ตอนที่ 10 ดาวโรงเรียนคนใหม่

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่านถูมือทั้งสองไปมาเป็นสัญญาณว่าเสร็จเรื่องแล้ว จากนั้นเด็กสาวก็หันหน้าไปหยิบแจ็กเกตและสะพายเป้ 

 

 

เธอย่นคิ้วเล็กน้อยตอนที่เดินผ่านแก๊งวัยรุ่น ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

จากนั้นเธอก็ผิวปากให้หัวหน้าพวกขาโจ๋ ก่อนจะหัวเราะออกมาเฉยๆ 

 

 

“ขอบใจนะ” เฉิงเจวี้ยนได้ยินอยู่สองพยางค์ตอนที่เด็กสาวลายมือไก่เขี่ยเดินผ่านเขาไป 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งต้องเอามือมาปิดปากที่อ้าค้างไว้ เขาไม่ค่อยพอใจนักตอนที่เห็นสาวนักสู้เดินเข้าประตูโรงเรียนไป “ผมเป็นคนที่กำลังจะไปช่วยเธอ แต่ทำไมเธอถึงขอบคุณเจ้านายกัน” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองไปที่ผู้ช่วยช้าๆ ก่อนพูดออกมาว่า “ไปกันเถอะ” 

 

 

ผู้ช่วยลู่มองตามหลังเด็กสาวอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนสายตากลับ “การลงมือของเธอไม่ธรรมดา แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร” 

 

 

หนึ่งต่อสี่ แต่สาวน้อยหน้าสวยกลับเอาชนะพวกนั้นได้อย่างว่องไวและหมดจด 

 

 

ตอนที่ชายหนุ่มทั้งสองเดินผ่านแก๊งอันธพาลสี่คน ลู่จ้าวอิ่งพลันหยุดเดิน แล้วพูดขึ้นว่า “นี่พวก พวกนายห่วยชะมัดยาดเลยว่ะ” 

 

 

หมอหนุ่มมองตามทิศทางที่สาวสวยเดินไป ดูเหมือนเธอจะไปที่ห้องแผนกต้อนรับของโรงเรียน 

 

 

เขามองไปทางอื่น แล้วเดินต่อจนถึงร้านอาหารที่อยู่ลึกในซอยแคบๆ 

 

 

“ท่านสวีครับ” ผู้ช่วยลู่เรียกชื่อชายชรา ตอนที่เห็นว่าเขาสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว 

 

 

อาจารย์ใหญ่ยิ้มแล้วพูดอะไรสั้นๆ ก่อนจะหันไปหาหมอหนุ่ม “คุณเฉิง มาทำอะไรที่นี่ครับ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ชายสูงวัยรู้ว่าหมอหน้าหล่อจะมาทำงานที่โรงเรียนในฐานะแพทย์ประจำโรงเรียน เขาถึงกับส่ายหน้าด้วยความกังวลใจ เพราะอาจารย์ใหญ่รู้ว่าชายคนนี้เอาใจได้ไม่ง่ายเลย 

 

 

หมอเฉิงถือถ้วยชาในมือ เป็นชาคุณภาพแย่ที่ทางร้านบริการให้ แต่เขาไม่ได้รังเกียจอะไร จึงทำท่าจิบราวกับเป็นชารสเลิศ 

 

 

หมอหนุ่มยิ้ม “แค่มาดูน่ะครับ” 

 

 

แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ผมได้ยินมาว่าท่านสวีเป็นอาจารย์ใหญ่ที่นี่มาสามปีแล้ว เลยอยากจะมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อยครับ” 

 

 

“ที่นี่มีอะไรให้ดูเหรอครับ” ชายสูงวัยยิ้ม แต่ความอาลัยอาวรณ์ในน้ำเสียงเขานั้นซ่อนไว้ไม่มิด “ผมพบผู้สืบทอดแล้ว” 

 

 

