ตอนที่ 12 ยังไม่คุ้นเคยกับสถานะใหม่

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

เฉียนเพ่ยอิงได้ฟังสามีพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกหนักใจ 

 

 

ตอนนางอยู่ในยุคปัจจุบัน นางคอยดูแลแม่สามีจนตายจากไป ก็คิดว่าหมดหน้าที่แล้ว ตอนนี้ทะลุมิติมาในยุคโบราณ ยังต้องมาคอยดูแลต่ออีก คงต้องกลับมาใส่จิ่นกูโจ้วอีกแล้วหรือ? 

 

 

ไม่สามารถมาพิจารณาอย่างช้าๆ ได้ แม่สามีในยุคโบราณจะเป็นอย่างไรกันนะ 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงมองถุงข้าวสารสักพัก แววตาเป็นประกาย 

 

 

ก่อนหน้านั้น นางยังคิดว่าบุตรสาวพูดมีเหตุผล สิ่งไหนประหยัดได้ก็ควรประหยัด เกือบจะระงับอารมณ์โมโหไม่อยู่ อยากจะตะโกนใส่หน้าสามี 

 

 

แต่ตอนนี้จะประหยัดไปเพื่อใครกัน ใครจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น นี่ไง พวกเขาสามคนทะลุมิติมาครบสิบสองชั่วโมงแล้ว นี่เป็นตัวอย่าง ไม่แน่อาจจะทะลุมิติกลับไปก็ได้ 

 

 

แน่นอนและก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด รอให้ถึงบ้านเกิด หากเป็นดังที่สามีกล่าวไว้ คนสิบกว่าคน เกือบยี่สิบคน ต้องอพยพหนีภัยด้วยกัน หากต้องการประหยัดอาหาร เดาได้ว่าตลอดการเดินทาง การกินจะแย่ขนาดไหน 

 

 

จากที่ได้ฟังมา แม่สามีของยุคโบราณนี้ดูท่าจะร้ายกาจ เมื่อพบหน้าคงต้องนำอาหารมามอบให้นาง โดยแม่สามีจะเป็นคนแบ่งให้ทุกคนเองว่าได้กินมื้อละเท่าไร 

 

 

ไม่ได้นะ ทำไมจะต้องให้นางเป็นคนจัดการ 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงไม่อยากให้ ถ้าตอนนั้นต้องการประหยัดอาหาร แต่ก็ต้องแบ่งให้ทุกคนได้กิน สู้เก็บไว้กินเองไม่ดีกว่าหรือ อาศัยช่วงจังหวะที่ไม่มีใครควบคุม ทำมากหน่อย ให้สามีและบุตรสาวทาน อย่างน้อยในกระเพาะก็ยังมีน้ำมัน ยังสามารถยืดเวลาอิ่มท้องออกไปได้ 

 

 

อาจจะพูดไม่น่าฟัง แต่นางไม่มีความทรงจำใดๆ จึงยิ่งไม่มีความรู้สึกอะไรกับคนพวกนั้น คนพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับนางเล่า 

 

 

หากไม่ใช่เหล่าซ่งบอกไว้ว่า ในยุคอดีตคนเดินทางพร้อมกันเยอะๆ จะปลอดภัย นางคงโน้มน้าวให้หนีไปแล้ว จะย้อนกลับไปหาพวกเขาทำไมกัน 

 

 

อย่าบอกว่านางใช้ร่างของคนอื่นแล้วควรทำตามหน้าที่ แต่ใครอยากจะทะลุมิติมาในอดีตกันล่ะ เป็นอะไรที่โชคร้ายมาก 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงคิดได้ดังนั้นก็พูดออกมา “ถ้าเช่นนั้นจะเพิ่มแป้งขาวไปทำไมกัน ทำทั้งหมดนั่นแหละ” 

 

 

ซ่งฝูเซิงกำลังเทแป้งอยู่ถึงกับมือสั่น เมื่อเจอภรรยาเผด็จการ “ทำทั้งหมด?” 

