บทที่ 10: ท่านพ่อ ผมอยากทดลองงาน

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 10: ท่านพ่อ ผมอยากทดลองงาน

โรเอล แอสคาร์ดเป็นคนแบบไหนงั้นเหรอ?

หากมีใครถามคำถามนี้กับเหล่าเกษตรกรชาวไร่ในเขตการปกครองแอสคาร์คเมื่อเดือนก่อน พวกเขาคงจะต้องหัวเราะออกมาอย่างแน่นอน

ทุกคนรู้ดีว่าตำแหน่งขุนนางของโรเอล ​แอสคาร์ดนั้นเป็นตำแหน่งที่มักจะอยู่แต่ในคฤหาสน์ที่โอ่อ่าที่สุดในเขตการปกครองแห่งนี้ แม้แต่พวกที่อาศัยอยู่ในเมืองยังต้องดิ้นรนเพื่อที่จะได้เห็นเขาแม้เพียงเล็กน้อย นับประสาอะไรกับชาวนาชาวไร่ผู้อาศัยอยู่ในเขตไกลปืนเที่ยงเช่นพวกเขา

แต่ปาฏิหาริย์ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว นายน้อยแห่งตระกูลมาร์ควิสได้ลดความเย่อหยิ่งของเขาลงและก้าวขาเข้าสู่ท้องทุ่งในเขตชานเมืองเพื่อมาาเยี่ยมเยียนชาวไร่ ทำให้เฒ่าเคนท์และเกษตรกรคนอื่น ๆ มีโอกาสได้พบเขาด้วยตนเองเป็นครั้งแรก

การตอบสนองครั้งแรกของทุกคน เมื่อได้เห็น โรเอล แอสคาร์ดเป็นเหมือน ๆ กันทั้งหมด นั่นก็คือพวกเขาต้องหันไปมองดูดี ๆ อีกครั้ง เนื่องจากเด็กน้อยนั้นหล่อเหลาเกินกว่าที่คิดไว้มาก

ใบหน้าของโรเอลเป็นอาวุธร้ายแรงในการเก็บเกี่ยวแต้มความสนใจ บางคนก็บอกว่าเขาน่ารัก บางคนก็บอกว่าเขาหล่อ หากพวกเขามีมาตรฐานความต้องการในเรื่องรูปลักษณ์ล่ะก็ โรเอลคงจะผ่านมาตรฐานทั้งหมดนั้นอย่างแน่นอน

ไม่นานนักข่าวลือเกี่ยวกับการเปรียบเทียบรูปลักษณ์ของโรเอลกับเรื่องราวของเอลฟ์ผู้สวยงามก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว ทำให้เด็กชายกลายเป็นตัวเลือกอันสมบูรณ์แบบของหญิงสาวในวัยที่กำลังใฝ่ฝันถึงเพศตรงข้าม

เรื่องต่อมาที่ทำให้ผู้คนจดจำได้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับ โรเอล ก็คือหลังจากการปรากฏตัวของเด็กชาย ทัศนคติเกี่ยวกับเขาจากมุมมองของเหล่าเกษตรกรเช่นเฒ่าเคนท์ ต่างก็มองโรเอล แอสคาร์ดเป็นเด็กชายผู้จริงจังและปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ

ตอนนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วอากาศข้างนอกจึงเย็นลงเรื่อย ๆ ซ้ำร้ายดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันก็ยังสาดส่องความร้อนออกมา ทำให้บรรยากาศนั้นร้อน ๆ หนาว ๆ จนเกิดอาการกระสับกระส่ายมากมายในหมู่เกษตรกรผู้เข้าคิว แม้แต่เฒ่าเคนท์เองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้

อย่างไรก็ตามโรเอล แอสคาร์ดนั้นยังคงสามารถรักษาความสุขุมของตนเองเอาไว้ได้ เด็กชายไม่ได้ทำกิริยากระฟัดกระเฟียดใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาเลยแม้แต่น้อย กลับกันแล้วทัศนคติของเขาดีกว่าเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรทั่ว ๆ ไปเสียด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าในฐานะผู้สูงศักดิ์ มันไม่มีทางเลยที่โรเอล แอสคาร์ด จะต้องทนร้อนกับแสงแดดเหมือนกับคนอื่น ๆ เด็กชายมีคนรับใช้คอยถือร่มขึ้นมาเพื่อกำบังเขาจากมัน

ทว่าแสงแดดนั้นจ้ามาก พูดตามตรงก็คือการมีร่มนั้นไม่ได้สร้างความแตกต่างเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นโรเอลยังต้องคอยรักษาความต่อเนื่องในคาถาของตัวเอง เพื่อให้หินโม่ยังหมุนต่อไปได้

ดั้งนั้นหากมองจากมุมมองดังกล่าว โรเอล แอสคาร์ด น่าจะเหนื่อยล้ามากกว่าเหล่าเกษตรกรผู้ที่ยืนรอคิวอย่างเดียวเสียอีก

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เหล่าเกษตรกรอาวุโสต่างก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า นายน้อยโรเอลช่างเป็นบุคคลผู้แสนวิเศษ!