แม้แต่เฉิงเจวี้ยนก็ช็อกไป นี่ยังไม่นับผู้ช่วยของเขาด้วย หากคนที่อยู่ในเมืองหลวงรู้ว่าท่านสวีพบผู้สืบทอดแล้ว มันต้องกลายเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน 

 

 

“เป็นใครกันครับ” ลู่จ้าวอิ่งไม่เก็บความสงสัยไว้แม้แต่น้อย 

 

 

“คนนั้นไม่อยากรับช่วงต่อหรอก” อาจารย์ใหญ่ส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก 

 

 

ผู้ช่วยหนุ่มทำตาโตอย่างไม่เชื่อ 

 

 

ส่วนนายน้อยเฉิงเพียงแต่นั่งจิบชาเงียบๆ โดยไม่ได้ถามอะไรต่อ 

 

 

ผู้ช่วยลู่แทบจะเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ 

 

 

** 

 

 

ฉินหร่านไปที่สำนักงานกลางเพื่อรับกระเป๋าสัมภาระของเธอ 

 

 

ตัวกระเป๋ามาถึงโรงเรียนอีจงตั้งแต่ก่อนหน้าที่เธอกับแม่จะมาถึงเมืองนี้เสียอีก 

 

 

มีกระเป๋าใบหนักๆ ขนาดใหญ่อยู่สองใบ หนักเกินกว่าที่เด็กสาวจะถือได้ด้วยตัวเอง เมื่อเห็นว่าสาวน้อยมาคนเดียว คุณลุงที่ห้องแผนกต้อนรับจึงอาสาด้วยความใจดีว่าจะช่วยเธอย้ายสัมภาระไปที่ห้องนอน 

 

 

ฉินหร่านยื่นเรื่องขอนอนที่ชั้นสองตรงห้องที่อยู่ใกล้ปลายทางเดิน ห้องสองหนึ่งหก 

 

 

มันเป็นห้องหกเตียง แต่มีเพียงสามเตียงที่มีคนอยู่ ส่วนอีกสามเตียงที่เหลือมีแต่ข้าวของของคนอื่นๆ วางกระจัดกระจายอยู่บนนั้น เตียงที่ติดริมหน้าต่างมีคนอยู่เรียบร้อยแล้ว เด็กหอคนใหม่จึงต้องเลือกเตียงที่มีของกองอยู่น้อยที่สุด 

 

 

จากนั้นเธอก็ไปหยิบผ้าปูที่นอน 

 

 

เด็กสาวเปิดกระเป๋าหนึ่งออก แล้วนำเสื้อผ้า รวมถึงของใช้ในชีวิตประจำวันออกมาจัดเรียงเข้าตู้ตัวเองอย่างเป็นระเบียบ 

 

 

ส่วนกระเป๋าอีกใบนั้น เธอแค่ยัดไว้ใต้เตียง โดยไม่เปิดออกดูด้วยซ้ำ 

 

 

หลังจากเก็บของ และทานข้าวเสร็จ ฉินหร่านยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนคาบบ่ายคาบแรกจะเริ่ม 

 

 

เธอเดินผ่านตึกศิลปะขณะที่กำลังจะเดินไปห้องเรียน 

 

 

หน้าต่างชั้นสองเปิดอยู่ทำให้เด็กใหม่เห็นเครื่องดนตรีที่วางอยู่ในห้อง 

 

 

เด็กสาวเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง เวลานั้นมีคนอยู่แถวนั้นไม่กี่คน มันจึงเงียบมากๆ 

 

 

ฉินหร่านเปิดประตูห้องดนตรีออก เห็นไวโอลินวางอยู่ตรงกลางห้องพอดี 

 

 

เธอรักไวโอลิน เพราะมันทำให้เธอรู้สึกสงบ. 

