“อย่าเพิ่งเท้าความถึงยาชนิดอื่นเลย อันดับแรกเราควรพูดถึงต้นหยุนหลงหวู่ ต้นหยุนหลงวู่มิได้ส่งผลอันใดกับคนที่มีร่างกายปกติ ทว่ามันกลับเป็นยาถอนพิษชั้นเลิศ อีกทั้งยังหาได้ยากยิ่ง เกรงว่าทั่วทั้งปฐพีเมืองจิ้นจะมีเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น”
น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาอ่อนโยนนุ่มนวล ทว่าท่าทางของนางกลับไม่เหมือนคุณหนูจากตระกูลชนชั้นสูงธรรมดาทั่วไป
เป็นเช่นนี้เองหรือ? คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน คุณหนูสกุลหลินผู้นี้ทำให้เขาต้องปรับมุมมองที่มีต่อนางใหม่เสียแล้ว
แม้แต่ชื่อยาเขายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
“ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่าคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลินเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา อีกทั้งยังมีพฤติกรรมที่สุดแสนจะทานทน” แม้จะเป็นคำพูดประหนึ่งกำลังประชดประชัน ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหลุดหัวเราะ
“ท่านอ๋องเคยแต่เพียงได้ยินเท่านั้น ทว่าสิบปากว่ามิเท่าตาเห็น คนที่บอกว่าหม่อมฉันโง่และบ้าล้วนเป็นคนที่ไม่เคยเจอหม่อมฉันมาก่อนทั้งสิ้น ในเมื่อบัดนี้ท่านอ๋องได้เจอหม่อมฉันแล้ว ท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันคล้ายกับคนบ้าหรือโง่เขลาเบาปัญญาหรือไม่?
เมื่อสบโอกาส หลินเมิ้งหยาจึงส่งคำถามกลับไปหาหลงเทียนอวี้
เพราะประโยคที่ว่าสิบปากว่ามิเท่าตาเห็นจึงทำให้หลงเทียนอวี้ไม่อาจโต้เถียงได้
หรือความโง่เขลาที่ใครต่อใครพากันโจษจันจะเป็นเพียงกลอุบายในการป้องกันตัวเองของนางกันนะ?
ความรู้สึกดีที่มีต่อหลินเมิ้งหยาเริ่มลดฮวบฮาบลงไป
ภายในวังหลวง ทุกตารางเมตรล้วนแฝงไว้ด้วยเล่ห์กล หากไม่เดินให้ดีก็อาจจะเหยียบกับดักเอาได้
ตอนนี้เขาได้เจอกับหญิงสาวที่มีจิตใจหยั่งลึกเกินกว่าจะเข้าใจ อีกทั้งนางยังถูกส่งตัวมาอยู่เคียงข้างกายของเขา ไม่รู้ว่าฮองเฮามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
“มีคนมา!”
คนหูดีอย่างหลินเมิ้งหยาอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่ด้านนอก
ราวกับว่ากำลังมีคนเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะกลายเป็นย่องเบา อีกทั้งเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ นั้นยังมีลักษณะเหมือนกำลังตั้งใจจะแอบฟัง
อันที่จริงหลงเทียนอวี้รู้ตัวตั้งแต่ตอนที่ปรากฏเสียงฝีเท้าขึ้นแล้ว
ทว่าเขาทำเพียงแค่อยู่เฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อน
คิดไม่ถึงเลยว่าหูของหลินเมิ้งหยาจะดีถึงเพียงนี้
ช่างเป็นหญิงสาวที่มีประสาทสัมผัสว่องไว แต่…
นางรู้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมาที่นี่ทำไม?
คิ้วขมวดเข้าหากัน อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้
ในสมัยโบราณเมื่อเชื้อพระวงศ์เข้าห้องหอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้านนอกจะต้องมีคนมาคอยแอบฟัง
ส่วนคนที่มาแอบฟังอาจจะเป็นขันทีหรือไม่ก็พวกข้าราชบริพารฝ่ายในทั้งหลาย หน้าที่ของพวกเขาคือฟังการเคลื่อนไหวในค่ำคืนแรกของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
นี่คนสมัยโบราณคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย
เรื่องพวกนี้จะปล่อยให้คนนอกได้ยินได้อย่างไร?
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพลางชำเลืองมองหลงเทียนอวี้ซึ่งยังคงยืนสงบนิ่งด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ก่อนที่ความคิดอุกอาจบางอย่างจะเกิดขึ้นในใจ
มือเรียวเล็กสีขาวยื่นเข้าไปจับชุดของหลงเทียนอวี้
ดวงตาเปล่งประกายราวกับหยดน้ำสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขา
“หากท่านอ๋องอยากได้วิธีถอนพิษ ถ้าเช่นนั้นช่วยแสดงละครกับหม่อมฉันหน่อยเถิด!” คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากบางของนางจึงผุดรอยยิ้มขึ้น
มือยื่นเข้าไปจับเสื้อของหลงเทียนอวี้ หลินเมิ้งหยาจ้องมองชายผู้หล่อเหลาแต่ใจเย็นตรงหน้าด้วยความกระวนกระวายใจ
พระเจ้า จะให้นางพูดอย่างไรดีนะ
หรือนางควรจะพูดกับหลงเทียนอวี้ว่าเขาช่วยให้ความร่วมมือในการแสดงฉากเลิฟซีนกับนางหน่อยได้หรือไม่?
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามันยิ่งไร้สาระ!
“ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว ขอเชิญท่านอ๋องและพระชายาดื่มเหล้ามงคล!”
อยู่ๆ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาจากนอกหน้าต่าง
หลินเมิ้งหยาสะดุ้ง มือที่กำลังจับเสื้อของหลงเทียนอวี้ยิ่งออกแรงมากขึ้นจนทำให้หลงเทียนอวี้ซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงบนเตียงที่ถูกคลุมด้วยผ้าห่มสีแดง
ขณะเดียวกัน เสียงดัง “โครม” พลันดังออกมาจากห้องหอ
ด้านนอกห้องหอ ขันทีและข้าราชบริพารฝ่ายในที่ถูกส่งมาแอบฟังอยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มขึ้นด้วยความยินดี
โอ้โหยว ดูท่านอ๋องอวี้ทำเข้าสิ
ปกติท่านอ๋องผู้นี้มักจะแสดงท่าทีสงบนิ่ง แต่พอได้เข้าห้องหอก็เก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
จะพูดอย่างไรดีนะ สุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้ก็ยังคงหลงใหลในสตรีอยู่ดี
แม้ปกติแล้วท่านอ๋องอวี้จะไม่โปรดปรานสาวงามคนใดเลย แต่กับพระชายาองค์ใหม่นี้ ดูแล้วรีบร้อนเสียจริง
ภายในห้องหอ สีหน้าของหลงเทียนอวี้เริ่มไม่น่ามอง