 

 

เขามองเฉียนเพ่ยอิงอย่างสงสัย รู้สึกว่าภรรยากำลังกลับคำ 

 

 

เป็นที่รู้กันว่า ภรรยาน่าจะรู้จักการใช้ชีวิตมากกว่าใคร แต่ทำไมถึงพูดจาออกมาดูไม่น่าเชื่อถือมากกว่าเขานะ 

 

 

ก่อนหน้า อย่ามองแค่ว่าเขาคอยปลอบโยนบุตรสาว นั่นเป็นเพราะเขาสงสารลูก เป็นการโน้มน้าวให้ลูกได้กินอาหารมื้อสุดท้ายดีๆ ก่อนจะเดินทางลี้ภัย 

 

 

แต่แท้จริงแล้ว หากระหว่างเดินทางไม่มีอะไรจะกินและดื่ม ทุกคนคงได้แต่จ้องหน้ากันไปมา อย่ามองว่าพื้นที่พิเศษมีอาหารแห้งของยุคปัจจุบันอยู่ เพราะไม่รู้ว่ามันจะสามารถนำออกมาใช้ได้ทันทีไหม? 

 

 

หากเขานำสิ่งของออกมาต่อหน้าคนอื่น ก็จะโดนจับได้ เรื่องนี้ต้องไม่ให้คนอื่นล่วงรู้ความลับ ไม่เช่นนั้นก่อนหน้าเขาจะต้องยุ่งวุ่นวายไปทำไมกัน แค่อยากใช้อะไรก็นำมันออกมาได้แล้วสิ 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงถอนหายใจ มองหน้าบุตรสาวก่อนจะหันไปพูดกับสามี 

 

 

“พวกเราทำหมาฮวา ทำฉีจื่อไคว่ เจ้าย่างเผื่อไว้เยอะหน่อย เจ้าย่างเก่ง แล้วค่อยผัดโหยวฉาเมี่ยน … 

 

 

…ของกินพวกนี้พกพาสะดวกและไม่เปลืองเนื้อที่ และไม่ทำให้หิวง่าย ยังสามารถทิ้งไว้ได้นาน นำแป้งขาวมาใช้ทั้งหมดก็สามารถเก็บได้นาน… 

 

 

…รอถึงบ้านเกิด หากท่านย่าของหลานสาวให้ทุกคนดื่มแต่ข้าวต้ม พวกเราก็ไม่ต้องทำอะไรพิเศษ ไม่ต้องทำให้แตกต่างจากคนอื่น… 

 

 

…และหากตอนนั้นเจ้ากับลูกยังไม่อิ่ม ก็แอบนำของกินพวกนี้ออกมากินได้อีก” 

 

 

พูดจบก็นึกได้ว่ายังมีเฉียนหมี่โซ่ว 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงลูบผมบนศีรษะของเฉียนหมี่โซ่ว ตั้งแต่ทะลุมิติมาถึงที่นี่ตอนนี้ นางจะใจแข็งกับใครก็ได้ยกเว้นกับเด็กน้อยคนนี้ 

 

 

ไม่ว่าจะย้อนเวลาไปอดีตหรือปัจจุบัน นางก็ยังคงมีแซ่เฉียน ท่านพ่อก็ทำดีกับนาง นางต้องดูแลทายาทคนสุดท้ายคนนี้ของสกุลเฉียนให้ดี 

 

 

แม้ว่านางจะได้อยู่ที่นี่แค่หนึ่งวัน ก็จะดูแลเด็กน้อยคนนี้ในหนึ่งวันนี้ให้ดี เฉียนเพ่ยอิงคิดเช่นนั้นเพราะนางยังคงอยากจะกลับไปยุคปัจจุบัน 

 

 