 

 

เด็กสาวก้มหน้าลง 

 

 

นานๆ ที เธอจะหาสถานที่เพื่อเล่นไวโอลินบ้าง 

 

 

“นายน้อยสวี ฉันพูดจริงๆ นะ เด็กที่เพิ่งย้ายมาใหม่สวยโคตรๆ นายไม่รู้อะไร คนทั้งห้องตะลึงไปเลยนา…” เฉียวเซิงพูดด้วยความตื่นเต้น เปิดแล้วกระป๋องโค้ก 

 

 

ไม่มีใครพูดเรื่องที่เธอเป็นพี่สาวของฉินอวี่ 

 

 

สวีเหยากวงไม่ได้ใส่ใจเพื่อนสนิท ในมือหนุ่มหล่อถือชานมรสวนิลลาที่เขาซื้อมาให้สาวในดวงใจ 

 

 

โครงหน้าอันหล่อเหลาส่อประกายของความเย็นชา เพื่อให้เห็นชัดว่า เขาไม่สนใจเด็กใหม่ที่เพื่อนเพิ่งจะเอ่ยถึงเลย 

 

 

ทั้งสองคนเดินผ่านตึกศิลปะ 

 

 

จู่ๆ สวีเหยากวงก็หยุดเดินกลางคัน 

 

 

เพราะได้ยินเสียงไวโอลินจังหวะช้า อันเศร้าสร้อย 

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นไปที่ชั้นสอง ตาเป็นประกาย 

 

 

เพื่อนที่เดินตามมาไม่รู้เรื่องดนตรีนัก แต่สนใจฉินอวี่ก็เพราะเธอเป็นดาวโรงเรียน 

 

 

เสียงดนตรีทำให้เฉียวเซิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะมันไม่เพราะ แต่เพราะอารมณ์ความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจที่ได้ยินนั้นบาดลึกไปถึงหัวใจทีเดียว 

 

 

เฉียวเซิงกำลังจะบอกว่ามันเพราะใช้ได้ ก็พลันเห็นเพื่อนคนเก่งของเขาหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังตึกศิลปะ 

 

 

เขางงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเดินตามไป “นายน้อยสวี จะไปไหนน่ะ” 

 

 

เพื่อนสนิทคนเก่งไม่ได้ตอบ แต่รีบสาวเท้าก้าวให้ไวขึ้น 

 

 

สวีเหยากวงเปิดประตูห้องดนตรีออก 

 

 

เสียงเพลงหยุดลงทันที ห้องดนตรีว่างเปล่าไม่มีใคร ส่วนหน้าต่างเปิดอยู่ 

 

 

เขาไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

 

 

 

“คนเล่นหายไปไหนแล้ว” เฉียวเซิงรู้สึกว่ามันพิลึกๆ เช่นกัน เพราะพวกเขาเพิ่งจะฟังมันเมื่อตะกี๊นี้เอง เขาเดินไปทางหน้าต่าง “เป็นไปได้ไหมว่าคนนั้นจะโดดลงไปจากชั้นสอง” 

 

 

เพื่อนของเขาไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาถอนจากหน้าต่างที่เปิดอยู่มาอยู่ที่ไวโอลิน ซึ่งตั้งอยู่กลางห้องแทน 

 

 

สวีเหยากวงเพิ่งหายอารมณ์เสียตอนที่มีคนเข้ามาซ้อม 

 

 

เด็กหนุ่มหน้าหล่อเอนพิงเปียโนอย่างสบายๆ ด้วยท่าทางสง่า เขาถามเด็กผู้หญิงที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้อง “มีใครเข้ามาซ้อมตอนเที่ยงไหม” 

 

 

เด็กผู้หญิงทำหน้างงงวย 

 

 

เขาจึงถามหล่อนซ้ำอีก 

 

 

“อาจารย์ไม่ได้จัดซ้อมช่วงเที่ยงค่ะ” เด็กที่เพิ่งเดินเข้ามามองหน้าหนุ่มหล่ออย่างระวัง ก่อนจะพูดตะกุกตะกักว่า “แต่มีแค่ฉินอวี่คนเดียวที่เล่นไวโอลินเป็น” 

