เล่ม 1 ตอนที่ 11 เจ้าไม่ใช่เยว่เอ๋อร์

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

“นังแพศยา! นังสารเลว!”

ฉู่เซียนหมิ่นพรวดพราดกลับเข้ามาในห้องด้วยความโมโห ในหัวยังคงย้อนกลับไปคิดถึงประโยคนั้นของฉู่หลิวเยว่ซึ่งวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางทำได้เพียงเจ็บแค้นเท่านั้น

ยังมีหน้ามาพูดถึงเรื่องพิธีอภิเษกอีกหรือ นี่มันจงใจชัดๆ!

เมื่อนึกถึงสีหน้าสงบนิ่งของฉู่หลิวเยว่แล้ว ฉู่เซียนหมิ่นก็รู้สึกโกรธแค้นราวกับไปสุมทรวง!

ปัง!

นางปิดประตูอย่างแรง!

“นี่ลูกทำอะไรน่ะ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังมาจากในห้อง ฉู่เซียนหมิ่นจึงหันขวับไปมอง หลังจากเห็นสตรีนางนั้นชัดเจน นางจึงรีบโผเข้าหาด้วยความเสียใจ

“ท่านแม่! คราวนี้ท่านต้องช่วยหมินหมิ่นนะเจ้าคะ! ลูกเกือบโดนนังสารเลวนั่นกลั่นแกล้งจนแทบตายอยู่แล้ว!”

สตรีผู้นี้คือลู่เหยา ซึ่งเป็นมารดาของฉู่เซียนหมิ่น

นางเป็นคนที่ดูแลตนเองดีมาก แม้จะมีอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ก็ยังดูสวยอ่อนเยาว์ และกิริยามารยาทก็ยังดูงดงามอ่อนช้อยอีกด้วย

ปกติลู่เหยารักบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางมาก แต่คราวนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉู่เซียนหมิ่นที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้ากลับไม่ได้สงสารเห็นใจผู้เป็นบุตรสาวเลยสักนิด แต่กลับแสดงสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

“แม่ไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องราวมากมายเพียงนี้ ลูกทำให้แม่รู้สึกผิดหวังจริงๆ ฉู่เซียนหมิ่นนั่นก็เป็นได้แค่คนไร้ค่าไร้ประโยชน์ มันจะมีปัญญาใดกัน แต่ลูกกลับถูกมันรังแกจนน่าอับอายเช่นนี้ได้”

น้อยครั้งที่ฉู่เซียนหมิ่นจะเห็นท่าทางเคร่งขรึมของผู้เป็นมารดา นางจึงต้องยืนตรงยืดอก ทั้งๆ ที่ในใจกลับรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก

“ท่านแม่ ท่านไม่รู้อะไร ช่วงนี้นังฉู่หลิวเยว่นั่นเปลี่ยนไปราวกับคนละคน พฤติกรรมก็แปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะลูกเอาชนะมันไม่ได้ แต่มันร้ายกาจเจ้าเล่ห์เกินไปต่างหาก!”

เมื่อฉู่เซียนหมิ่นนึกถึงเรื่องไม่กี่วันมานี้ที่นางเสียเปรียบฉู่หลิวเยว่ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธแค้น

“นางทำให้ลูกเสียเงินสูญเปล่าไปตั้งสองแสนตำลึงไม่ว่า แต่วันนี้นางยังเริ่มเอาสัญญาอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาทมาข่มลูกอีก!”

ลู่เหยาขมวดคิ้วและเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้าง

“พูดถึงเรื่องนี้ แม่ยังไม่ทันได้ถามลูกเลย ตกลงเรื่องเงินสองแสนตำลึงนั่นเป็นมายังไงกันแน่ ต่อให้ตระกูลลู่จะมีเงินมีทอง แต่แม่ไม่ใช่คนของตระกูลลู่ตั้งนานแล้ว แล้วจะไปขอเงินมากเพียงนี้ให้ทันการณ์ได้อย่างไร”

ฉู่เซียนหมิ่นรู้สึกผิดเล็กน้อย คราวนี้นางจึงอธิบายเรื่องนี้ให้ผู้เป็นมารดาฟัง นางลอบมองสีหน้าของลู่เหยาที่ยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ นางจึงกลิ้งนัยน์ตาล่อกแล่กแล้วรีบออดอ้อนทันที

“ท่านแม่ พวกท่านปู่ท่านตาก็ชอบลูกมากมิใช่หรือ คงไม่คิดที่จะไม่ช่วยลูกหรอกกระมังเจ้าคะ”

“แต่นี่มันมากเกินไปแล้ว!”

