวต้องมาตกระกำลำบาก ต่อไปยังต้องลำบากมากกว่านี้อีก
เขากัดฟันบอกให้ทุกคนรับทราบ
“นำไก่ไปตุ๋นเสีย แป้งกลายเป็นแบบนี้แล้ว รีบเพิ่มแป้งขาวเข้าไป เรื่องทอดหมาฮวา ข้าจะเป็นคนทอดเอง ของกินพวกนี้สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน…
…ซื่อจ้วง เจ้าช่วยข้านำกระทะเหล็กวางไว้ข้างบน จำไว้ว่าถาดใส่ถ่านจะต้องวางตะแกรงก่อนแล้วค่อยวางกระทะทับอีกที พวกเราใช้กระทะสองใบหุงข้าว อย่าไปเสียดายถ่าน ใช้ชีวิตแต่ละวันให้ผ่านไปก่อน…
หมี่โซ่วจัดเก็บของ เขาช่วยท่านลุงทำพื้นที่ว่าง
ซ่งฝูหลิงเห็นพ่อของนางที่ดูเหมือนกำลังจะนำวัตถุดิบทั้งหมดออกมาทำอาหาร นางตกใจร้อง “ท่านพ่อ ไม่ได้นะ ไก่นี่ให้ท่านแม่ของข้าดองไว้ มันสามารถเก็บไว้กินได้หลายวัน ท่านนำอาหารกับน้ำมันไปใช้จนหมดแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นยังมีคนในครอบครัวบ้านท่านย่าอีก ถ้าไม่พอกินจะทำอย่างไร?”
“ไม่พอกินพวกเราค่อยคิดหาวิธี หิวก็ต้องหิวด้วยกัน…
…ย่าของเจ้า ข้าเข้าใจนางมากกว่าเจ้า เมื่อถึงบ้านของนาง เจ้าอยากจะกินอะไรที่ใช้น้ำมันปรุงก็คงเป็นไปไม่ได้…
…ย่าของเจ้ายอมที่จะกักตุนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายเมื่อเริ่มทำอาหาร อาหารคนอื่นหมดไปก่อนแล้ว แต่นางมีเหลือ เสร็จแน่ๆ ถูกคนอื่นแย่งอีก นางก็เป็นคนเช่นนั้นแหละ”
ซ่งฝูเซิงแกะมือบุตรสาวที่ดึงถุงแป้งออก “พวกเราควรกินให้อิ่มในแต่ละวัน พ่อจะไปทอดหมาฮวาให้เจ้า ให้แม่เจ้าต้มไข่พะโล้ เจ้าก็เก็บเอาไว้กับตัว สะพายหลังไว้ ใครขอก็ไม่ต้องให้” เห็นเฉียนหมี่โซ่วจ้องมองมาที่เขา ก็เลยพูดเสริมมาหนึ่งประโยค “แบ่งไว้ส่วนหนึ่งให้กับหมี่โซ่วด้วย”