 

 

ผู้ถามอึ้งไปแป๊บหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ หน้าตาที่หล่อเหลาของเขาดูอบอุ่นและใจดี แต่ทว่านัยน์ตากลับเยือกเย็นเป็นอย่างมากจนทำให้ดูเข้าไม่ถึง 

 

 

เขาไม่ได้พูดอะไรอีกตอนที่เดินออกมาจากห้องดนตรี หลังจากนั้น หนุ่มหล่อก็มุ่งหน้าไปยังห้องคิงเพื่อให้ชานมแก่ฉินอวี่ 

 

 

ตอนนั้น เธอไม่อยู่ที่ห้อง 

 

 

สวีเหยากวงหรี่ตาลงเพื่อคิดสักครู่ ก่อนตัดสินใจวางชาไว้บนโต๊ะเธอ 

 

 

เด็กในห้องคิงส่วนใหญ่เห็นหน้าเขาจนชินแล้ว แต่อีกหลายๆ คนก็ยังจ้องมองหนุ่มต่างห้องคนนี้อยู่ 

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น เฉียวเซิงกำลังยืนพิงประตูอย่างสบายอารมณ์ แล้วคุยกับสาวๆ ที่นั่งอยู่แถวหน้า 

 

 

พอเห็นว่าสวีเหยากวงเดินออกจากห้อง เขาก็ยิ้ม “นายว่าดาวโรงเรียนฉินคือคนที่อยู่ในห้องไวโอลินเมื่อกี๊ไหม” 

 

 

สวีเหยากวงไม่ได้ตอบคำถาม 

 

 

** 

 

 

ห้องเก้า 

 

 

ฉินหร่านมานั่งที่โต๊ะของเธอ 

 

 

เธอจัดแจงหนังสือ แล้วหยิบปากกาหนึ่งด้ามออกมาเขียนชื่อตัวเอง 

 

 

สาวสวยซบหัวลงบนฝ่ามือขวา แล้วจับปากกาด้วยมือซ้าย 

 

 

ศีรษะที่เอียงอยู่นิดๆ ยิ่งทำให้เด็กใหม่คนสวย สวยเข้าไปอีก 

 

 

แทบจะทุกคนในห้องต่างแอบมองเธอกันทั้งนั้น 

 

 

หลินซือหรานที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเด็กใหม่นั่งเตรียมใจอยู่นานสองนานเพื่อเวลานี้ “สวัสดีฉินหร่าน ฉันชื่อหลินซือหรานนะ เป็นหนึ่งในกรรมการนักเรียนฝ่ายการเรียน เธอมาหาฉันได้เลยถ้าต้องการความช่วยเหลือ” 

 

 

ฉินหร่านหันหน้ามาทางเธอ ก่อนจะส่งยิ้มให้ ที่จริงเพื่อนใหม่คนสวยคนนี้ก็ไม่ได้ดูเย็นชานัก “หวัดดี” 

 

 

กรรมการนักเรียนสาวเขินหน้าแดงเล็กน้อย “เธอถนัดซ้ายเหรอ” 

 

 

“ว่างั้นก็ได้” ฉินหร่านค่อยๆ ใช้มือซ้ายเขียนช้าๆ อย่างไม่รีบร้อนอะไร 

 

 

“อาจารย์วิชาคณิตฯ ให้การบ้านพวกเรามาทำเช้านี้ ฉันต้องรวบรวมส่งให้อาจารย์ก่อนจะเริ่มเรียนคาบใหม่น่ะ” หลินซือหรานพูดเบาๆ 

 

 

ฉินหร่านเจอการบ้านที่กรรมการนักเรียนเพิ่งพูดถึง เธอมองกระดาษผ่านๆ ก่อนจะยัดไว้ใต้โต๊ะ 

