บทที่ 11: สหายเอ๋ย สีเขียวของนายนั้นช่างยอดเยี่ยม

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 11: สหายเอ๋ย สีเขียวของนายนั้นช่างยอดเยี่ยม

“ขอบคุณนายน้อยมากขอรับ สำหรับความเมตตา ขออวยพรให้เทพีเซียจงสถิตอยู่กับท่าน!”

ด้านนอกโรงสี เฒ่าเคนท์ ยกถุงแป้งสาลีขึ้นไปบนรถม้าของเขาก่อนจะโค้งคำนับ เพื่อแสดงความขอบคุณต่อโรเอลอย่างสุดซึ้ง ขณะที่ข้างหลังเขามีเกษตรกรจำนวนมากกำลังมองมาที่เขาด้วยความอิจฉา

ในวันนี้เฒ่าเคนท์นั้นค่อนข้างโชคดี แม้ว่าเขาจะมาสายเกินไปจนเลยเวลาเลิกงานของเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรไปแล้ว แต่โรเอล นายน้อยผู้ใจดีและมีเมตตานั้นได้สังเกตเห็นว่าเขาลงทุนลงแรงลากเกวียนข้าวสาลีขนาดใหญ่มารออยู่ภายใต้แสงตะวันเป็นเวลานาน เขาจึงได้ยกเว้นให้เฒ่าเคนท์เป็นกรณีพิเศษ ขยายการดำเนินการออกไปครึ่งชั่วโมง

ด้วยเหตุนี้ เฒ่าเคนท์ จึงสามารถจ่ายภาษีของเขาได้ภายในวันนี้

โรเอลนั้นเป็นเจ้าหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรผู้เดินทางไปทั่วตามที่ต่าง ๆ ในเขตการปกครอง หมายความว่าไม่มีอะไรจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้พบเด็กชายอีก

เฒ่าเคนท์ จึงมีความสุขมากกับเหตุการณ์ในวันนี้ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็ได้แต่มองด้วยความอิจฉาในโชคดีของชายแก่

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่เลิกงานช้ากว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้นเอง อย่าลืมเตรียมตัวกันให้พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูหนาวล่ะ” โรเอลกล่าวด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น พลางจ้องมองไปยังแสงสีเขียวเหนือศีรษะของเฒ่าเคนท์

คำพูดเหล่านั้นทำให้เฒ่าเคนท์รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น จนแสงสีเขียวบนหัวของเขาเปล่งประกายราวกับทุ่งหญ้า

เมื่อเห็นภาพนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของโรเอลผู้ ‘มีเมตตา’ ก็ยิ่งสดใสขึ้นไปอีก เขาปรบมือให้กับตัวเองในใจเพื่อสรรเสริญให้กับแผนการอันยอดเยี่ยมในวันนี้

เบื้องหลังการตัดสินใจอันมีเมตตาของโรเอลในการขยายเวลาทำการ เพื่อจัดการกับภาษีของเฒ่าเคนท์ มีเหตุผลแอบแฝงอยู่ ก็คือเฒ่าเคนท์นั้นเป็นเกษตรกรผู้สร้างแต้มความสนใจให้กับเขามากที่สุดในบรรดาเกษตรกรที่กรูกันเข้ามาจ่ายภาษีก่อนหน้านี้ มากถึง 150 แต้ม!

แต้มความสนใจของเฒ่าเคนท์ทำให้โรเอลตกใจมาก

มันช่างน่าอัศจรรย์เสียเหลือเกิน ช่างเป็นสีเขียวอันเปล่งประกายสวยงามยิ่งนัก ! เราคงจะรู้สึกแย่มากแน่ ๆ หากต้องปฏิเสธของขวัญชิ้นใหญ่แบบนี้ !

ดังนั้นเมื่อโรเอลพบว่าบุคคลที่อยู่คิวถัดไปในแถวคือ เฒ่าเคนท์ เขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดทำการต่อ เพื่อการเก็บเกี่ยวแต้มความสนใจครั้งใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดจากหลักฐานมากมายก่อนหน้านี้ ว่าการตัดสินใจของเด็กชายนั้นถูกต้อง เฒ่าเคนท์ได้มอบแต้มความสนใจให้เขาอีก 300 แต้ม เทียบได้กับผลรวมของเกษตรกรถึงสามคนเลยทีเดียว!