ในขณะที่เฒ่าเคนท์และคนอื่น ๆ กำลังมองไปที่โรเอลด้วยความชื่นชม เด็กน้อยเองก็มองไปยังพวกเขา ไม่สิ แสงสีเขียวที่โผล่ขึ้นมาเหนือหัวของพวกเขา ด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มเช่นกัน

ที่นี่ช่างเป็นการเก็บเกี่ยวอันยอดเยี่ยมจริง ๆ!

รอยยิ้มแห่งความยินดีเบ่งบานบนใบหน้าของโรเอล

ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาหลังจากฟื้นความทรงจำในชาติก่อนกลับมาได้ โรเอลก็เริ่มคุ้นเคยกับชีวิตของเขาบนโลกนี้ แผนการช่วยเหลือตัวเองในอนาคตอันใหม่จึงได้ถูกคิดขึ้นมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ด้วยความที่เด็กชายนั้นรอบคอบและตระหนักรู้ในตนเองเป็นอย่างดี โรเอลย่อมรู้ดีว่าเขานั้นยังไม่ได้เอาชนะเดธแฟล็กของตนเองลงโดยสมบูรณ์ ในฐานะตัวร้ายหลักของเนื้อเรื่องหลักในเกมอาย ออฟ โครนิเคิล ความขัดแย้งของโรเอลกับตัวละครหลักและสาว ๆ ในฮาเร็มนั้นลึกล้ำเสียยิ่งกว่าอลิเซียเพียงคนเดียว แม้ว่าเด็กชายจะแก้ปัญหาคืนดีกับอลิเซีย และหลีกเลี่ยงชะตากรรมในอนาคตที่เขาจะต้องถูกสังหารโดยผู้สืบสายเลือดแห่งซิลเวอร์แอซ แต่ก็ยังมีรูทปักธงเดธแฟล็กอีกมากมายที่เขาจะต้องพบกับจุดจบ

แม้จะมีอายุเพียง 9 ขวบ แต่โรเอลก็รู้ดีว่าเขาต้องเริ่มทำงานอย่างหนักนับจากนี้เพื่อความอยู่รอด โดยขั้นตอนแรกก็คือการใช้สินค้าจากทางร้านแลกเปลี่ยนแต้มความสนใจให้คุ้มค่า

ครึ่งเดือนที่ผ่านมาโรเอลได้เข้าพบมาร์ควิส คาร์เตอร์เพื่อพูดคุย โดยแสดงความสำนึกผิดต่อท่าทีกดขี่ข่มเหงของตนเองตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ เด็กชายอ้างว่าการได้รับอลิเซียมาเป็นน้องสาวบุญธรรม ทำให้เขารู้ว่าตนเองขาดความเป็นพี่ชายมากเพียงใด โรเอลจึงตัดสินใจที่จะปรับปรุงตัว เพื่อกลายเป็นคนที่จะสามารถแบกรับความรับผิดชอบในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลได้

หลังจากก้มหัวลงขอโทษด้วยความจริงใจ เขาก็เงยหน้าขึ้นเพื่อขอความคิดเห็นจาก มาร์ควิสคาร์เตอร์ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่แล้วเด็กชายก็ได้เห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นบิดากำลังร้องไห้ออกมาต่อหน้าเขา

มีเพียงไม่กี่คนที่จะโต้แย้งว่า มาร์ควิสคาร์เตอร์ นั้นไม่ใช่บุคคลผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาเป็นทั้งจอมเวทผู้มีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในขุนนางชั้นสูงเพียงไม่กี่คนของจักรวรรดิ ถึงกระนั้นก็ยังมีหนามสองอันปักอยู่ในใจของมาร์ควิสคาร์เตอร์อยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นั่นคือการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของภรรยาผู้เป็นที่รักและการที่ลูกชายของเขาเป็นคนไม่เอาไหน

ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวนั้นต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแสดงความห่วงใยและให้ความอบอุ่นต่อบุตรผู้อยู่ในวัยเจริญเติบโต ซึ่งมักจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนมากมายในภายหลัง

สถานการณ์นั้นยิ่งเลวร้ายลงมากในกรณีของตระกูลแอสคาร์ด เนื่องจากมาร์ควิสคาร์เตอร์ เป็นบุคคลสำคัญของจักรวรรดิ เขามีงานมากมายที่ต้องจัดการ จึงมีเวลาเพียงเล็กน้อยให้กับบุตรชายอย่างโรเอล มาร์ควิสคาร์เตอร์ได้แต่รู้สึกเสียใจที่ทำให้ลูกชายของเขาเติบโตมาโดยขาดมารดา

ดังนั้นเขาจึงพยายามชดเชยให้โดยตามอกตามใจโรเอล ทว่าความตั้งใจของเขา กลับยิ่งเป็นการไปกระตุ้นนิสัยกดขี่ข่มเหงของเด็กชายให้ตื่นขึ้นมา

โรเอลกลายเป็นทรราชตัวน้อยผู้เห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจ ไม่เคยลังเลที่จะดุด่าและทุบตีคนรับใช้ ใครก็ตามที่มีดวงตา ย่อมบอกได้ว่าเด็กชายคนนี้จะต้องเติบโตขึ้นมาเป็นขุนนางผู้โหดร้ายในอนาคตแน่นอน

มาร์ควิสคาร์เตอร์เองก็ไม่ได้ตาบอด เขาสังเกตเห็นความเป็นไปของโรเอล และกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาก็ทำใจแข็งกับลูกชายเพียงคนเดียวซึ่งเป็นดั่งของดูต่างหน้าจากภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้

ท้ายที่สุดคาร์เตอร์จึงตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กสาววัยใกล้เคียงกันกับโรเอลโดยหวังว่าเธอจะปัดเป่าความเหงาของบุตรชาย และผลักดันให้เขาไปสู่ทิศทางที่ดีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม มาร์ควิสคาร์เตอร์ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมีประสิทธิภาพถึงขนาดที่กระตุ้นให้โรเอลเกิดการเปลี่ยนแปลงทางบุคคลิกภาพในทันทีแบบนี้!

มาร์ควิส คาร์เตอร์ รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นการพัฒนาในรูปแบบนี้ของโรเอล แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรที่จะดีใจให้มากจนเกินไป เพราะเขาจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่าบุตรชายของตนได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ หรือเปล่า เพื่อที่เขาจะได้ไม่หวนกลับไปสู่เส้นทางอันหลงผิดอีก

หลังจากลังเลอยู่นาน คาร์เตอร์ก็ได้ตัดสินใจเปิดเผยความจริงกับบุตรชายของตนว่าแท้จริงแล้ว…โรเอลนั้นไม่มีพรสวรรค์ใด ๆ ในฐานะจอมเวทเลย!

มาร์ควิส คาร์เตอร์เองก็รู้สึกหมดสิ้นหนทางเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ทั้ง ๆ ที่โรเอลมีอายุถึง 9 ขวบแล้วแท้ ๆ แต่การเรียนรู้เกี่ยวกับคาถาเวทของเขากลับไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย

ในวัยเทียบเท่ากันกับโรเอลนั้น มาร์ควิสคาร์เตอร์มีความสามารถทางคาถาเวทมนตร์อันยอดเยี่ยมเหนือกว่าคนทั่ว ๆ ไป บุตรชายของเขาจึงถือว่าอ่อนแออย่างมาก

ด้วยที่โรเอลไม่ได้มีความสามารถทางคาถาเวทอันเยี่ยมยอดเหมือนบิดาของเขา เด็กชายจึงไม่น่าจะสามารถกลายเป็นบุคคลสำคัญของจักรวรรดิได้อย่างที่มาร์ควิส คาร์เตอร์เป็น

อย่างไรก็ตามโชคดีที่ตัวแปรนั้นไม่ได้สำคัญเท่าไหร่สำหรับชนชั้นขุนนาง

แม้ว่าโรเอลอาจจะไม่สามารถทำให้ตระกูลแอสคาร์ดเจริญรุ่งเรืองไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็น่าจะสามารถปกป้องธุรกิจของตระกูลเพื่อสืบทอดมันให้กับคนรุ่นต่อไปได้โดยไม่มีปัญหา