“พวกเราเป็นผู้ใหญ่ จะทรมานยังไงก็ได้ แต่ข้าไม่อยากให้หมี่โซ่วกับลูกสาวกินข้าวต้มพวกนั้น พยายามทำของที่กินอิ่มและรสชาติอร่อยไว้ด้วย” 

 

 

ซ่งฝูเซิงหันไปมองภรรยาด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นอย่าเสียเวลาคุยกันเลย มาเริ่มลงมือกันเถอะ” 

 

 

“มา” 

 

 

สองคนรีบลงมือทำ และไม่ใช้น้ำฟุ่มเฟือยในการล้างมือ ถังน้ำที่อยู่บนรถจะได้เก็บไว้ใช้ทำอาหาร 

 

 

ผ่านไปไม่นาน ภายในรถลากเทียมล่อก็ร้อนเหมือนอยู่ในหม้อนึ่ง บนเตาถ่านวางกระทะใบใหญ่ เตาไฟตั้งหม้อญี่ปุ่นไว้ ทั้งสองเตาต่างก็มีไฟลุกโชนอยู่เหมือนกัน 

 

 

ถ้ารวมข้าวสารอาหารแห้งของเหล่าหนิว ก็จะมีผงแป้งอยู่สี่สิบกว่ากิโลกรัม ซ่งฝูเซิงวางแผนใช้ผงแป้งสิบห้ากิโลกรัมในการทอดหมาฮวา และคำนวณจำนวนส่วนประกอบที่ต้องใช้ภายในใจ ตัวแป้งทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถทอดได้ประมาณห้าร้อยกว่าอัน ต้องใช้น้ำมันประมาณสามลิตร 

 

 

ดูน้ำมันห้าลิตรที่เอามาจากพื้นที่พิเศษ และน้ำมันไช่จื่อที่อยู่ในยุคอดีตอันน้อยนิด ประมาณห้าร้อยกว่ากรัม เขาวางแผนจะใช้น้ำมันในถังก่อน เมื่อใช้น้ำมันจนหมดก็สามารถนำถังเปล่ามาใส่น้ำ ซึ่งใช้ได้ดีกว่าถังไม้ใหญ่ เพราะถังไม้ใส่น้ำได้ไม่มากเท่าไรและยังหนักอีกด้วย 

 

 

อีกด้านหนึ่ง เฉียนเพ่ยอิงกำลังยุ่งวุ่นวายมากกว่าซ่งฝูเซิง นางไม่เพียงทำแป้งฉีจื่อไคว่ ยังต้องผัดโหยวฉาเมี่ยนสิบห้ากิโล แต่ในสายตาของนาง ยอมที่จะทำหมาฮวาน้อยกว่า แต่ผัดโหยวฉาเมี่ยนเพิ่มมากหน่อย 

 

 

ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง หมาฮวาอย่างมากก็สามารถเก็บไว้ได้แค่เดือนกว่าๆ นางยังต้องใช้เวลาลงรถเพื่อเข้าห้องน้ำ ต้องคอยเตือนสามี ให้สามีหาโอกาสนำถุงของกินเล่นของบุตรสาวออกมาจากพื้นที่พิเศษ มาเปิดเอาซองสารกันชื้นอันเล็กๆ เพื่อมาใส่ไว้กับหมาฮวา ป้องกันความชื้นไม่ให้มันขึ้นรา 

 

 

แต่โหยวฉาเมี่ยนนี้ไม่เหมือนกัน มีประโยชน์มาก อันดับแรกไม่เปลืองน้ำมัน ผงแป้งครึ่งกิโลกรัมใช้น้ำมันเพียงสามสิบกรัม นางผัดไว้สิบห้ากิโล ใช้ไปไม่ถึงหนึ่งกิโล และอีกหนึ่งอย่างที่สะดวก ไม่ต้องใช้ไฟ ใช้น้ำต้มชงแค่หนึ่งชามก็สามารถกินอิ่มได้ 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงชี้สั่งซื่อจ้วง “ไปค้นหาห่อกระดาษที่ห่อน้ำตาลในสัมภาระเดินทาง และค้นหาถุงที่ใส่งาไว้” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วร้อนใจ “ท่านป้า ท่านจะใส่ในฉาเมี่ยน?” 