“นายน้อยคะ นี่ก็เย็นมากแล้วนะคะ”

เสียงกระซิบอันแผ่วเบาดังมาจากสาวใช้คนงาม ทำให้โรเอลสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยที่เด็กชายมีรูปร่างที่เตี้ยกว่าเธอมาก แอนนาจึงต้องก้มตัวไปข้างหน้าเพื่อกระซิบข้างหูเขา ทำให้เมื่อโรเอลหันหน้าไปมองเธอ เขาจึงพบว่าตัวเองกำลังจ้องมองตรงไปยังหน้าอกอันอุดมสมบูรณ์ของแอนนา

“…”

“มีอะไรเหรอคะ นายน้อย? “

“แค่ก แค่ก ไม่มีอะไรหรอก”

โชคดีที่โรเอลไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่เนื่องจากอายุร่างกายของเขายังน้อย แต่จิตใจที่เป็นผู้ใหญ่ก็ยังส่งผลให้เด็กชายรู้สึกอับอายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าเขาสามารถปรับสภาพจิตใจกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเข้าไปในโรงสีพร้อมกับแอนนา

ขณะเดียวกันคนรับใช้คนอื่น ๆ ก็เริ่มทำการเก็บโต๊ะเก้าอี้และชุดน้ำชากลับ ส่วนเกษตรกรคนอื่น ๆ ที่กำลังต่อคิวก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

แม้ว่าโรเอลจะเสียดายที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวแต้มความสนใจตรงหน้าเขา แต่อย่างที่โบราณว่าไว้ ‘ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม’ หากเขาให้สิทธิพิเศษแก่เกษตรกรพร่ำเพรื่อโดยไม่ได้คิดให้ดี เกษตรกรเหล่านั้นก็จะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ แล้วแต้มความสนใจที่เขาควรจะได้รับก็จะลดลงอย่างมาก

หลังจากทำการวิเคราะห์มาตลอดหนึ่งเดือน โรเอลก็ตระหนักได้ว่าระบบแต้มความสนใจนั้นซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้มาก

ยกตัวอย่างเช่น เฒ่าเคนท์ เหตุผลที่เขาให้แต้มความสนใจเป็นจำนวนมากนั้นเกิดจากอัตราการจัดเก็บภาษีอากรของโรเอลที่แตกต่างจากขุนนางคนอื่น ๆ อีกทั้งยังมีความสุขจากความรู้สึกเหนือกว่าที่เฒ่าเคนท์ได้รับจากการที่ขุนนางให้ข้อยกเว้นพิเศษกับเขา

ปัจจัยทั้งหมดนี้มีบทบาทอย่างมากในการสร้างแต้มความสนใจ 300 คะแนน หากโรเอลไม่ได้เลือกที่จะมายังโรงสีแห่งนี้ด้วยตัวเอง และให้คนอื่นมาทำงานแทน เฒ่าเคนท์ก็คงจะยังรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ แต่ก็คงจะไม่มากเท่านี้

ดังที่มีคนเคยกล่าวไว้ ‘ให้ข้าวหนึ่งถ้วยเขาจะขอบคุณ แต่ถ้าให้ข้าวหนึ่งกระสอบเขาก็จะพึ่งพาคุณ’ [1]

แม้ว่ากุญแจสำคัญในการได้รับแต้มความสนใจอาจจะขึ้นอยู่กับการตลาด แต่ด้วยความที่ว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตอันซับซ้อนจึงไม่มีกลยุทธ์ที่ตายตัวในการหาแต้มความสนใจ

โรเอลเดินเข้าไปในโรงสีพลางมองไปยังโครงกระดูกหกตัวที่ยืนอยู่หน้าหินโม่แป้ง ข้าง ๆ พวกมันมีโลงศพสีดำวางอยู่ แม้ว่ามันจะถูกทับด้วยชั้นแป้งจนไม่เห็นเป็นสีดำแล้วก็ตาม

นี่คือวิธีการที่โรเอลคิดสำหรับการเอาแต้มความสนใจคืนจาก 2500 แต้มที่หายไปของเขา!