ในฐานะพ่อ มาร์ควิส คาร์เตอร์ ไม่ได้มีความคาดหวัง ทะเยอทะยานยิ่งใหญ่อะไรสำหรับโรเอล ทั้งหมดที่เขาปรารถนามีเพียงต้องการให้ โรเอล เติบโตขึ้นอย่างมีความสุขและมีชีวิตอันสงบสุข ซึ่งเป็นความปรารถนาเดียวกันกับที่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะมีต่อลูก ๆ ของพวกเขา

โดยที่มาร์ควิส คาร์เตอร์ไม่ได้รู้เลยว่า ผู้หญิงหลาย ๆ คนที่จะเข้ามาในชีวิตของโรเอลนับจากนี้ จะเป็นตัวการที่ทำให้ชีวิตอันสงบสุขไม่มีทางกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเด็กชาย

“ท่านพ่อ กำลังจะบอกว่าแทนที่ผมจะเอาเวลาไปศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับคาถาเวท สู้เอาเวลาพวกนั้นไปใช้เรียนรู้วิธีการจัดการบริหารเขตการปกครองดีกว่าสินะครับ”

“ใช่แล้ว แม้ว่ามันจะทำให้ตระกูลแอสคาร์ดดูตกต่ำลงในรุ่นของลูก แต่ตราบใดที่ลูกกัดฟันและพยายามอย่างเต็มที่โดยไม่ย่อท้อ ท้ายที่สุดลูกก็จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้”

ตระกูลแอสคาร์ดเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในด้านเชื้อสายของจอมเวทอันยอดเยี่ยมมาช้านาน ลูกหลานของตระกูลนี้มักจะกลายเป็นจอมเวทอันเลื่องชื่อ อย่างน้อย ๆ หนึ่งคนในทุก ๆ สองชั่วอายุ

มาร์ควิส คาร์เตอร์ มีลูกชายเพียงคนเดียวก็คือ โรเอล ดังนั้นหมายความว่ารุ่นต่อไปจะถึงวาระดังกล่าวแล้ว แม้เขาจะพึ่งพาบุตรชายของตนเองไม่ได้ แต่คาร์เตอร์ก็ยังฝากความหวังไว้กับหลานชายของเขาได้ไม่ใช่เหรอ?

“ลูกก็หาภรรยาเพิ่มสักสองสามคน ต้องมีลูกเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะมีผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งพอที่จะมาประคับประคองตระกูลแอสคาร์ดของเรา”

คำแนะนำอันตรงไปตรงมาของมาร์ควิส คาร์เตอร์ ทำให้เด็กชายถึงกับพูดไม่ออก เขาได้แต่คิดชื่นชมในใจถึงความเปิดกว้างของผู้เป็นพ่อ

แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะฟังดูไร้สาระ แต่โรเอลก็รู้ดีว่ามาร์ควิสคาร์เตอร์จริงจังแค่ไหนในสิ่งที่เขาพูด การสืบสายเลือดของตระกูลขุนนางนั้นเป็นภาระอันสำคัญยิ่ง

ดังนั้นโรเอลจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ แม้จะรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย ที่ตนเองจะต้องกลายเป็นขยะในสายตาลูก ๆ ของเขา

หลังจากได้เปิดอกพูดคุยกับบิดาของเขาในวันนี้ โรเอลก็รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างพวกเขาได้ลดลงมาเพียงพอแล้ว เด็กชายจึงเปิดเผยความตั้งใจของตนเองออกมาในที่สุด

“ท่านพ่อ ผมสนใจในอุตสาหกรรมการเกษตร และการเก็บภาษีอากร ขอโอกาสให้ผมได้เข้ารับตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรชั่วคราวเพื่อเรียนรู้การทำงานได้รึเปล่าครับ”

“นั่นเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมเลยโรเอล! ลงมือได้เลย อย่าได้ลังเล ตราบเท่าที่ลูกต้องการจะเรียนรู้ พ่อก็จะสนับสนุน!”

ในที่สุดมาร์ควิส คาร์เตอร์ก็ได้เห็นแสงแห่งความหวังในตัวของโรเอล และด้วยความที่เขาเกรงว่าบุตรชายจะเปลี่ยนใจในไม่ช้า เขาจึงได้ออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเตรียมเอกสารและประทับตรารับรองโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว โรเอลก็ได้กล่าวขอบคุณบิดาของตน ก่อนจะมองไปที่เอกสารในมือ พร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอออกมาจากดวงตาของเขา

ในที่สุดโรเอลก็จะได้ใช้กองทหารโครงกระดูกเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์เสียที!