ใบหน้าหล่อเหลาแข็งทื่อ
ท่วงท่าในเวลานี้ดูคลุมเครือเสียเหลือเกิน
ทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น ใกล้เสียจนหลินเมิ้งหยาสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“ขออภัยเพคะ ท่านอ๋องเจ็บหรือไม่ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ”
หลินเมิ้งหยารู้สึกผิดเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะอยู่ๆ นางก็ดึงเสื้อของหลงเทียนอวี้แล้วละก็ เขาก็คงไม่ล้มลงบนเตียงเช่นนี้
แม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะไม่เคยมีพระสนมในตำหนักอวี้แห่งนี้ แต่ถึงอย่างไรหลงเทียนอวี้ก็เป็นถึงองค์ชาย แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี
“ท่านอ๋องให้ความร่วมมือกับข้าในการแสดงให้คนด้านนอกนั้นฟังได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าจะบอกวิธีถอนยาพิษให้กับพระองค์อย่างแน่นอน”
พระเจ้า นี่เป็นเรื่องของพวกเขาทั้งคู่ แต่ทำไมดูจะมีเพียงหลินเมิ้งหยาที่เดือดเนื้อร้อนใจเล่า?
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะไม่ปฏิเสธ เขาเหยียดกายลุกขึ้นนั่ง จากนั้นฟาดมือลงไปบนเตียง
บนเตียงไม้แกะสลักขนาดใหญ่หลังนี้จึงเกิดเสียงดุเด็ดเข็ดฟันขึ้นมา
หลินเมิ้งหยาชะงัก เสียงนี้จะดังเกินไปหรือเปล่า?
ขันทีและข้าราชบริพารฝ่ายในต่างพากันเหลือกตาโตเมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น
“ขันทีหลี่ ท่านอ๋องอวี้ของพวกเราจะต้องเป็นมังกรผงาดอย่างแน่นอน ข้าที่เป็นหัวหน้านางในเคยฟังเสียงเตียงนอนขององค์ชายทั้งสิบสามพระองค์มาแล้ว มีเพียงเตียงของท่านอ๋องอวี้เท่านั้นที่ดังปานกำลังรื้อถอนเตียงเช่นนี้”
ใบหน้าของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นอาการนิ่งอึ้ง เส้นสีดำสามเส้นผุดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
สายตาเย็นชาพลันเหลือบมองไปทางหน้าต่าง…ปากมากเสียจริง!
“หรือว่าไม่จริงล่ะ ท่านอ๋องของพวกเราเข้าห้องหอกันก็มากมายหลายพระองค์ แต่หามีพระองค์ไหนเร่าร้อนได้อย่างท่านอ๋องอวี้เลย”
เส้นสีดำบนใบหน้ายิ่งเพิ่มขึ้นมาอีกสามเส้น หากไม่ใช่เพราะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษเช่นนี้แล้วละก็ หลงเทียนอวี้คงพุ่งตัวออกไปฆ่านกกระจิบนกกระจอกที่ส่งเสียงกระซิบกระซาบอยู่ด้านนอกทั้งสองนั่นแล้ว
“แต่พระชายาพระองค์นี้…”
หลงเทียนอวี้เหลือบมองหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งแอบอยู่อีกมุมหนึ่งของเตียง ในเมื่อบอกว่าเป็นการแสดงละคร แต่หากไม่มีนางเอกจะแสดงได้อย่างไรกัน
แววตาของเขาเผยให้เห็นความนึกสนุก ก่อนที่มือหนาจะยื่นเข้าไปหยิกหลินเมิ้งหยาหนึ่งที
“โอ๊ย…พระองค์ทำอะไร!”
เจ็บจริงๆ เลย! หลินเมิ้งหยาเกือบจะร้องไห้ออกมา นางถลึงตาใส่หลงเทียนอวี้ ทว่าเขากลับกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“แสดงละครไงล่ะ เจ้าเองก็ควรจะเสียสละตัวเองหน่อยมิใช่หรือ?”
เมื่อหลงเทียนอวี้เอ่ยชี้นำเช่นนั้น หลินเมิ้งหยาจึงเข้าใจได้ในทันที ดวงตาของนางกลอกขึ้นลงหนึ่งรอบ ก่อนจะใช้มือหยิกเข้าที่คอของตนเองแล้วแผดเสียงร้องออกมา
“อา…โอ้…โอ๊ย…อือ…”
ขณะที่หยิกคอของตนเอง หลินเมิ้งหยาพยายามส่งเสียงร้องให้เหมือนกับเสียงที่ตนเองเคยได้ยินมา
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย นักศึกษาหญิงที่ไร้ศีลธรรมมักจะดูหนังอย่างว่าพวกนี้บ่อยๆ
นางที่มักทำตัวเคร่งครัดไม่อาจทนเรียนเรื่องเหล่านั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นหลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกว่ามันยากจนเกินความสามารถ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พระชายาเองก็รู้จักสร้างอารมณ์ร่วมซินะ แม้จะโง่สักหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงนี่นา”
หัวหน้านางในซึ่งอยู่ด้านนอกส่งเสียงออกมาอีกครั้ง หลงเทียนอวี้หลุดขำพรืดออกมา ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวซึ่งกำลังส่งเสียงร้องโหยหวน
เขามองไม่เห็นการสร้างอารมณ์ร่วมของนาง ทว่าจิตวิญญาณของนางนั้นเขามอบคะแนนเต็มร้อยให้เลย
กว่าจะรู้สึกตัว หลินเมิ้งหยาเริ่มรู้สึกแสบคอขึ้นมาแล้ว
ใครจะรู้เล่าว่านางจะต้องแผดเสียงร้องเป็นชั่วโมงเช่นนี้
ทั้งสองจึงแสดงละครเช่นนี้ คนหนึ่งเขย่าเตียง อีกคนหยิกคอตัวเองแล้วส่งเสียงร้อง
สุดท้าย ตอนที่นางคิดจะกรีดเลือดออกจากนิ้วของตนเอง หลงเทียนอวี้แสดงความใจกว้างและจับนกพิราบตัวหนึ่งมาให้