ลู่เหยาสะบัดหน้าหนีและรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง

แม้นางจะเป็นคนในตระกูลลู่ แต่เป็นบุตรสาวของอนุภรรยาที่มีตำแหน่งไม่สูง ยิ่งแต่งเข้าตระกูลฉู่ความสำคัญของนางจึงค่อยๆ เงียบเหงาซบเซา

หลายปีมานี้ โชคดีที่ฉู่เซียนหมิ่นมีความเพียบพร้อม พวกนางสองแม่ลูกจึงสามารถลืมตาอ้าปากในตระกูลลู่ได้

หากจะเอาเงินทีเดียวสองแสนตำลึง…คงจะถูกคนในตระกูลลู่มองเป็นตัวตลกแน่

เมื่อสายตาของลู่เหยาเห็นบุตรสาวตนเองทำหน้าตาบูดบึ้ง จึงยื่นนิ้วจิ้มศีรษะของนาง

“ลูกนี่น้า! ไม่ใคร่ครวญสักนิดเลยว่าคนอื่นเขาเอาอะไรมาชอบลูก หากไม่ใช่เพราะลูกมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม หากไม่ใช่เพราะองค์ชายรัชทายาทพอพระทัยในตัวเจ้า มิฉะนั้น ใครเขาจะเห็นเจ้าอยู่ในสายตารึ แม่ถามลูกหน่อย เดือนหน้าลูกสามารถขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของสำนักหรือไม่”

ฉู่เซียนหมิ่นคัดค้าน “แน่นอนเจ้าค่ะ!”

พรสวรรค์ของนางถือว่าสูงที่สุดในแคว้นเย่าเฉินแล้ว!

“แต่ปัญหาตอนนี้คือสัญญาอภิเษกระหว่างองค์ชายรัชทายาทกับนังคนไร้ค่านั่นต่างหากล่ะเจ้าคะ”

ลู่เหยากลับไม่เห็นด้วย และยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เจ้าเด็กโง่ ลูกกังวลอะไรอีก คนที่ไม่อยากแต่งงานมากที่สุดไม่ใช่ลูก แต่เป็น…องค์ชายรัชทายาทต่างหากล่ะ! ช่วงนี้ปล่อยให้มันได้ใจกระโดดโลดเต้นไปก่อนเถิด พอถึงเวลาเมื่อใด เราก็จะได้สมน้ำหน้ามันเอง!”

เมื่อฉู่หลิวเยว่อ้างถึงสัญญาแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาท ก็สั่นสะเทือนทุกคนได้จริงดังคาด แล้วยังสามารถอุดปากผู้อาวุโสได้สำเร็จ ให้คนที่อยากสมน้ำหน้านางได้ผิดหวังกันถ้วนหน้า

ทั้งด้านนอกและด้านในเรือนกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ในที่สุดนางจึงได้นำยาสมุนไพรพวกนั้นไปวางไว้ในห้องสักที จากนั้นหากระทะสีดำใบใหญ่มาหนึ่งใบเพื่อเริ่มทำการต้มยา

หากนางมีพลังดั้งเดิม นางคงไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้ มิฉะนั้นนางคงใช้พลังดั้งเดิมกลายร่างเป็นเปลวไฟเพื่อปรุงยาไปแล้ว

น่าเสียดายที่ตอนนี้มีเงื่อนไขจำกัด นางจึงทำได้เพียงใช้วิธีโบราณดั้งเดิมที่สุดเท่านั้น

แม้ว่าการใช้วิธีนี้จะทำให้เกิดการเสื่อมประสิทธิภาพของตัวยา แต่นางสั่งจองจำนวนสิบครั้งเต็มๆ ที่เจินเป่าเก๋อ หากนับดูแล้วก็มิต่างอะไรกันมาก

หลังจากที่น้ำเดือด นางก็ใส่ยาลงไปทีละตัว

ในไม่ช้ากลิ่นหอมของยาสมุนไพรสดๆ ก็อบอวลไปทั่ว

เพราะสรรพคุณของยาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ดังนั้นระยะเวลาในการเคี่ยวกรำจึงแตกต่างไปด้วย

นางตั้งใจจับเวลา ขณะที่ดึงตัวยาที่ได้รับการปรุงออกมาอย่างระมัดระวัง นางก็ค่อยๆ เติมตัวยาที่เหลืออยู่ลงไปทีละน้อย

ดังนั้นสีของน้ำยาที่ต้มออกมาจึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

และกลิ่นหอมของยาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าอากาศอบอุ่นเจือจางแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย และรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเลยทีเดียว

“ดูแล้วก็ไม่เลวเลยนี่นา”

นางพึมพำเบาๆ

ในฐานะที่เป็นถึงองค์หญิงชะตาลิขิตแห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง ทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สามารถฝึกฝนเป็นหมอเทวดาได้ อดีตชาติของฉู่หลิวเยว่อ่านตำราแพทย์ทุกเล่มเท่าที่จะสามารถอ่านได้มาหมดแล้ว

ขอเพียงแค่มีตัวยาครบถ้วนเพียงพอ สำหรับนางแล้วการฟื้นฟูชีพจรแต่กำเนิดก็นับว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร

“เยว่เอ๋อร์!”