 

 

ดูเหมือนสาวสวยจะอารมณ์ดีกว่าเมื่อวาน เธอจึงไม่ได้มีท่าทีห่างเหินหรือเจ้าอารมณ์ 

 

 

ฉินหร่านยิ้มเอียงคอ ก่อนจะถามด้วยเสียงออดอ้อน “ไม่ส่งได้ไหมอ้ะ” 

 

 

หลินซือหรานอายหน้าแดงจนต้องรีบหยิบกองกระดาษ แล้ววิ่งไปที่ห้องพักครู 

 

 

เด็กสาวคนสวยหยิบหนังสือออกจากกระเป๋า แล้วเขียนชื่อตัวเองลงไปอย่างเกียจคร้าน 

 

 

มีคนในห้องจับจ้องเธอเยอะมาก เยอะกว่าตอนเช้าเสียอีก 

 

 

แม้แต่หนุ่มๆ จากห้องอื่นก็ยังแอบมาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าประตูเพื่อส่องเธอ 

 

 

สาวน้อยเคยชินกับความสนใจแบบนี้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรพวกเขา เธอหยิบหูฟังมาใส่ แล้วจิ้มมือถือเพื่อเล่นเกมออนไลน์ยอดฮิต 

 

 

บรรดานักเรียนชายที่อยู่รอบๆ เธอต่างผลักกันไปมา แต่ไม่มีใครสักคนจะกล้าเดินเข้ามาหาเธอตรงๆ 

 

 

ผ่านไปสักครู่ เฉียวเซิงก็กลับมาพร้อมกับสวีเหยากวง 

 

 

เด็กหนุ่มช่างจ้อสะกิดไหล่เพื่อนคนเก่งของเขา แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ดูดิ นั่นไงฉินหร่าน” 

 

 

คนที่ถูกสะกิดหยิบหนังสือออกมาเพื่อเตรียมเรียนคาบต่อไป เขาดูเหินห่างและไม่ใส่ใจ 

 

 

ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ 

 

 

เพื่อนอีกคนในห้องที่ไว้ผมทรงนักเรียนหัวเราะในลำคอเบาๆ ขณะที่เลื่อนดูมือถือตัวเอง “เฉียวเซิง นายเคยเห็นนายน้อยสวีมองสาวคนอื่นตอนไหนมั่ง” 

 

 

“หุบปากไปเลย” เฉียวเซิงเตะขาเก้าอี้เพื่อน แล้วถามขึ้น “ทำไมข้างนอกคนเยอะจัง” 

 

 

“ก็มาส่องเด็กใหม่คนนั้นไง” เด็กหนุ่มผมทรงนักเรียนตอบ ตายังคงจ้องที่จอมือถือ 

 

 

ทันทีทันใดนั้น หนุ่มหัวเกรียนก็เลิกเลื่อนหน้าจอ แล้วยกมือถือขึ้นสูง “พระเจ้า….จอร์จ!” 

 

 

เฉียวเซิงหันกลับไปมองที่หน้าจอ 

 

 

มันคือหน้ากระทู้โรงเรียนอีจง 

 

 

[สวยยังกับนางฟ้า! นั่นดาวโรงเรียนฉินอวี่เหรอ] 

 

 

ใต้หัวเรื่องมีภาพอยู่ภาพหนึ่ง 

 

 

ในภาพมีแก๊งอันธพาลสามคนที่อยู่ข้างถนน พวกนั้นดูเหมือนเจ็บตัวอยู่ แถมมีรอยเลือดบนพื้นด้วย ไม่ไกลจากตรงนั้น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดนักเรียนโรงเรียนอีจงยืนอยู่ 

 

 

เด็กสาวคนนั้นผอมเพรียว รอยยิ้มของเธอช่างสดใส เธอดูผ่อนคลาย และแม้ว่าภาพจะแตก แต่ความสวยของเธอยังทะลุจอออกมาอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

มีคนไปตอบโพสต์มากกว่าห้าร้อยคอมเมนต์แล้ว 

 

 

 

 

 

2I: [ส่งรายละเอียดทั้งหมดของสาวคนนี้มาให้หน่อย!] 