ความคิดที่จะใช้โครงกระดูกเหล่านี้ส่งผู้เสียชีวิตออกไปอย่างสนุกสนานด้วยการเต้นระบำ นั้นฟังดูแปลกเกินไปเสียจนเป็นไปไม่ได้ที่จะนำมาปฏิบัติจริง ไม่ใช่ทุกคนในเขตการปกครองแอสคาร์ดที่จะสนุกกับอะไรแบบนั้นได้ เขาจึงไม่น่าจะได้รับเหรียญทองจากวิธีการดังกล่าวแน่

ดังนั้นหากโรเอลสามารถใช้พวกมันทำอะไรบางอย่างเพื่อหักล้างแต้มความสนใจที่สูญเสียไปได้ มันก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก

และเขาพบว่าโครงกระดูกทั้ง 6 นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากความสามารถในการใช้แรงกาย งานที่พวกมันสามารถทำได้จึงเป็นงานกรรมกรนั่นเอง

อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งระดับ F + ของโครงกระดูกทั้ง 6 ตัว ก็เพียงพอที่จะนำมาใช้แทนลาได้ ดังนั้นการนำพวกมันมาใช้แรงงานผลักโม่จึงไม่เป็นปัญหาอะไร นอกจากนี้โลงศพเองก็เป็นภาชนะที่ดีในการขนส่งแป้งไปรอบ ๆ อีกด้วย

ที่เหล่าโครงกระดูกทั้งหกต้องทำก็คือทิ้งแป้งลงในโลงศพ วางมันไว้ด้านนอกโรงสี เมื่อมันเต็มแล้วคนรับใช้คนอื่น ๆ ก็จะเข้ามาบรรจุแป้งลงในถุงให้เป็นระเบียบแล้วยกถุงเหล่านั้นขึ้นไปบนรถม้าคันที่ 2

โรเอลพยักหน้าชื่นชมการทำงานของโครงกระดูกทั้งหกโดยคิดว่าอย่างน้อยตอนนี้ พวกมันก็มีประโยชน์ จากนั้นเด็กชายก็ดีดนิ้วสั่งโครงกระดูกทั้งหกให้พับตัวเองลงไปในโลงศพอย่างรวดเร็ว

ทัศนคติของผู้คนในจักรวรรดิเซนต์เมซิทที่มีต่อพวกอมนุษย์ มีเพียงการยอมรับอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากอันเดธนั้นมีตัวตนอยู่ก่อนแล้วนับตั้งแต่สมัยยุคแรกสุดของทวีปเซีย

ดังนั้นจักรวรรดิจึงไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเหล่าอันเดธ ตราบใดที่จอมเวทผู้ที่ควบคุมพวกมันไม่ได้ละเมิดกฎหมายใด ๆ ของประเทศ ทางจักรวรรดิก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงอะไร

อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวโดยกะทันหันของโครงกระดูก ก็น่าจะยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนไม่น้อย โรเอลจึงไม่คิดจะปล่อยให้เหล่าโครงกระดูกของเขาเดินไปไหนมาไหนได้ตามอิสระ เด็กชายมักจะเก็บโครงกระดูกของเขาไว้ในโลงศพสีดำ ก่อนที่จะขนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง

แน่นอนว่าโรเอลรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะซ่อนพวกมันจากสายตาของเหล่าคนรับใช้ได้ในระยะยาว ดังนั้นเขาจึงอ้างว่ากองทัพโครงกระดูกผู้หาบหีบศพเป็นสมบัติที่เก็บซ่อนเอาไว้ในคลังสมบัติของตระกูลแอสคาร์ด ด้วยที่ในนั้นมีของโบราณอยู่มากมายเสียจนแม้แต่มาร์ควิส คาร์เตอร์เองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันเป็นหนึ่งในสมบัติของตระกูลจริง ๆ รึเปล่า พวกคนใช้จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้

อา….การเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจอมเวทนี่มันสะดวกจริง ๆ!