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของฉู่หนิงตะโกนดังมาจากข้างนอก

ฉู่หลิวเยว่เดินไปเปิดประตูด้วยความประหลาดใจ แล้วก็เป็นฉู่หนิงที่กำลังเดินมาทางนี้อย่างรวดเร็วจริงดั่งคาด

ด้วยความที่เขารีบมากเกินไป จึงลืมอาการบาดเจ็บที่ขาของตนเอง เดินเข้ามาอย่างกะเผลกโซเซจนเห็นได้ชัด

“ท่านพ่อ ทำไมวันนี้ถึงได้กลับมาเร็วนักล่ะเจ้าคะ”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

ตั้งแต่ฉู่หนิงได้รับบาดเจ็บก็ถูกส่งตัวให้ไปดูแลกิจการแห่งหนึ่งของตระกูลฉู่ เขาจึงมักออกไปตั้งแต่เช้าและกลับมาในช่วงดึก

“เยว่เอ๋อร์! ลูก…ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่ชะงัก

สงสัยฉู่หนิงคงจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วล่ะ มิฉะนั้นคงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้เด็ดขาด

นางส่งรอยยิ้มสดใส

“ท่านพ่อ ท่านเป็นห่วงเยว่เอ๋อร์มากเกินไปแล้ว แค่ครึ่งวันจะเกิดอันใดขึ้นได้ล่ะเจ้าคะ ท่านรีบเข้ามานั่งพักก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”

นางพูดพลางเข้าไปประคองผู้เป็นบิดา

แต่ฉู่หนิงกลับกุมมือของนางเอาไว้ แล้วจ้องมองใบหน้านางโดยไม่มีสิ่งใดจะเอื้อนเอ่ย

ก่อนหน้านี้เขากำลังยุ่งอยู่ที่ร้าน แล้วได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฉู่หลิวเยว่ เขาจึงลางานแล้วรีบกลับมาโดยเร็วที่สุด

ยามที่เขาเข้ามาในเรือนเมื่อครู่นี้ ก็เห็นรอยเลือดสะดุดตากลางบ้านทันที!

เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเขาจึงเบาใจลงมาบ้าง แต่กลับเกิดความเงียบขึ้นในใจของฉู่หนิง จากนั้นเขาก็เผลอกำข้อมือของฉู่หลิวเยว่แน่นโดยไม่รู้ตัว

“เยว่เอ๋อร์ ลูก ลูกฟันแขนของฉู่เหลียนเซิงจนขาดจริงๆ หรือ”

ฉู่หลิวเยว่สีหน้าสงบนิ่ง แล้วพยักหน้าให้เงียบๆ

“เจ้าค่ะ เขาจะแย่งของของข้า ข้าไม่ยอมให้ใครมารังแกเด็ดขาด ตัดแขนเขาขาดไปหนึ่งข้าง ก็แค่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น”

ฉู่หนิงเงียบไปนานกว่าจะควานหาเสียงของตนเองเจอ

“เขา เขาคือคนของฉู่เหลียนหมิ่นนะลูก…ลูกทำเยี่ยงนี้ ถือว่าประกาศเป็นศัตรูของนางมิใช่หรือ นางคง…”

แต่ว่านางก็ไม่ใช่คนใจดีอะไรนักนี่นา!

ฉู่หลิวเยว่ถูกเขากำข้อมือแน่นจนรู้สึกเจ็บ นางจึงตบมือเขาเบาๆ เพื่อปลอบโยน

“ท่านพ่อ ท่านพ่อจะคิดมากไปทำไมเจ้าคะ หากข้าไม่ทำเช่นนี้ นางจะมองข้าเป็นพี่สาวของนางจากใจจริงอย่างนั้นหรือ”

ฉู่หนิงพูดไม่ออก

จริงด้วย เพราะสัญญาแต่งงานกับรัชทายาท เกรงว่าคนที่ฉู่เซียนหมิ่นอยากกำจัดเป็นคนแรกคงไม่พ้นเยว่เอ๋อร์…

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่เจ้าค่ะ ท่านพ่อโปรดวางใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกทำ ลูกพิจารณามาอย่างถีถ้วนแล้วเจ้าค่ะ”

ฉู่หลิวเยว่พูดพลางเชิดคางเดินเข้าไปในห้อง แล้วเอ่ยขำ

“จริงสิ ช่วงนี้ลูกบังเอิญได้สูตรยามาหนึ่งตำรับ เขาบอกว่ามีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูร่างกาย ท่านพ่อลองสักหน่อยหรือไม่”

เมื่อนางต้มยาให้ตัวเองแล้ว อันที่จริงนางก็ไม่ได้ลืมอาการบาดเจ็บของฉู่หนิง

ก่อนหน้านี้นางเคยแอบตรวจชีพจรของเขา เพียงแค่ฟื้นฟูรักษาให้ดี ไม่เกินครึ่งเดือนก็สามารถหายกลับมาเป็นดังเดิม

นางพูดพลางจูงฉู่หนิงเข้าไปในห้อง

ฉู่หนิงกลับไม่ขยับเขยื้อน

นางมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้คุ้นเคยกับใบหน้านี้เพียงใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้เวลานี้ เขาถึงได้รู้สึกเหมือนคนแปลกหน้ายิ่งนัก

เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็เอ่ยถามปากสั่น

“เจ้า…ไม่ใช่เยว่เอ๋อร์ ใช่หรือไม่”