 

 

“อ๊าห์ เจ้ายังรู้” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วใช้สมองอันห้าขวบของเขานับนิ้วมือคำนวณ “ท่านป้า น้ำตาลล้ำค่ามาก เมื่อหิวก็สามารถผสมน้ำดื่มได้ อาหารมื้อนี้ที่ท่านผัดฉาเมี่ยนก็ไม่ต้องใส่น้ำตาล ถือเป็นหนึ่งมื้อ ส่วนงา เมื่อหิวก็สามารถกินได้หลายคำ นับเป็นอีกมื้อหนึ่ง” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงเอ่ยปนหัวเราะ “ดูเจ้าสิ พูดเสียน่าสงสารเช่นนี้ ไปๆ อย่ามาอยู่หน้าเตาไฟ เดี๋ยวก็ร้อนหรอก ไปพักผ่อนกับพี่สาวของเจ้าเถอะ” 

 

 

เมื่อพูดถึงบุตรสาว เฉียนเพ่ยอิงก็นึกขึ้นได้ทันที นางเงียบไม่ส่งเสียงมาสักพักแล้ว มิน่านางถึงรู้สึกว่าขาดอะไรไป นางจึงหันหน้าไปดู 

 

 

เพียงเห็นซ่งฝูหลิงใช้ชายผ้าเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก และกำลังก้มหน้าง่วนเย็บปลอกผ้าห่ม 

 

 

“เจ้าเย็บอะไร” 

 

 

ซ่งฝูเซิงก็กล่าวขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “เจ้าเย็บเป็น? เดี๋ยวเข็มก็ตำมือ” 

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบจ้องเขม็งไปที่ท่านพ่อท่านแม่ของนาง หญิงสาวยุคโบราณที่ไหนกันที่จะเย็บผ้าไม่เป็น เหล่าหนิวกับซื่อจ้วงได้ยินก็รู้สึกงุนงง คุณหนู แต่เดิมก็เย็บปักถักร้อยเป็นนะ 

 

 

ก็ท่านพ่อท่านแม่มีไอคิวแค่นี้ไง นี่แค่ย้อนเวลามายุคอดีตนะ หากย้อนไปยุคสงคราม ทั้งคู่คงเป็นได้เพียงแค่ตัวประกอบไปแล้ว 

 

 

ซ่งฝูหลิงไม่พูดจา นางนำสิ่งของที่อยู่ในมือยื่นออกไปให้พวกเขาดู 

 

 

นางกำลังยุ่งกับการนำแผ่นกันความชื้นยัดใส่ปลอกผ้าฝ้ายโบราณ มิเช่นนั้นแผ่นกันชื้นจะดูสะดุดตา 

 

 

นางเคยมีประสบการณ์ด้วยตนเองมาแล้ว ในยุคปัจจุบัน เมื่อนางไปดูคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ด้านนอกฝนตกอากาศเย็น นางจึงนำแผ่นกันชื้นมาคลุมตัว คนอื่นต่างมองมาที่นาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยุคนี้เลย เป็นแผ่นอลูมิเนียมมันวาว ถึงตอนนั้นหากมีคนถามก็จะตอบไม่ถูก 

 

 

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งฝูหลิงก็ส่งสายตาให้พ่อของนางดูกระเป๋าอาดิดาส ความหมายคือ กระเป๋าเป้มีกล้องส่องทางไกล ท่านต้องหาวิธีพูดหลอกล่อพวกเหล่าหนิวไปก่อน ทำให้พวกเขาเป็นพยานของพวกเรา แสดงถึงความเป็นมาของสิ่งของประหลาดพวกนี้ คนของบ้านนั้นจะได้เชื่อเราง่ายขึ้น