โรเอลยืดหลังอย่างเกียจคร้านพร้อมเดินออกมาจากโรงสี จากนั้นคนรับใช้ก็รีบเดินเข้าไปในนั้น เพื่อหามโลงศพขึ้นรถม้าคันที่ 2

ส่วนรถม้าคันแรกเอาไว้ใช้ทำอะไรคงไม่จำเป็นต้องอธิบาย มันคือรถม้าโดยสารอันหรูหรา ที่สงวนเอาไว้เป็นพิเศษ สำหรับบุตรชายของมาร์ควิสผู้ทรงอำนาจ!

ท่ามกลางเสียงสรรเสริญของเหล่าเกษตรกร โรเอลได้เดินขึ้นไปบนรถม้าอันหรูหราของเขา ปล่อยร่างเล็ก ๆ ของตนเอนลงบนโซฟาอันแสนสบาย โดยมีแอนนาเดินตามเขาเข้าไปในรถม้าและนั่งลงบนเบาะเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นประตูรถม้าก็ปิดลง และคนขับก็เริ่มขับรถม้าให้เดินทางออกไปข้างหน้า

การนั่งเฝ้าอยู่หน้าโรงสีในฐานะเจ้าของที่ดิน คอยดูแลกระบวนการจัดเก็บภาษีอากรนั้นอาจจะเป็นงานที่ดูง่าย แต่จริง ๆ แล้วมันเหนื่อยมากเสียจนน่าใจหาย นอกจากนี้ในสภาพอากาศอันร้อนแห้งอบอ้าวบ้างก็หนาว ๆ ร้อน ๆ บ้าง โรเอลก็ยังคงต้องรักษาท่านั่งอันสง่างามต่อหน้าเกษตรกรเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นก็เกินพอแล้วที่จะทำให้ร่างกายอันอ่อนแอของเด็กชายเหนื่อยล้าจนทรุดโทรม

หลังจากทำงานมาทั้งวัน โรเอลผู้เหนื่อยล้าก็ได้พักผ่อนเสียที กล้ามเนื้อของเด็กชายที่แข็งตัวจนชาจากการอยู่นิ่งเป็นเวลานานค่อย ๆ คลายตัวออกทีละน้อย

“อาาาา… ฉันต้องตายแน่ ๆ ถ้าไม่ได้เติมพลังจากอลิเซียหลังจากนี้…”

โรเอลพึมพำด้วยแววตาอันว่างเปล่า ทำให้แอนนาซึ่งได้ยินคำพูดแปลก ๆ เหล่านั้นจากเขากะพริบตาด้วยความสับสน

“นายน้อยคิดถึงนายหญิงอลิเซียงั้นเหรอคะ? อีกไม่ช้าท่านก็จะได้พบเธอแล้วล่ะค่ะ เธอน่าจะรอการกลับมาของท่านอยู่ที่ทางเข้าคฤหาสน์”

แอนนานึกถึงเด็กผู้หญิงผมสีเงินที่มักจะรออยู่ที่ทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดทุก ๆ เย็นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา รอยยิ้มของผู้ใหญ่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของสาวใช้ เธออดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่าช่วงวัยเยาว์นั้นช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

โรเอลผู้เหนื่อยอ่อนเหมือนจะได้แรงใจกลับมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของแอนนา เขาพร้อมแล้วที่จะได้รับแต้มความสนใจจำนวนมากที่สุดของวันนี้

ในที่สุดรถม้าสุดหรูก็แล่นผ่านประตูคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดเข้าไปพร้อมกับเด็กชายตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ทันทีที่โรเอลเดินลงมาจากรถม้า เสียงอันอ่อนหวานของอลิเซียก็ดังขึ้นมา

“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ท่านพี่โรเอล!”

[1] ‘ให้ข้าวหนึ่งถ้วยเขาจะขอบคุณ แต่ถ้าให้ข้าวหนึ่งกระสอบเขาก็จะพึ่งพาคุณ’ : สุภาษิตที่มีความหมายว่า หากช่วยเหลือคน ๆ หนึ่งไปเรื่อย ๆ เขาย่อมที่จะซาบซึ้งและขอบคุณ แต่ถ้าหากตัดสินใจเลิกช่วยเหลือเขาขึ้นมา เขาจะหันกลับมาตำหนิคุณแทน