 

 

3I: [ฉินอวี่ไม่ได้หน้าตาแบบนี้นี่นา…] 

 

 

ไม่นานนักก็มีเด็กห้องเก้าเข้าไปผสมโรงตอบด้วย 

 

 

เด็กหนุ่มหัวเกรียนลดเสียงลงต่ำ พยายามข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ “ดาวโรงเรียนอีจงเปลี่ยนคนแล้วจ้า!” 

 

 

เด็กสาวในภาพดูจะไม่รู้ตัวว่ารอบตัวเกิดอะไรขึ้น 

 

 

เธอยังใส่หูฟัง แล้วเล่นเกมต่อไป 

 

 

กู้ซีฉือโทรเข้ามาพอดี ส่วนเธอกดวางสายอย่างไม่ใส่ใจ 

 

 

อีกฝ่ายก็ยังคงโทรมาอีก 

 

 

สาวสวยจึงรีบเล่นให้จบรอบไวๆ 

 

 

จากนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง 

 

 

ตอนที่เด็กใหม่ขยับตัว ทุกคนมองตามเป็นตาเดียว 

 

 

ห้องเรียนที่มีเสียงคุยกันเซ็งแซ่ จู่ๆ ก็เงียบลง 

 

 

มีกลุ่มคนมารวมตัวกันที่ประตูหลัง 

 

 

เด็กใหม่ใช้มือหนึ่งถอดหูฟังออก แล้วมองไปที่คนพวกนั้น 

 

 

เธอจ้องเข้าไปในตาพวกนั้น 

 

 

ทุกคนจึงรีบสลายตัวทันที 

 

 

เด็กสาวเดินผ่านผู้คนไป แล้วตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ ซึ่งอยู่สุดทางเดิน 

 

 

หมอหนุ่มโทรเข้าอีกครั้ง 

 

 

เธอเห็นมีห้องว่าง จึงนั่งลงบนฝาชักโครก แล้วกดรับสาย 

 

 

ที่ตะวันออกกลาง 

 

 

กู้ซีฉือเพิ่งจะรักษาบาดแผลให้เด็กน้อยคนหนึ่งเสร็จ หมอรูปหล่อลูบหัวเด็กเบาๆ เขาหนีบโทรศัพท์ไว้ข้างหู แล้วเดินออกมา 

 

 

หลังจากจุดบุหรี่ให้ตัวเอง หนุ่มหน้าหล่อก็ยิ้มออกมา “เธอยังไม่ตอบข้อความฉันเช้านี้เลยนะ แล้วตอนนี้ยังจะมาไม่รับสายอีก” 

 

 

“ฉันอยู่ที่โรงเรียน” เด็กสาวปลายสายเขี่ยหูฟังเล่น “มีอะไรก็พูดมา คาบเรียนฉันใกล้จะเริ่มแล้ว” 

 

 

“เกิดเรื่องน่ะสิ” แพทย์หนุ่มพ่นควันเป็นวงๆ ออกมา แล้วก็รับกล่องเครื่องมือแพทย์จากอีกคนมา เขาหันไปกล่าวขอบคุณคนนั้น ก่อนจะพูดต่อ “ฉันตรวจเอกสารที่เธอให้มาแล้วนะ” 

 

 

“นายเจออะไรบ้างไหม” 

 

 

กู้ซีฉือเว้นไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างอู้อี้ “สาวน้อย ฉันให้ตำรวจสากลช่วยค้นให้แล้ว แต่ทำไมฉันถึงเห็นชื่อเธออยู่ในลิสต์ของตำรวจสากลก็ไม่รู้ หรือฉันตาฝาดไปเอง”